แม้ว เชียร์ เศรษฐา ปรับ ครม.นิด 1/1 Coming Soon

ในสถานการณ์การต่อสู้ทางการเมือง การออกมาประกาศตัวว่าพรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรค “อนุรักษนิยมใหม่” แบบที่มีการจัดเฉดสีทางการเมืองใหม่ให้กับกองทัพเพื่อไทยของนายทักษิณ ชินวัตร มีนัยยะสำคัญทางการเมือง

เป็นนัยยะแห่งการ “เปลี่ยนผ่าน” เปิดเกมรุกในทางการเมืองอย่างชัดเจน

หลังสถานการณ์การพลิกขั้วตั้งรัฐบาล หันจับมือกับขั้วอำนาจเก่าอนุรักษนิยมเดิมที่เคยรัฐประหารทางการเมืองตระกูล “ชินวัตร” มาอย่างยาวนาน จนคะแนนนิยมทางการเมือง “ลดวูบ” เพราะเหตุผลทางการเมืองที่จำเป็นต้องพาตัวเองกลับบ้าน

การประกาศตัวไม่ใช่อนุรักษนิยมใหม่ แต่คือพรรคผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ในการประชุมใหญ่ของพรรค จึงเป็นการประกาศ “สู้” ทางการเมือง กับพรรคก้าวไกลโดยตรง

และยังเป็นจังหวะอันดีในทางการเมือง ในการสร้างตัวเองให้กลับมาเป็น “ความหวังใหม่”

เพราะเป็นห้วงขณะที่อนาคตทางการเมืองของพรรคก้าวไกลกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย จากการกำลังจะถูกนิติสงครามของฝ่ายขั้วอำนาจเก่า อนุรักษนิยมเดิมเล่นงาน แบบที่ “เพื่อไทย” และ “ตระกูลชินวัตร” ก็เคยโดนมา

 

หลังประกาศตัวไม่ใช่อนุรักษนิยมใหม่ การ “รุก” ทางการเมืองต่อเนื่องของนายทักษิณจึงเกิดขึ้น

เริ่มจากการกลับมาเยือนเชียงใหม่รอบสอง เปิดให้รดน้ำอวยพร เล่นสงกรานต์กับชาวเชียงใหม่ครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี

ที่น่าสนใจคือมีรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ยกกันไปรับนายทักษิณเกือบทั้ง ครม. โดยเฉพาะคนที่กำลังอยู่ในข่าว “โผ” ครม.ใหม่ ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรีในการปรับ ครม.ครั้งแรก ต่างตบเท้าไปรอต้อนรับนายทักษิณกันแน่น จนโต๊ะกินข้าวไม่พอนั่ง

ข่าวว่านายทักษิณถึงกับออกปากแซวในวันนั้นว่ามาปรับ ครม.กันเลยไหม ไหนๆ ก็ครบองก์ประชุม ครม.แล้ว

การที่คณะรัฐมนตรีจำนวนมาก แห่กันไปต้อนรับนายทักษิณถึงเชียงใหม่ ในวันเดียวกับที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ตัวจริง เดินทางไปตรวจราชการ พักผ่อนที่หัวหิน ก่อให้เกิด “คำถามหนาหู” แถมยังตอกย้ำความสำคัญของกระแสข่าวปรับ ครม. ที่จะเกิดขึ้น

วันเดียวกัน นายทักษิณก็ปล่อยข่าวใหญ่มาอีกข่าว โดยระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวผู้เป็นอดีตนายกฯ ที่ถูกรัฐประหาร และยังมีโทษจำคุก 5 ปีคดีโครงการรับจำนำข้าว จะเดินทางกลับประเทศไทย ในเดือนตุลาคมนี้ และจะได้เล่นสงกรานต์กันแน่ในปีหน้า

สร้างความมึนงงให้สังคมไม่น้อย เพราะจนถึงวันนี้หลายคนก็ยังนึกไม่ออกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะกลับมาได้อย่างไร โดยไม่ต้องรับโทษ จากการมีความผิดที่ตัดสินลงโทษแล้วคาอยู่

แต่ถ้าย้อนกลับไป หลายคนก็เคยงง ว่านายทักษิณที่มีคดีติดตัวมากมายจะกลับประเทศไทยมาได้อย่างไร โดยไม่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ

จนวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่า นายทักษิณ ทำได้จริง ทั้งที่ยังมีโทษจำคุกมากกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึง 8 ปี

ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า นส.ยิ่งลักษณ์จะสามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ ที่ออกมาจากปากของ นายทักษิณ จึงอยู่ในสภาวะ “ไม่เกินจริง” ในบริบทการเมืองไทย

 

อีกหนึ่งสัญญาณการเมืองที่ออกจากปากนายทักษิณคือการบ่นปัญหาเศรษฐกิจ

หลังเข้าร่วมเล่นน้ำสงกรานต์ ที่ห้างสรรพสินค้าเมญ่า จ.เชียงใหม่ นายทักษิณได้พูดคุยกับผู้ประกอบการภาคธุรกิจ บ่นเสียดายเชียงใหม่ กลับมาครั้งนี้เศรษฐกิจแย่ลงไปมาก จะต้องเร่งอัดฉีดนโยบาย ต้องบู๊ตให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น ไม่อย่างนั้นจะเสียดายของ เพราะตอนนี้เละเทะมาก

นายทักษิณกล่าวอีกว่า เห็นข่าวคนติดยา ขายยา มีแต่คนบ้าหวย แบบนี้รับไม่ได้ แล้วคนจะไปทำมาหากินอะไร ระบบการศึกษาตกต่ำลงมาก จึงรู้สึกเสียดายประเทศ ขณะที่ SMEs ไทยเจ๊งระเนระนาด การแข่งขันก็ยาก เพราะต้นทุนสูงกว่าจีน

คนที่ฟังข่าวนี้แล้วอาจรู้สึก “สะดุ้งที่สุด” น่าจะเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยนั่นเอง

นั่นทำให้เช้าวันต่อมา นายเศรษฐาต้องลัดทุกคิว เดินทางไปบ้านจันทร์ส่องหล้าเป็นครั้งแรก เพื่อรดน้ำดำหัวนายทักษิณที่เพิ่งกลับจากเชียงใหม่ ท่ามกลางกระแสข่าวปรับ ครม.

ดังนั้น การออกมายืนยันไม่ใช่พรรคอนุรักษนิยมใหม่ การประกาศพาน้องกลับบ้าน การพูดถึงปัญหาเศรษฐกิจขณะนี้ โดยยังขอให้เชื่อมั่นในรัฐบาลเศรษฐา เชียร์นโยบายแจกเงินดิจิทัล กระทั่งถึงข่าวการปรับ ครม.ที่เกิดขึ้น

ทั้งหมดผูกโยงกันหมดภายใต้ยุทธศาสตร์สำคัญ เกมรุกทางการเมืองชนิดเปิดหน้าสู้ ตามแบบฉบับของ “นายทักษิณ” ที่นอกจากจะกระทำต่อคู่แข่งขันทางการเมืองอย่างพรรค “ก้าวไกล” ยังเป็นการเดิน “เกมไว” และ “ต่อเนื่อง” ในสถานการณ์ “น้ำขึ้นให้รีบตัก” ต่อขั้วอำนาจเก่า ชนชั้นนำเดิมอีกด้วย

วันนี้จึงค่อนข้างชัดเจนว่าการปรับ ครม.เกิดขึ้นแน่เร็วๆ นี้ แม้นายกรัฐมนตรียัง “อุบไต๋” แต่ในการให้สัมภาษณ์ก็ยังยอมรับว่า ถึงเวลาที่จะต้องทำอะไรให้ “ถูกฝาถูกตัว”

 

ที่จริงการปรับ ครม.ก็เป็นเครื่องมือทางการบริหารที่นายทักษิณถนัด เพราะย้อนดูในยุครัฐบาลไทยรักไทยช่วงปี 2544-2547 มีการปรับ ครม.ถึง 9 ครั้ง เฉลี่ย 5 เดือนต่อ 1 ครั้ง

แต่ในภาวะชุลมุนของข่าวการปรับ ครม.กระเพื่อม ก็น่าสนใจในท่าทีและคำพูดของนายเศรษฐา โดยเฉพาะการออกมาเตือนทำนองว่า ไม่ต้องวิ่งเต้นให้เสียเวลา ให้รีบทำงานที่ตัวเองรับผิดชอบ จะเป็นการรักษาเก้าอี้ที่ดีที่สุด

ก็นับว่ายังสะท้อนอำนาจต่อรองของเศรษฐา ยังมีอยู่ในระดับ “สูง”

การเชียร์ปรับ ครม.ของนายทักษิณ พร้อมๆ กับการเร่งเกมเร็วหลายๆ เรื่องจึงเกิดขึ้นพร้อมกัน

แน่นอนว่าการปรับ ครม.เองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ย่อมนำมาซึ่งคลื่นใต้น้ำ ความผิดหวัง ปั่นป่วนอยู่ภายใน แต่ก็เป็นสถานการณ์จำเป็น เพราะเป็นจังหวะที่พรรคเพื่อไทยต้องทำผลงานให้ปรากฏ หมดเวลาของการ “ต่างตอบแทน”

จึงมีข่าวต่อเนื่องจากปรับ ครม. กระทั่งการไปทวงเก้าอี้ประธานสภาคืน กลับมาสู่ “พรรคเพื่อไทย”

 

หันมาดูคะแนนนิยมพรรคเพื่อไทยในโอกาสครบรอบ 7 เดือนการทำงานของรัฐบาล ต้องบอกว่า “เครียดแทน”

ไม่ว่าจะผลักดันนโยบายเรือธงใดๆ ก็เต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งโครงสร้างการเมือง กฎหมาย ระบบราชการ การใช้จ่ายงบประมาณที่ล่าช้า ทั้งยังต้องสางปัญหาเก่าที่รัฐบาลเดิมทำไว้ ไม่นับถูกขัดขวาง ทั้งต้องเจอการตั้งคำถามจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

ไม่ว่าจะเดินหน้าปักธงเศรษฐกิจใดๆ ก็แทบจะไม่ได้รับความร่วมมือหรือคนร่วมมือน้อย จนต้องปรับเปลี่ยนกลับไปกลับมาเกือบจะเสียยี่ห้อ “เพื่อไทย”

ดูจาก 3 โพลที่เผยผลสำรวจช่วงสงกรานต์

โพลแรก กรรมกรข่าวของผู้ประกาศข่าวดังมีคนร่วมตอบมากกว่า 2 หมื่นคน อันดับ 1 คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 74% ตามด้วย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล 16% อันดับ 3 คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และอันดับ 4 และ 5 คือ นายเศรษฐา และนายทักษิณ ที่ 2%

ตามมาด้วยโพลของ มติชนทีวี ที่มีคนร่วมตอบ 3 หมื่นกว่าคน พบว่ามีคนอยากเล่นสงกรานต์กับ นายพิธาถึง 84% นายเศรษฐา 6% นายทักษิณ 6% และ น.ส.แพทองธาร 4%

หรือจะเป็นนิด้าโพล ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่ถามว่า นักการเมืองที่ประชาชนเห็นใจมากที่สุด อันดับ 1 นายพิธา 46.79% อันดับ 2 นายธนาธร 11.45% อันดับ 3 นายเศรษฐา 10.46% อันดับ 4 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 8.55% อันดับ 5 นายทักษิณ 8.09% และ น.ส.แพทองธาร 1.91%

ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับวิธีการทำโพล แต่ต้องยอมรับว่า 3 โพลที่ออกมา สะท้อนนัยยะสำคัญตรงกันที่ไม่อาจมองข้ามได้

เป็นนัยยะทางการเมืองที่คนฉลาดทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่าง “ทักษิณ” ก็ย่อมต้องรับรู้ ต่อเนื่องจากการประกาศไม่ใช่ “อนุรักษนิยมใหม่”

นั่นคือเหตุผลว่าในสภาวะที่วิจารณ์กันว่าประเทศไทยไม่ได้มีนายกฯ แค่คนเดียว ทำไม “เศรษฐา ทวีสิน” ยังมีอำนาจต่อรอง ยังมีอำนาจการนำ “ระดับสูง” ในเพื่อไทย สามารถพูดเรื่องการปรับ ครม.ให้ถูกฝาถูกตัวได้ เพราะนายเศรษฐาคือตัวเลือกที่ยัง “จำเป็น” ในสถานการณ์อันบีบคั้นนี้

นั่นคือเหตุผลว่าทำไม “ครม.นิด 1/1 is Coming Soon”