ระยะห่างที่ห่างหาย | เรื่องสั้น : ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง

เรื่องสั้น | ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง

ระยะห่างที่ห่างหาย

 

1

ฤดูร้อนปีนี้ดอกลมแล้งพร้อมใจกันบานสะพรั่ง ถนนหน้าหอพักโรยด้วยดอกลมแล้งทิ้งกิ่งก้านชุ่มด้วยน้ำค้างเช้า แต่งแต้มจุดสีเหลืองบนพื้นที่สีดำของถนนยางมะตอย ภูมิภาคที่คุณอาศัยอยู่เรียกดอกไม้ชนิดนี้แบบนั้น แต่ที่อื่นคงต่างออกไป ส่วนใหญ่เข้าใจกันในชื่อ ราชพฤกษ์ หรือ ดอกคูน เพราะจำง่ายกว่า

เพื่อนคุณเป็นชาวมอญเคยเล่าให้ฟังตอนไปเที่ยวเกาะเกร็ดและแวะกินข้าวแช่ด้วยกันว่าดอกไม้ดอกนี้ในภาษามอญเรียกกันว่า “ปะกาวซังกราน” ปะกาว แปลว่า ดอกไม้ เพราะออกดอกในช่วงสงกรานต์จึงได้ชื่อนี้ เป็นดอกไม้สีมงคลและสำคัญสำหรับงานบุญ

คุณออกไปเดินเล่นหลังมื้ออาหารเช้า ตั้งใจว่าจะหากาแฟดื่มสักแก้ว ขณะเดินคุณก็สำรวจมองเมืองรอบกาย โรคระบาดในสายลมพัดพาความเงียบเหงาและซบเซามาสู่เมือง ประตูร้านค้ามีแต่ป้าย “เซ้ง, ให้เช่า, เลิกกิจการ” บางร้านมีบิลค่าน้ำ ค่าไฟ สอดไว้เต็มกล่องจดหมายและเกลื่อนกลาดพื้น

คุณเห็นความเศร้าของอาคารร้างเหล่านั้น แล้วรู้สึกอ้างว้างไม่ต่างกัน

คุณมองออกไปยังถนนตรงหน้า แดดลามเลียสีสันของอาคารไปเสียสิ้น ประเทศเขตร้อนที่คุณอาศัยอยู่ ตึกและอาคารส่วนใหญ่สีเทาอึมครึม สีเหมือนเมฆตั้งเค้าพร้อมจะมีฝน สีสันเดียวของเมืองนี้คงเป็นดอกไม้ฤดูร้อน โดยเฉพาะดอกลมแล้งที่ยืนต้นริมถนนเรียงรายรอบคูเมือง

คุณเดินเลี้ยวขวาเลียบคูเมือง เดินทอดน่องเรื่อยเปื่อย ไม่รีบร้อนและไม่ช้าเกินไป แอ่งน้ำในคูเมืองนิ่งสนิท กลีบดอกลมแล้งลอยเท้งเต้งไร้จุดหมาย ไม่ต่างกับชายไร้บ้านที่นั่งพิงใต้โคนต้น สายตาเหม่อมองผิวน้ำในแอ่ง เลื่อนลอยและไร้หลักแหล่งในสายแดดที่เริ่มลุกลามในยามสาย

คุณเดินมาถึงถนนวันเวย์ เจอโรงแรมตึกสีขาวขุ่น สีเหมือนน้ำผงซักฟอก ดูจากสายตาก็พอรู้ว่าเลิกกิจการแล้ว ชั้นล่างสุดของโรงแรมแบ่งซอยเป็น 7 คูหา ทุกคูหาขึ้นป้ายให้เช่า ยกเว้นคูหาแรกที่เปิดเป็นร้านกาแฟ คุณไม่เคยผ่านตาร้านกาแฟแห่งนี้บนรีวิวในโลกออนไลน์มาก่อน ประตูร้านเป็นกระจกซุ้มโค้ง หน้าร้านมีต้นลมแล้งยืนเคียงกับหัวฉีดน้ำดับเพลิง มีม้านั่งไม้ยาววางที่เขี่ยบุหรี่ไว้

เมื่อเดินเข้าไปใกล้อีกนิด คุณก็เห็นสิ่งประดิษฐ์แห่งยุค 90 ติดตั้งอยู่ หากใครชอบฟังเพลงหรือร้องคาราโอเกะ คงดีใจที่ได้เจอตู้เพลงหยอดเหรียญ แต่สำหรับช่างภาพอิสระเฉกเช่นคุณ สิ่งที่ทำให้ความทรงจำแห่งยุคสมัยไร้โซเชียลมีเดียหวนกลับมาฉายชัดอีกครั้ง สิ่งนั้นคือ ‘ตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์’

ตู้สีขาวติดม่านสองผืน สีส้มและสีเทา ขนาดใหญ่กว่าตู้โทรศัพท์เล็กน้อย ด้านบนตู้มีมีข้อความตัวพิมพ์ใหญ่ฟอนต์สีดำบนพื้นสีขาว ‘PHOTO AUTOMATE SCULPTURE’

คุณหยุดยืนอยู่หน้าตู้ ย้อนนึกไปถึงความทรงจำสมัยมัธยมปลาย จูบแรกกับแฟนคนแรกเริ่มขึ้นหลังม่าน ขณะตู้สติ๊กเกอร์นับถอยหลัง เตรียมบันทึกมิตรภาพ ความรัก ความทรงจำ ในรูปแบบที่จับต้องได้

คุณเข้าไปสั่งลาเต้ร้อน ออกมานั่งเก้าอี้ไม้หน้าร้าน เพ่งมองและสำรวจตู้สติ๊กเกอร์ ราวกับเป็นเพื่อนเก่าที่พลัดพรากและยากที่จะเจอ คุณคิดถึงแม่ ทุกเดือนแม่มักจะไปทำธุระปะปังที่สยามสแควร์ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำธุระแล้วทำไมต้องต่อด้วยปะปัง แต่คุณก็ติดสอยห้อยตามแม่ไปทุกครั้งเสมอ

ก่อนกลับบ้าน คุณรบเร้าแม่ทุกครั้งให้อุ้มแล้วถ่ายรูปด้วยกันในตู้สติ๊กเกอร์ คุณเลือกกรอบรูปและฟิลเตอร์หลากหลาย ทั้งสายรุ้ง, ดอกกุหลาบ, เก้าอี้ชายหาดและทะเล หรือข้อความหวานๆ ซึ่งเหมาะสำหรับถ่ายกับคนรัก มากกว่าให้แม่อุ้ม

คุณชอบช่วงเวลาไม่กี่วินาทีในตู้สติ๊กเกอร์ แม้ว่าแม่คุณจะไม่ชอบยิ้ม และบ่นเสมอว่าค่าถ่ายรูปนั้นแพง แต่พอเข้าตู้แล้วตัวเลขนับถอยหลัง 3 2 1 ตามด้วยเสียง แชะ แชะ แชะ

รอยยิ้มของแม่จะปรากฏบนภาพถ่ายที่พิมพ์ออกมา เคียงคู่กับรอยยิ้มยิงฟันและแก้มจ้ำม่ำของคุณ

แต่รอยยิ้มเหล่านั้นอยู่ได้ไม่นาน…

ตอนคุณเรียนชั้นประถมหก แม่คุณเสียชีวิตเพราะโดนรถกระบะชนขณะข้ามทางม้าลายหน้าตึกที่ทำงาน คุณไม่รู้หรอกว่าร่างกายของแม่คุณแหลกเละแค่ไหน ภาพจำเดียวคือรอยยิ้มของแม่ขณะอุ้มคุณถ่ายรูปด้วยกันในตู้สติ๊กเกอร์ที่สยามสแควร์

 

2

คุณย้ายมาอยู่จังหวัดเชียงใหม่ตอนมัธยมต้น เพราะพ่อคุณมีคนรักใหม่ที่นี่ เป็นลูกสาวเจ้าของร้านถ่ายรูป คุณจึงมีแม่เพิ่มอีกคน แม่ที่ไม่เคยถ่ายรูปตู้สติ๊กเกอร์ด้วยกัน โชคดีที่คุณเข้าเรียนโรงเรียนประจำ อยู่หอพักในโรงเรียนตลอดหกปี มีกล้องฟิล์ม Pentax K1000 ที่แม่เลี้ยงให้คุณในวันแรกที่เจอกัน กล้องสีเทาตัวนั้นเป็นเสมือนเพื่อนอีกคน

คุณสอบติดสาขาศิลปะการถ่ายภาพ และทำงานพิเศษเป็นช่างภาพเบื้องหลังตามกองถ่ายต่างๆ ย้ายตัวเองจากหอพักในโรงเรียนสู่หอพักแถวประตูท่าแพ ไม่ปฏิสัมพันธ์กับสาแหรกและรากเหง้าของคุณอีก แม้พ่อจะอยากให้ลูกคนเดียวไปช่วยกิจการร้านถ่ายรูป แต่คุณไม่อยากทำ แค่รับรู้ซึ่งกันและกันว่ายังมีชีวิตอยู่ ระหว่างพ่อกับคุณเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

นับแต่นั้นเวลาถ่ายรูปคุณไม่เคยยิ้มอีก รอยยิ้มสุดท้ายอยู่บนภาพจากตู้สติ๊กเกอร์ที่ติดผนังบนหัวเตียง ผู้หญิงในภาพคือมารดาผู้ให้กำเนิดคุณ ผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นที่คุณจะเรียกว่า ‘แม่’

คุณติดภาพถ่ายสติ๊กเกอร์บนผนังหัวเตียงเรียงตามช่วงเวลา ภาพแรกในชุดเอี๊ยมสีฟ้าชั้นอนุบาล รอยยิ้มฟันหลอของคุณ และผมเปียยาวของแม่ ส่วนภาพสุดท้ายที่ถ่ายด้วยกันน่าจะตอนมัธยมห้า คุณสูงกว่าแม่อย่างเห็นได้ชัด สิวเขรอะเต็มหน้า ตัดผมสั้นเกรียนในชุด ร.ด. ส่วนแม่คุณตัดผมบ๊อบสั้นและมีหงอกแซม ริ้วรอยรอบรอยยิ้มเป็นร่องลึกเห็นได้ชัด

ส่วนภาพถ่ายกับคนรักเก่า เจ้าของจูบแรก คุณไม่ได้เก็บไว้ คงสอดอยู่ในตำราเรียนสักเล่มที่ชั่งกิโลขายไปแล้ว

คุณนั่งมองลมร้อนเดือนเมษายนพัดผ้าม่านเป็นระลอกคลื่น ขณะดอกลมแล้งโรยตัวบางเบาร่วงหล่นบนพื้น พนักงานหญิงเสิร์ฟลาเต้ร้อนที่คุณสั่ง คุณชอบมองมวลกาแฟสีทองและลวดลายของฟองนมสีขาวรูปต่างๆ ส่วนใหญ่ที่เคยเห็นมักจะเป็นรูปหัวใจหรือดอกทิวลิป แต่ร้านนี้วาดเป็นรูปใบไม้

ขณะละเลียดฟองนมและรสขมในถ้วย คุณนึกไปถึงในชั้นเรียน อาจารย์เคยเล่าเกี่ยวกับประวัติของตู้ถ่ายรูปตู้แรกซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1925 ในสมัยที่การถ่ายภาพยังไม่แพร่หลาย คิดค้นโดย Anatol Josepho ผู้อพยพชาวเซอร์เบียร์ในสหรัฐอเมริกา จุดประสงค์เพื่อสร้างตู้สำหรับถ่ายภาพบุคคลโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปหาช่างถ่ายรูปที่ร้าน

ตู้แรกวางในย่านไทม์สแควร์แห่งนิวยอร์ก และอีกตู้วางที่ถนนบรอดเวย์ ในเมืองใหญ่ที่ผู้คนเฉยชาต่อกัน พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรในตู้สติ๊กเกอร์กลับปรากฏรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เหล่าผู้คนยืนเรียงแถวต่อคิว เสียงพูดคุยของคนแปลกหน้า การแอบมองคนข้างหน้าถ่ายรูป ท่าทางและเสื้อผ้าที่สวมใส่ ใบหน้าบนภาพที่พิมพ์ออกมา รอยยิ้มหรือหน้าเหวอเพราะไม่ทันตั้งตัว สิ่งเหล่านี้ทำให้ตู้ถ่ายรูปแพร่หลายไปทั่วโลก

คุณชอบช่วงเวลาในตู้สติ๊กเกอร์ เพราะในเมืองหลวงที่คุณเคยอยู่ ผู้คนเคร่งเครียดและไร้รอยยิ้มต่อกัน แต่เมื่อเข้าไปในตู้ รอยยิ้มและระยะห่างที่ห่างหายก็กลับคืนมา สังเกตได้จากรูปภาพที่ติดอยู่ข้างตู้ น้อยคนนักที่จะไม่ยิ้ม

 

3

คุณละเลียดกาแฟจนหมดถ้วย และเดินเข้าไปในตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ เลื่อนผ้าม่านทั้งสองสีเข้าหากัน สแกนคิวอาร์โค้ดจ่ายเงินหนึ่งร้อยยี่สิบแปดบาท ยืนตัวตรงประหนึ่งถ่ายรูปติดบัตรนักเรียน หลังจากนั้นตู้ก็นับถอยหลัง เสียง ‘แชะ แชะ แชะ’ ไล่หลังตามมา

คุณยืนนิ่งไม่ไหวติง เสมือนอนุสาวรีย์ในประเทศอมทุกข์ กล้องในตู้ถ่ายคุณทั้งหมดหกครั้ง เมื่อมาถึงครั้งที่ห้า สายลมฤดูร้อนพัดผ้าม่านโบกพลิ้ว กลีบดอกลมแล้งดั่งผีเสื้อสีเหลืองโบยบินเข้ามาร่วมเฟรมภาพกับคุณ และเป็นภาพเดียวในจำนวนหกเฟรมที่คุณยิ้ม ทั้งผีเสื้อหรือดอกไม้นั้นทำให้คุณคิดถึงแม่

เวลาคุณคิดถึงแม่ คุณมักจะยิ้ม ไม่ใช่รอยยิ้มกว้างแบบคนมีความสุข เป็นยิ้มแหยๆ เหมือนเวลาที่นึกถึงเรื่องตลกในอดีต นึกถึงความขำขันที่ผ่านเลยมาเนิ่นนาน แล้วรอยยิ้มนั้นก็จะค้างอยู่บนใบหน้า เหมือนที่คุณเพิ่งยิ้มขณะดอกลมแล้งกลายเป็นปีกผีเสื้อสีเหลืองโบยบินเข้ามาร่วมเฟรมภาพกับคุณ

ถ่ายเสร็จคุณออกมานอกตู้ ขณะตู้กำลังพิมพ์ภาพของคุณ ข้างตู้มีรูปผู้คนที่ถ่ายไว้ก่อนหน้า หลากใบหน้าและท่าทาง บางคนกอดคอกัน บางคนชูสามนิ้ว บางคนหันหลังให้กัน ทำมือถือปืนแบบท่าเจมส์ บอนด์ 007 ส่วนใหญ่มาถ่ายกันเป็นคู่ คงมีแค่คุณที่ถ่ายรูปตู้สติ๊กเกอร์แต่เพียงผู้เดียว…

แต่ความเดียวดายที่คุณคิดว่ากำลังเผชิญเพียงลำพังนั้นไม่ใช่หรอก โลกนี้คงมีอีกหลายคนที่คิดว่าตนเองเดียวดาย แต่ในขณะเดียวกันคนอื่นๆ ก็ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง เพราะขณะที่คุณกำลังรอตู้พิมพ์ภาพของคุณออกมา บนถาดสีใสนั้นมีรูปถ่ายของหญิงสาวที่คุณไม่รู้จัก เธอไม่ยิ้มสักรูป ใบหน้านิ่งเฉย เหมือนคลื่นทะเลในวันไร้แรงลม ใบหน้านั้นทำให้คุณสงบ แม้คุณจะรู้ว่าอีกไม่นานจะปั่นป่วนเพราะอยากตามหาเธอ เหมือนทะเลนิ่งงันที่แฝงคลื่นยักษ์ไว้รอซัดสาดและกวาดล้างทุกสิ่งบนชายหาด

คุณหยิบรูปของเธอขึ้นมาดู ผมทรงหัวเห็ดรับกับแว่นตากรอบเหลี่ยม ผิวสีซีดและมีกระสีเม็ดทรายบนลานแก้ม คุณคิดว่าเธอมีลักยิ้ม และคงจะเป็นรอยยิ้มที่งดงามกว่าสิ่งใด หากแต่ว่าเธอไม่ยิ้ม ใบหน้าเธอดูเศร้า เหมือนเธอเป็นฟองน้ำที่ดูดซับความเศร้าทั้งมวลของโลกใบนี้ไว้ ว่าแต่ทำไมเธอถึงไม่หยิบรูปใบนี้ไปด้วย

อาจเพราะตอนถ่ายเสร็จแล้วมีคิวอาร์โค้ดให้สแกนภาพในแบบไฟล์ดิจิทัล เซฟภาพลงมือถือแล้วก็โพสต์ลงเฟซบุ๊กได้เลย เหมือนตอนไปล้างฟิล์มที่ร้าน หรือส่งม้วนฟิล์มไปทางไปรษณีย์ พอร้านล้างเสร็จแล้วหลายคนเลือกให้ส่งไฟล์ภาพทางอีเมล เพราะจะได้ไม่ต้องไปรับแผ่นฟิล์มกลับบ้าน ได้ไฟล์แล้วก็ลงรูปได้เลย พื้นที่หลังร้านของร้านอัดรูปคงเต็มไปด้วยขยะจากกลักฟิล์มและแผ่นฟิล์มแถบสีดำ

บนถาดมีกรรไกรกับเทปกาวสองหน้าวางไว้ ใครอยากติดรูปตัวเองไว้กับตู้ก็สามารถติดได้ คุณตัดภาพของคุณในเฟรมสุดท้าย ภาพที่มองไกลๆ เหมือนถ่ายกับผีเสื้อปีกสีเหลือง แต่มองใกล้ๆ จะเห็นว่าเป็นกลีบดอกลมแล้ง คุณติดรูปนั้นบนพื้นที่ว่าง และติดรูปของหญิงสาวคนนั้นใกล้ๆ กัน ใบหน้าเรียบนิ่งทั้งห้าเฟรม ส่วนอีกเสี้ยวหนึ่งของภาพนั้นคุณตัดเก็บไว้

คุณหวังว่าเธอจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง เผื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมรูปถ่ายไว้ที่ตู้สติ๊กเกอร์ และเธอคงนึกสงสัยหากได้เห็นภาพคุณที่อยู่ใกล้กัน คุณไม่ได้เขียนเบอร์โทร.ทิ้งไว้ แต่คุณคิดแค่ว่าจะไปเดินเล่นแถวนั้นให้บ่อย

ส่วนอีกเสี้ยวหนึ่งของภาพเธอนั้น คุณติดมันไว้ตรงหัวเตียง เคียงคู่กับภาพถ่ายจากตู้สติ๊กเกอร์แม่กับคุณ คุณติดภาพเธอไว้ตรงกลาง เคียงคู่กับใบหน้าเรียบนิ่งทั้งห้าเฟรมของคุณ

คุณไปเดินเล่นแถวนั้นบ่อยครั้ง เมื่อเดินผ่านตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ จำนวนรูปถ่ายที่ข้างตู้เพิ่มมากขึ้น รูปคุณกับเธอยังคงติดเคียงกัน บางคราวคุณเห็นวัยรุ่นสี่ห้าคนยัดเข้าไปในตู้ ยืนเหยียบรองเท้ากัน หัวเราะร่าอย่างสุขใจ ขณะเสียง ‘แชะ แชะ แชะ’ ไล่หลังตามมา

ดอกลมแล้งยังคงทิ้งกลีบบนถนนทุกสายที่คุณเดินผ่าน และคุณเชื่อว่าเธอมีลักยิ้ม แม้ไม่เคยพบกัน

 

4

แต่ไหนแต่ไรฉันไม่ชอบยิ้ม โดยเฉพาะเวลาถ่ายรูป พ่อบอกว่าฉันหน้าเหวี่ยงตลอดเวลา คงเพราะฉันได้พันธุกรรมบึ้งตึงมาจากแม่ รูปถ่ายแม่ทุกใบในบ้านไร้รอยยิ้ม ราวกับถูกสตัฟฟ์ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นไว้ รูปขาวดำวางเคียงข้างหิ้งพระนั่นก็ไม่ยิ้ม พ่อบอกว่านั่นเป็นรูปถ่ายใบสุดท้ายของแม่

พ่อเล่าให้ฉันฟังบ่อยครั้งว่าแม่ยิ้มสวย มีลักยิ้ม แต่ฉันจำรอยยิ้มนั้นไม่ได้แล้ว แม่จากเราเร็วเกินไป พ่อบอกว่าก้อนเนื้อสีดำแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแม่ เริ่มจากช่องท้องและลุกลามอวัยวะส่วนอื่น คงเหมือนราสีเขียวบนก้อนขนมปัง ที่ค่อยๆ กัดกินขนมปังทีละแผ่น ไปจนหมดทั้งก้อน

“ถ้าร่างกายคนเรามีวันหมดอายุบอกไว้ก็ดี จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำก่อนตาย” พ่อเคยบอกฉันไว้

สิ่งที่แม่ทิ้งไว้มีเพียงลักยิ้มบนแก้มของฉัน พ่อบอกเวลาฉันยิ้ม รอยยิ้มของฉันงดงามเหมือนแม่ และฉันก็ชอบไว้ผมทรงหัวเห็ด เหมือนที่แม่ชอบไว้ ฉันเคยถามพ่อว่า ฉันกับแม่ใครน่ารักกว่ากัน

“น่ารักทั้งคู่ แต่ตอนนี้อยากให้แม่อยู่ด้วย” น้ำเสียงพ่อเศร้า แต่เก็บซ่อนไว้หลังรอยยิ้มยิงฟันที่มีคราบเหลืองเพราะพ่อติดกาแฟและสูบบุหรี่จัด

แม้ฉันไม่ชอบยิ้ม แต่ฉันชอบถ่ายรูปในตู้สติ๊กเกอร์ ฉันนึกถึงตอนมัธยมต้น โรงเรียนอยู่ใกล้สยามสแควร์ เลิกเรียนก็ต้องมาเรียนกวดวิชาที่นี่ เสาร์-อาทิตย์ก็เรียนพิเศษที่นี่ ชีวิตมัธยมวนเวียนแต่ในสยามสแควร์ หากมีใครปิดตาฉัน แล้วให้เดินเที่ยวสยาม ฉันคิดว่าเดินได้โดยไม่หลง แต่ไม่รู้ว่ารถจะชนหรือเปล่า นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ฉันจำความรู้สึกแรกในตู้สติ๊กเกอร์ได้ ตอนนั้นฉันและกลุ่มเพื่อนนัดเจอกันที่ร้านดังกิ้น-โดนัท มุมโปรดของฉันคือโต๊ะติดกระจกชั้นสอง ฉันชอบมองลงมาบนถนนข้างล่าง บางทีก็เห็นเพื่อนของฉันเดินแยกกับแฟนตรงนั้น ก่อนจะข้ามถนนเข้ามาสมทบในร้านโดนัทที่ฉันและเพื่อนคนอื่นรออยู่

กลุ่มเพื่อนฉันมีสี่คน เราชวนกันเดินไปต่อคิวที่ตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ ช่วงเที่ยงของวันหยุดนั้นแถวยาวมาก ราวกับวัยรุ่นทั่วทุกสารทิศพร้อมใจกันมากองกันอยู่หน้าตู้แห่งนี้

แต่ครั้งแรกของฉันนั้นไม่น่าประทับใจเสียเลย ฉันรู้สึกว่าการถ่ายรูปหมู่ในตู้สติ๊กเกอร์นั้นเป็นอุปสรรค เหมือนเราสี่คนอยู่ในคอกเล็กๆ ขาทั้งแปดขายืนเหยียบกันบนพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร ถ่ายได้ครั้งเดียวจึงต้องแย่งซีนกันเข้ากล้อง ภาพที่ออกมาจึงถ่ายติดจมูกบ้าง ขอบหู รอยยิ้มยิงฟันที่ไม่เห็นใบหน้า ส่วนฉันถ่ายติดแค่ผมทรงหัวเห็ดและหางคิ้ว

นับแต่นั้นฉันจึงสะดวกใจที่จะถ่ายคนเดียวมากกว่า ฉันมีความสุขในช่วงเวลาไม่กี่วินาทีในตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ หลบหลีกจากผู้คนที่น่ารำคาญ มีเพียงตัวฉันยืนเหม่อมองออกไปข้างหน้า นับถอยหลังในใจ แล้วรูปก็จะพิมพ์ออกมา ช่วงมัธยมต้นฉันถ่ายตู้สติ๊กเกอร์บ่อยมาก บ่อยจนรูปภาพตัวเองเหลือเก็บ ฉันจึงไล่ติดรูปตัวเองลงบนสมุดเฟรนด์ชิพของเพื่อนในวันจบการศึกษา ทั้งเพื่อนที่สนิทและไม่สนิท เพื่อนต่างห้องก็ด้วย

ตอนมัธยมสี่ ฉันมีแฟนต่างโรงเรียน เขาตัดผมสั้นเกรียนเพราะเรียนร.ด. จำได้ว่าเขาชวนฉันถ่ายรูปในตู้สติ๊กเกอร์ ซึ่งตอนนั้นเทคโนโลยีพัฒนาจนสามารถถ่ายได้ถึง 16 ช็อต และมีเวลาคิดท่าประมาณสองวินาทีต่อหนึ่งแชะ ซึ่งแฟนฉันก็ตลกดี ฉันได้เห็นรอยยิ้มและท่าทางแปลกๆ ที่การันตีได้เลยว่าจะไม่มีวันได้เห็นนอกตู้ ส่วนฉันไม่ได้ทำท่าทางอะไร ใบหน้าเรียบนิ่งไร้รอยยิ้มทั้ง 16 ช็อต

ถ่ายเสร็จเขาก็แบ่งรูปครึ่งหนึ่งให้ฉัน เขาเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ ส่วนฉันติดไว้หลังโทรศัพท์โมโตโรลาแบบฝาพับได้ แต่ผ่านไปไม่นานรูปบนฝาโทรศัพท์ก็ซีดจาง สีสันสูญสลาย เหลือเพียงแผ่นสี่เหลี่ยมสีขาวขุ่น จางจากไปพร้อมกับความสัมพันธ์ของเรา ทิ้งไว้แค่รอยยิ้มและท่าทางแปลกๆ ของเขาในตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้ถ่ายรูปในตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์

 

5

เดือนเมษายนต้นฤดูร้อน ฉันมาเชียงใหม่เพราะร้านกาแฟที่ฉันทำงานอยู่ย่านอารีย์ ส่งมาเป็นตัวแทนร้านเข้าร่วมการแข่งขันเทลาเต้อาร์ตที่กาดสวนแก้ว ฉันเริ่มทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านกาแฟตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จนเรียนจบก็ได้เป็นบาริสต้าประจำร้าน แต่มือฉันยังไม่ค่อยนิ่งนัก จึงตกรอบแรก ส่วนคนที่ได้แชมป์นั้นเทลวดลายในถ้วยกาแฟเป็นรูปม้ายูนิคอร์น ส่วนฉันเทได้แค่ลายใบไม้

หลังแข่งเสร็จ ตอนบ่ายฉันจึงเช่ารถมอเตอร์ไซค์ไปขับเล่นแถวคูเมือง เพราะคืนนี้ต้องบินกลับกรุงเทพฯ แล้ว ขับไปถ่ายรูปเล่นแถวประตูท่าแพ แวะซื้อของกินที่กาดหลวง และขับรถเข้าสู่ถนนเจริญประเทศ รุ่นพี่ที่ทำงานบอกฉันว่ามีร้านกาแฟสวยๆ อยู่ชั้นล่างสุดของโรงแรมเก่าบนถนนเส้นนั้น

ร้านกาแฟหาไม่ยากนัก หน้าร้านมีต้นลมแล้งทิ้งกลีบดอกสีเหลืองอ่อนเกลื่อนพื้น ยืนเคียงคู่กับหัวฉีดน้ำดับเพลิง มีม้านั่งไม้ยาววางที่เขี่ยบุหรี่ไว้ ฉันพลักบานประตูในซุ้มโค้งเข้าไปสั่งกาแฟ คาปูชิโน่เย็นคือแก้วโปรดของฉัน

ฉันออกมานั่งรอบนม้านั่งไม้ยาวหน้าร้าน ควานหาบุหรี่ในกระเป๋าย่าม ลมฤดูร้อนพัดแรงจนกลีบดอกลมแล้งปะทะใบหน้าและแว่นตา ฉันหันกลับไปมองอีกฝั่ง เห็นตู้แปลกๆ แต่คุ้นตา เมื่อไล่สายตาไปบนข้อความ ‘PHOTO AUTOMAT SCULPTURE’ ความทรงจำในตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ก็ไหลย้อนวนกลับมา

น่าจะสิบปีได้ที่ฉันไม่ได้ถ่ายรูปในตู้สติ๊กเกอร์ ครั้งสุดท้ายคงเป็นตอนมัธยมปลาย ตอนถ่ายคู่กับแฟนเก่า น่าแปลกใจที่ฉันจำวันเวลาที่เคยใช้ร่วมกันนั้นไม่ค่อยได้นัก จำได้แค่หัวเกรียนๆ ของเขา กับท่าทางประหลาดๆ ในตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์นั้น ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไร สบายดีไหม ไม่มีช่องทางติดต่อ เลือนหายไปเหมือนรูปที่เคยติดอยู่บนฝาโทรศัพท์แบบพับได้ ซึ่งฉันก็ไม่ได้ใช้รุ่นนั้นแล้ว

ฉันแหวกผ้าม่านสีขาวและสีเทา เข้าไปยืนในตู้ที่ขนาดใหญ่กว่าตู้โทรศัพท์เล็กน้อย เลื่อนผ้าม่านทั้งสองสีเข้าหากัน กดหน้าจอที่ตู้ สแกนจ่ายเงินหนึ่งร้อยยี่สิบแปดบาท ยืนตัวตรงประหนึ่งถ่ายรูปติดบัตรนักเรียน หลังจากนั้นตู้ก็นับถอยหลัง เสียง ‘แชะ แชะ แชะ’ ไล่หลังตามมา

ขณะรอตู้ประมวลผล ฉันคิดถึงกลุ่มเพื่อนทั้งสี่คนที่เคยถ่ายรูปในตู้สติ๊กเกอร์ด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันไม่ได้สนิทกันแล้ว บางครั้งวันเวลาก็โหดร้ายกับคนเรานะ ช่วงเวลาหนึ่งสนิทกันมาก แต่พอผ่านไปก็เหมือนไม่เคยได้รู้จักกัน คงเหมือนใบหน้าบนรูปถ่ายจากตู้สติ๊กเกอร์ ซีดจางไปตามวันเวลา จนถึงวันที่ลืมเลือนกัน

ถ่ายเสร็จหน้าจอบนตู้ก็ขึ้นคิวอาร์โค้ด ฉันหยิบมือถือมาสแกนและเซฟภาพไว้ ก่อนที่เสียงเรียกของบาริสต้าบอกฉันว่าคาปูชิโน่เย็นแก้วโปรดที่ฉันรอคอยมาถึงแล้ว ฉันนั่งบนม้านั่งไม้ เปิดรูปที่เพิ่งถ่ายเมื่อกี้ดู หญิงสาวไว้ผมทรงหัวเห็ด แว่นตากรอบเหลี่ยม ผิวขาวซีดเหมือนซาลาเปา แถมยังมีกระบนลานแก้มอีก นั่นแหละฉัน ฉันส่งรูปนี้ให้พ่อดูทางไลน์ และบอกว่าได้ถ่ายรูปในตู้สติ๊กเกอร์ในรอบสิบกว่าปี พ่อตอบกลับมาว่า “น่ารักดี (แต่จะน่ารักกว่านี้หากลูกยิ้ม)” ฉันส่งสติ๊กเกอร์หมียิ้มให้พ่อ พ่อส่งกลับมาว่าเดินทางปลอดภัย

ฉันละเลียดกาแฟจนหมดแก้ว เข้มข้นและหอมมันเหมือนที่รุ่นพี่แนะนำไว้ ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับแล้ว ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปคืนที่ร้านเช่ารถย่านถนนห้วยแก้ว ก่อนจะเรียกรถแดงมุ่งหน้าไปสนามบิน

หลังเช็กอินเสร็จ ฉันซื้อแซนด์วิชกินกับน้ำอัดลมขณะรอเข้าเกท แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ ฉันลืมรูปไว้ที่ตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ รูปของฉันยังอยู่บนถาดพิมพ์รูปข้างตู้ ฉันสแกนมาแค่รูปในไฟล์ดิจิทัล ส่วนรูปถ่ายเป็นใบยังอยู่ที่นั่น ฉันนึกเสียดายที่ลืมไว้ และนึกย้อนทบทวน มีหลายสิ่งเหลือเกินที่ฉันทำหล่นหายในชีวิตนี้

ฉันนึกขำ หากมีใครมาถ่ายรูปที่ตู้สติ๊กเกอร์แห่งนั้น แล้วเจอรูปฉันวางอยู่ในถาด เขาหรือเธอจะรู้สึกอย่างไรกันนะ ฉันอายตัวเองมากกว่า จะกลับไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว และฉันไม่รู้จะได้มาเชียงใหม่อีกเมื่อไหร่

แต่หากว่าฉันได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ฉันคิดว่าจำร้านกาแฟที่มีต้นลมแล้งอยู่หน้าร้านได้ ฉันจะสั่งคาปูชิโน่เย็นและถ่ายรูปในตู้สติ๊กเกอร์ โดยไม่ลืมที่จะหยิบรูปตัวเอง ถึงตอนนั้นฉันคงเทลาเต้อาร์ตได้มากกว่าแค่ลายใบไม้อย่างแน่นอน •