‘ดีล’ กระเพื่อม? ‘นิด-ทิน’ จัดแถว ล้างระบบซื้ออาวุธ ‘ขัดใจทหาร’ สะพัด ‘บิ๊กปู’ ผบ.ทหารสูงสุด

ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลที่เคยหวานชื่น เริ่มกลับมาถูกจับตามอง เมื่อมีการขัดใจในเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการเปลี่ยนระบบการจัดซื้อ มาใช้แบบรวมการ ดึงอำนาจมาอยู่ที่กลาโหม

การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ถือเป็นอีกขุมทรัพย์ หรือหม้อข้าวทหาร ที่เรียกว่าเป็น “ดิ อันทัชเอเบิล” สมบัติข้า ใครอย่าแตะ แตะทีไร ก็มักมีรัฐประหารตามมา

แม้จะไม่ใช่สาเหตุหลักของการรัฐประหาร แต่มักจะเป็นปัจจัยกระตุ้น ส่งเสริมให้ผู้คิดก่อการในกองทัพ เร่งก่อการเร็วขึ้น หรือกระตุ้นการตัดสินใจ

มาตอนนี้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่เน้นความเป็นพลเรือน นายกฯ พลเรือน นักธุรกิจ รมว.กลาโหมพลเรือน กำลังถูกจับตามองไปที่การบริหารจัดการกองทัพ ภายใต้ดีลที่เชื่อมโยงกับดีลตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย กับขั้วอนุรักษนิยม ที่มีกองทัพเป็นฐาน ที่รัฐบาลจะต้องไม่ล้างบาง ไม่เช็กบิลกองทัพ

แต่หลังบริหารงานมา 7 เดือน ประกอบกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้พักโทษ และเคลื่อนไหวทางการเมืองแล้ว ก็เริ่มปรากฏความเคลื่อนไหวในการรุกไล่กองทัพมากขึ้น

เริ่มต้นกับกองทัพเรือ ตั้งแต่ตัดงบฯ ซื้อเฮลิคอปเตอร์ 3 พันล้านบาท ของ ศรชล และงบฯ เรือฟริเกต 1.7 หมื่นล้าน ออกจากงบฯ ปี 2567 แล้ว ยังดองไม่นำเข้าบรรจุในงบฯ ปี 2568 ที่จะต้องนำเข้า ครม. แต่ก็ไม่มีวี่แววมา 2 ครั้งแล้ว

โดยที่ นาย สุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม เปิดช่องให้เป็นดุลพินิจของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าจะอนุมัติหรือไม่ กลาโหมไม่ขัดข้อง เพราะนายกฯ ดูภาพรวมงบประมาณ เพื่อไม่ให้งบฯ จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์มากเกินไป เพราะมีทั้งเครื่องบินรบ เรือดำน้ำ ทึ่อยู่ระหว่างการเจรจาเปลี่ยนเป็นเรือฟริเกต

ที่กำลังกลายเป็นอีกปมปัญหาหนึ่ง ที่ทำให้กองทัพเรือไม่ค่อยแฮปปี้กับรัฐบาล โดยเฉพาะนายสุทิน ที่เคยรับปากว่าจะหนุนซื้อเรือฟริเกตในงบฯ ปี 2568 ไม่แค่นั้น ยังมาเปลี่ยนแปลงแนวทางแก้ไขปัญหาเรือดำน้ำจีน ให้กลับไปเป็นการยกเลิกเรือดำน้ำ แล้วเปลี่ยนเป็นเรือผิวน้ำ เช่น เรือฟริเกต หรือเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง (OPV)

ทั้งๆ ที่กองทัพเรือเตรียมการรองรับ เรือดำน้ำจีนลำแรกแล้ว เพราะคณะกรรมการแก้ปัญหาเรือดำน้ำของกระทรวงกลาโหม ที่มี พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม เป็นประธาน มีมติให้เดินหน้าเรือดำน้ำจีนต่อ โดยให้ ทร.แก้ไขข้อตกลง เปลี่ยนใช้เครื่องยนต์จีนแทนเครื่องยนต์เยอรมัน แล้วเสนอที่ประชุม ครม.ในการขยายสัญญาเวลาในการต่อเริอดำน้ำ ออกไปอีก 1,217 วัน

แม้ว่าคณะกรรมการจะมีข้อเสนอที่ 2 ในการให้ยกเลิกเรือดำน้ำจีนก็ตาม แต่ก็มีข้อเสนอแนะว่าเป็นไปได้ยากที่จะได้เงินที่จ่ายงวดไปเกือบ 8 พันล้านคืน และอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

การเดินทางไปเยือนจีนอย่างไม่เป็นทางการ โดยเร่งด่วนของนายสุทิน ในนามรัฐบาล โดยมีนายจักรพงษ์ แสงมณี รมช.ต่างประเทศร่วมเดินทางด้วย เมื่อ 25-26 มีนาคมที่ผ่านมา พร้อมทั้งบิ๊กดุง พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร. และนายพลเรือ หน้าห้อง ผบ.ทร. เพื่อไปเจรจาในการยกเลิกเรือดำน้ำและเปลี่ยนเป็นเรือฟริเกตอีกครั้ง

โดยไม่ผ่านช่องทางทางการทูต หรือผู้ช่วยทูตทหารเรือ จนมีการตรวจสอบกันใน ทร. และฝ่ายจีนเองว่า นายสุทินประสานกับบิ๊กรัฐบาล บิ๊กทหารจีน ผ่านช่องทางใด ใครเป็นผู้ประสาน จนทำให้บริษัทจีนที่ต่อเรือ ไม่ค่อยแฮปปี้ เพราะเคยเจรจากันมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ยังยกเลิกเรือดำน้ำจีนไม่สำเร็จ และ ทร.ก็พร้อมสนับสนุนเปลี่ยนใช้เครื่องยนต์จีน โดยกระแสข่าวที่ออกมาจาก ทร. ไม่เป็นผลดีต่อนายสุทิน

จนมีกระแสข่าวจากฝ่ายจีนว่า ทางบริษัทที่ต่อเรือจะไม่ยอมให้ยกเลิก แต่หากจะยกเลิกจริงๆ จะไม่คืนเงินงวดที่จ่ายมาแล้ว หรือจะไม่จ่ายเงินให้บริษัทต่อเรือฟริเกตจีน แต่จะส่งเรือดำน้ำครึ่งลำนั้นมาให้ ทร.ไทยเลยทีเดียว จนข่าวสะพัด ทร. ยังไงก็ยกเลิกเรือดำน้ำไม่ได้แน่นอน

ทร.จึงต้องการให้รัฐบาลอนุมัติซื้อเรือฟริเกตลำใหม่ ให้อยู่ในงบฯ 2568 ไม่ต้องรอผลเจรจาเรือดำน้ำ ที่นายสุทินระบุว่า จะให้จบในเมษายนนี้ และยังพยายามเจรจาต่อไป แบบผ่านวิดีโอคอลล์ และจะเดินทางไปจีนอีกครั้ง ก่อนที่จะมีกำหนดเยือนจีนอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกลาโหมจีน ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้

 

ท่าทีของนายเศรษฐา และนายสุทิน ที่มีต่อกองทัพ จึงเป็นที่จับตามอง โดยเฉพาะเมื่อนายเศรษฐาระบุว่า เจอวาทกรรม “นายกฯ เลียรองเท้าทหาร” เอาใจทหาร พร้อมยืนยันว่า “ผมไม่ได้เลียครับ”

นายสุทินก็ช่วยยืนยันว่านายกฯ ไม่ได้เอาใจทหาร หรือเลียท็อปบู๊ต เพราะมีหลายอย่างที่ขัดใจ เช่น ยังไม่ให้ซื้อเรือฟริเกต และโดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนระบบการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่

โดยนายสุทินปัดฝุ่นแนวคิดการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์แบบรวมการ ที่เคยคิดไว้ตั้งแต่แรกที่มาเป็น รมว.กลาโหม แต่ได้ระงับไว้ก่อน หลังจากที่มีการหยั่งเชิงเหล่าทัพแล้วมีบางเหล่าทัพไม่เห็นด้วย

แต่มาคราวนี้ นายสุทินเดินหน้าด้วยการมอบหมายให้ พล.อ.สมศักดิ์ เป็นหัวหน้าทีมในการพิจารณาออกแบบว่าจะจัดระบบในลักษณะไหน โดยให้หารือกับ พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกลาโหม และ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารทหารสูงสุด

โดยจะให้มีคณะกรรมการกลางในส่วนของกลาโหมร่วมด้วยตัวแทนเหล่าทัพพิจารณาว่าในแต่ละปีงบประมาณจะจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ใดของแต่ละเหล่าทัพ โดยยึดเอาความจำเป็น และแผนพัฒนากองทัพ รวมทั้งภัยคุกคาม เพื่อจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนว่าจะจัดซื้อของเหล่าทัพใดก่อนโดยมีการจัดทำสมุดปกขาว White Paper ของแต่ละเหล่าทัพเพื่ออ้างอิง จากที่กองทัพอากาศเป็นเหล่าทัพเดียวที่มีสมุดปกขาวตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว มาตอนนี้กองทัพเรือและกองทัพบกก็จัดทำสมุดปกขาวขึ้นเช่นกัน

แม้จะเป็นระบบการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่เป็นสากลที่กองทัพหลายประเทศใช้กัน เพราะจะสามารถป้องกันข้อครหาเรื่องการจัดซื้ออาวุธของผู้บัญชาการเหล่าทัพได้ด้วยก็ตาม

แต่ก็ถูกมองว่าเป็นการรวบอำนาจไปอยู่ในมือกลาโหม จากที่เคยเป็นอำนาจของผู้บัญชาการเหล่าทัพในการพิจารณาตัดสินใจเองว่าจะซื้ออะไร ที่อาจจะถูกมองว่าเป็นการลิดรอนอำนาจและทุบหม้อข้าวของเหล่าทัพ ที่กำลังถูกจับตามองว่าจะทำสำเร็จและทำได้จริงหรือไม่

 

จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลเริ่มรุกไล่กองทัพมากขึ้นหรือไม่ หรือเป็นเพราะ “ดีล” เคลื่อน ดีลกระเพื่อม เพราะก่อนหน้านี้ก็รุกไล่เรื่องขุมทรัพย์กองทัพ เช่น สนามม้า สนามกอล์ฟ สนามมวย รีสอร์ต โรงแรม ที่ดินทหาร สถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ จนกองทัพก็ต้องยอมให้เป็นสวัสดิการเชิงพาณิชย์ ส่งรายได้เข้ากรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง จากที่เคยเป็น “เงินนอกงบประมาณ”

นอกจากนั้น สัญญาณบางอย่างในกองทัพ ก็กำลังถูกจับตามองว่าเปลี่ยนไปหรือไม่ หลังจากมีข่าวสะพัดในกองทัพบก เรื่องผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนใหม่ จากเดิมชื่อของบิ๊กปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ เสนาธิการทหารบก เคยเป็นเต็งหนึ่ง มาตั้งแต่เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และฟาสต์แทร็ก ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1

แต่ชื่อ พล.อ.พนา กลับกลายเป็นเป็นแคนดิเดตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในตุลาคม 2568 ต่อจาก พล.อ.ทรงวิทย์ ที่จะเกษียณราชการ และจะกลายเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคอแดงคนที่ 3 โดยกระแสข่าวอ้างว่าโดยบุคลิกลักษณะและแนวคิดของ พล.อ.พนาแล้วเหมาะที่จะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดมากกว่า และมีอายุราชการถึง 2570 เป็นยาว 3 ปีเลย

ส่วนชื่อของ ผบ.ทบ. กลับสะพัดว่าเป็นชื่อของบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ ผช.ผบ.ทบ. ที่เคยถูก พล.อ.พนา แซงหน้าขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 จน พล.อ.ธราพงษ์ต้องถูกส่งเข้ากองบัญชาการกองทัพบกเป็นพลเอก ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก แล้วในการแต่งตั้งโยกย้ายตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ก็ได้รับความชอบธรรมกลับคืนมา เป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. กลายเป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ. อีกคนหนึ่ง ในบรรดาแคนดิเดตที่เป็น เตรียมทหารรุ่น 24 ด้วยกันอีก 2 คนสายทหารคอเขียว อย่างบิ๊กหยอย พล.อ.อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. และบิ๊กต้น พล.อ.ณัฐวุฒิ นาคะนคร ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก สายรบพิเศษ

ความจริงกระแสข่าวลือนี้ที่ว่า “สัญญาณเปลี่ยน” เกิดขึ้นตั้งแต่การแต่งตั้งโยกย้ายตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา หลังจากที่ พล.อ.พนา ไม่ได้เป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. แต่เป็น เสธ.ทบ. ที่อาจจะไม่ใช่งานถนัดนัก เพราะต้องรับผิดชอบหลายเรื่อง รวมทั้งเป็นเลขาธิการ กอ.รมน. จนทำให้ พล.อ.เจริญชัย รอง ผอ.รมน. ต้องตั้ง พล.อ.อุกฤษฏ์ เป็น ผช.ผอ.รมน. ให้มาช่วยงานที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร

แต่กระแสข่าวนี้กลับมาสะพัดแรงอีกครั้งในกองทัพบกหลังจากมีกระแสข่าวว่า อดีตบิ๊กทหารคนสำคัญ ที่มีบทบาทในสายอนุรักษนิยม เรียก พล.อ.ธราพงษ์ไปพบ

 

ในขณะที่อีกกระแสข่าวหนึ่ง ใน ตท.26 เพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.พนา ก็ยังคงเชื่อมั่นว่า “สัญญาณไม่เปลี่ยน” ยังคงเป็น พล.อ.พนา ที่จะเป็น ผบ.ทบ.คนต่อไป เพียงแต่ในห้วงนี้จะต้องลบโปรไฟล์ และรักษาเนื้อรักษาตัวทำงานอย่างเดียว และงดออกสื่อ

ส่วน พล.อ.ธราพงษ์ จะข้ามไปจ่อเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเพื่อเตรียมขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคอแดงคนที่ 3 ต่อจาก พล.อ.ทรงวิทย์ เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 24

ส่วน พล.อ.อุกฤษฏ์ ก็จะข้ามไปเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมต่อจาก พล.อ.สนิธชนก ที่จะเกษียณกันยายน 2568 โดย พล.อ.ธราพงษ์ เกษียณ 2569

แม้จะมีข่าวว่า อย่ามองข้าม พล.อ.อุกฤษฏ์ ที่เป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ที่เติบโตจาก ร.1 รอ.มาก่อน และเป็นนายทหารคนเก่งสายบุ๋น แถมมีอายุราชการถึง 2570

กระแสข่าวที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะมีการปรับเปลี่ยนขั้วอำนาจในกองทัพ หมดยุคของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ และบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ แล้ว พลังในกองทัพก็แผ่วลง

ท่ามกลางการจับตามองว่าในการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งสำคัญในเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ จะยังเป็น รมว.กลาโหมคนเดิมอยู่หรือไม่ หรือถึงขั้นที่นายเศรษฐาจะต้องมาคุมด้วยตนเอง เพื่อคุมอำนาจในการจัดทัพ

และเพื่อสร้างหลักประกันความมั่นใจ หลังจากที่ได้ระบุว่า การรัฐประหารเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้