หมายจับ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ฟอกเงิน ชิงไหวชิงพริบข้อกฎหมาย บนกระดานชิงอำนาจ ตร.

ศึกตำรวจยังคงเดินหน้ากันต่อเนื่อง ถึงขนาดต้องบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งแรกของอาณาจักรโล่เงิน ที่ ผบ.ตร. และรอง ผบ.ตร. โดนเด้งเข้ากรุสำนักนายกฯ ทั้งคู่ เพื่อเอาความขัดแย้งออกจากองค์กร

แล้ว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง มีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.วินัย ทองสอง อดีตรอง ผบ.ตร. ทั้งสองเป็น ก.ตร. และนายชาติพงษ์ จีระพันธุ อดีตรอง อสส. สอบภายใน 60 วัน

ถ้าจำกันได้วันฟ้าผ่าเปรี้ยงกรมปทุมวันจน “พล.ต.อ.” ทั้งสองต้องกระเด็นกระดอน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม

ตอนเช้าวันนั้น “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. โทรศัพท์หา “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ชวนไปพบนายกฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล เสนอให้รวมสำนวนคดีเว็บพนันออนไลน์ BNK Master ที่ สน.เตาปูน และเว็บพนันมินนี่ ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อเพื่อความยุติธรรม และไม่เกิดภาพความขัดแย้งขึ้นอีก และรอง ผบ.ตร.หนุ่มจะถอนฟ้องคณะพนักงานสอบสวนในคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ทั้งหมด

ก่อนเที่ยงทั้งคู่มาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นั่งแถลงข่าวด้วยกัน

ปรากฏเกิดภาพนายพลทั้งสองประกาศหย่าศึก แล้วยืนกอดเอวกันให้สื่อมวลชนถ่ายรูป

จบด้วย “บิ๊กโจ๊ก” พนมมือโน้มตัวก้มไหว้ “บิ๊กต่อ” ในฐานะผู้บังคับบัญชา

 

งานนี้เข้าใจว่าจบแบบวิน-วิน ไม่บาดเจ็บจากการสาวไส้จนประชาชนสิ้นศรัทธาองค์กรตำรวจ

แต่ปรากฏศึกยังเดินหน้าต่อไป ทั้งคู่ต่างตั้งทีมทนายมาเป็นตัวแทนการต่อสู้

เพราะหมายเรียกข้อหาสมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงินและเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน คดีเว็บพนัน BNK Master ที่ สน.เตาปูน ครั้งที่ 1 ก็ยังคาอยู่ พนักงานสอบสวนต้องยังเดินหน้าต่อไป ไม่เช่นนั้นโดนมาตรา 157

เลยมาสู่หมายเรียกครั้ง 2 และ 3 ตามกฎหมายวิธีพิจารณาอาญาฉบับปัจจุบัน

แต่เวลาส่งหมายเรียกมีอันคลาดเคลื่อนกับผู้ต้องหา จนมองกันว่าเพื่อทำให้หมายเรียกไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 55 หรือไม่

ในที่สุดบ่ายวันที่ 2 เมษายน พนักงานสอบสวน บช.น. ได้ยื่นคำร้องขอศาลออกหมายจับ “บิ๊กโจ๊ก” ความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิด ฐานฟอกเงินและเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงินตามที่สมคบกันตาม ม.5 ม.9 และ ม.10 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542

ปรากฏว่าช่วงเช้า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ชิงยื่นหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาก่อน

ใจความโดยสรุปว่า จากกรณี พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ อดีตรอง ผกก.สส.สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ (ลูกน้องใกล้ชิด) ทำหนังสือขอความเป็นธรรมต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ช่วยรับคดีอาญาที่ 391/2566 ของ สน.เตาปูน เป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวข้องกับเว็บพนันและมีเงินหมุนเวียนเกิน 300 ล้านบาท ถือเป็นอำนาจการสอบสวนดีเอสไอ อีกทั้งยังเป็นการดำเนินคดีอาญาซ้ำกับคดีอาญาที่ 724/ 2566 ที่ถูกดำเนินคดีไปแล้ว และเชื่อว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการดำเนินคดีของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ปรากฏว่าอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้รับคำชี้เเจงดังกล่าวไว้พิจารณา

มีรายงานว่าคณะผู้พิพากษาศาลอาญาเรียก พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.น. เข้ารายงานผลการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียดถึงหมายเรียก 3 รอบ ก่อนพิจารณาออกหมายจับ “บิ๊กโจ๊ก” ในที่สุด

โดยให้เหตุผลว่า คดีมีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าเป็นความผิด ตาม ป.วิ อาญา มาตรา 66, ผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงหมายเรียกของพนักงานสอบสวนและคดีนี้เป็นอำนาจของศาลอาญา

 

ต่อมาเวลา 17.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมนายตำรวจใกล้ชิดเกือบ 10 คน ปรากฏกายที่ สน.เตาปูน เพื่อมอบตัว พนักงานสอบสวนสอบปากคำเกือบ 2 ชั่วโมง แล้วประกันตัวด้วยเงินสด 1 แสนบาท

เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่า “ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษา ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ก่อนหน้านี้ถูกออกหมายเรียกมาหลายครั้ง วันนี้ถูกศาลออกหมายจับก็ต้องยอมรับและต่อสู้ตามกระบวนการ ส่วนเรื่องพิมพ์ลายนิ้วมือก็ยืนยันว่าทำตามขั้นตอนปกติ ไม่ได้ปฏิเสธการพิมพ์ลายนิ้วมือ รวมทั้งไม่มีความกังวลว่าจะกระทบต่อตำแหน่ง”

เมื่อสถานการณ์เดินมาถึงตอนนี้ ต่างนึกถึงคำพูด “บิ๊กต่อ” ที่มีหมายเรียกครั้งแรก “บิ๊กโจ๊ก” ที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ตามขั้นตอน หาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกออกหมายเรียก และถูกออกหมายจับ จะต้องมารายงานตัวในฐานะต้องคดีอาญา หลังจากนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อมีผลก็จะสั่งให้พักราชการ

จึงมีคำถามอื้ออึงว่า “บิ๊กโจ๊ก” ถูกสั่งพักราชการจากถูกหมายจับเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงินหรือไม่

 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ รรท.ผบ.ตร.ได้เปิดเผยหลังเข้าพบ “นายกฯ เศรษฐา” โดยไล่ขั้นตอนว่า จะตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ให้โอกาสผู้ถูกสืบสวนได้ชี้แจง จะยังไม่พิจารณาพักราชการ ออกราชการ หรือสำรองราชการ เพราะเป็นการปฏิบัติภายใต้กฎ ก.ตร. ที่กำหนดไว้การสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงจะต้องใช้ระดับยศไม่ต่ำกว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์

ถ้าผลการสืบสวนข้อเท็จจริงปรากฏเหตุออกมาว่า มีการกระทำความผิดวินัยร้ายแรงเกิดขึ้น จะไปเข้าอีกบทบัญญัติหนึ่งของมาตรา 119 ใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ว่าจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยอีกระดับหนึ่ง

ในขั้นตอนจะพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขในกฎ ก.ตร.หรือไม่ เข้าองค์ประกอบที่บัญญัติไว้ในกฎหมายตำรวจปี 2565 ในมาตรา 112 หรือไม่ จะต้องให้พัก หรือออกราชการ หรือสำรองหรือไม่ อยู่ที่ขั้นตอนนี้ จะเข้าสู่ขั้นตอนการให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง อยากให้ทุกคนแยกออกระหว่างเรื่องอาญากับเรื่องวินัย

จะเห็นว่าในฐานะ รรท.ผบ.ตร. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ มีความเป๊ะตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่ออกนอกลู่นอกทาง

แต่อีกสถานะอย่าลืมว่า “บิ๊กต่าย” เป็นแคนดิเดตอันดับ 2 คู่แข่ง ผบ.ตร.ด้วย

ดังนั้น วงในต่างรู้อิทธิฤทธิ์ซึ่งกันและกันดี

ในเกมชิงอำนาจนี้ต่างรู้กันดีว่า ‘อย่าได้มีแผล’ ไม่มีใครปรานีใคร!