ฝ่ายค้านซักฟอก ม.152 ยกแรกเปิดแผล รบ.-ครม. ก้าวไกล-ปชป.ถามหา ‘ผลงาน’ นายกฯ นิด ยัน 7 เดือนทำเพื่อประชาชน

เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ขอเปิดเวทีซักฟอกรัฐบาล เป็นการโชว์บทบาทครั้งแรกในรอบ 5 ปี ก่อนหมดวาระตำแหน่ง พุ่งเป้าชำแหละ 7 ประเด็นใหญ่ โดยเฉพาะการบริหารราชการแผ่นดิน ภายใต้รัฐบาลนำโดย “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ซึ่ง ส.ว.ต่างมองว่า 7 เดือนของการเข้ามาบริหารประเทศ ยังมีหลายเรื่องไม่เป็นไปตามที่เคยแถลงนโยบายไว้ต่อรัฐสภา

ถัดมาสัปดาห์นี้ วันที่ 3-4 เมษายน ถึงคิวสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดยพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดฉากอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ก่อนที่จะปิดสมัยประชุมสภา

แม้ว่าการเปิดซักฟอกรัฐบาลครั้งนี้จะไม่มีการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี แต่ทว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน การันตีว่าจะไม่ลดความเข้มข้นลงแน่นอน เห็นได้ชัดว่าแต่ละพรรคต่างซุ่มซ้อม ติวเข้ม ทำการบ้าน เก็บข้อมูลเชิงลึก จัดขุนพลทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ขึ้นเวทีชำแหละรัฐบาลแบบไม่มีกั๊ก ไม่มีมวยล้มต้มคนดู มั่นใจว่าสามารถเขย่ารัฐบาลให้สั่นคลอนได้แน่นอน

ส่วนพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะวิปรัฐบาล มั่นใจว่าการอภิปรายครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี สามารถรับมือฝ่ายค้านได้แน่นอน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้ง ส.ส.ของพรรคเป็นองครักษ์ เพื่อพิทักษ์รัฐมนตรี

ขณะที่นายกรัฐมนตรีและบรรดารัฐมนตรี แม้ภารกิจจะแน่นหรือรัดตัวมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ลืมทำการบ้านรับมือฝ่ายค้าน เตรียมข้อมูลมาชี้แจงอย่างเต็มที่เช่นกัน และตั้งใจใช้โอกาสเวทีซักฟอกหนนี้ โชว์ผลงานให้ประชาชนได้รับทราบด้วยว่าตลอดเวลา 6-7 เดือนที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารงานนั้น มีผลงานชิ้นโบแดงอะไรออกมาแล้วบ้าง

“ชัยธวัช ตุลาธน” ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน เปิดฉากโหมโรงเป็นคนแรก พุ่งเป้าถลกประเด็นการบริหารราชการแผ่นดินที่ล้มเหลว โดยระบุว่า รัฐบาลไม่ได้ดำเนินการหรือปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชน ไม่จริงใจ ไม่ตั้งใจ เพิกเฉยต่อคำแถลงนโยบายที่ให้ไว้ต่อรัฐสภา ขาดประสิทธิภาพหรือความชัดเจน ไม่มีการขับเคลื่อนนโยบายหรือแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม นโยบายเร่งด่วนสวนทางกับความเป็นจริง การดำเนินการของรัฐบาลตามนโยบายเร่งด่วนที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา

นอกจากนี้ นายกฯ และ ครม.มีพฤติกรรมทำลายความเชื่อมั่นการบริหารประเทศ ปล่อยปะละเลย ให้มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเอารัดเอาเปรียบประชาชน ระบบราชการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบหรือเกิดการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย หากปล่อยปะละเลยให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถ ไร้เป้าหมาย ไร้จริยธรรม และไร้วุฒิภาวะต่อไป จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูสภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม

“ชัยธวัช” ระบุต่อว่า รัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศมากว่าครึ่งปี ประชาชนคาดหวังที่จะได้เห็นนโยบายในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ปากท้องดีขึ้น แต่สิ่งที่พบคือการดำเนินนโยบายที่สับสน คิดไปทำไป นโยบายเรือธงของรัฐบาลขาดยุทธศาสตร์และแนวทางที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม ประชาชนคาดหวังจะเห็นการปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ตอนเริ่มจัดตั้งรัฐบาลแถลงด้วยความมั่นใจว่าจะผลักดันให้เกิดการจัดทำประชามติเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว ผ่านไป 7 เดือนแล้วยังคงวกไปวนมา

ชัยธวัชระบุด้วยว่า ประชาชนไม่สามารถไว้วางใจในกลไกลการบริหารราชการแผ่นดิน ความเสมอภาคเท่าเทียมในการบังคับใช้กฎหมายและความเสมอภาคเท่าเทียมในกระบวนการยุติธรรม ถูกเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ซ้ำเติมวิกฤตศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องหลังการรัฐประหาร หลังการเลือกตั้ง หลังมีรัฐบาลใหม่ ประชาชนคาดหวังจะเห็นระบบการเมืองที่นำพาชาติและประชาชนเดินไปข้างหน้า ไปสู่อนาคตที่ดีกว่า แต่สิ่งที่เจอ สิ่งที่ได้กลับกลายเป็นประชาธิปไตยแบบไหลย้อนกลับ

ฟาก “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำทีมพรรค ปชป.อภิปรายเป็นคนแรก โดยระบุ รัฐบาลชุดนี้เต็มไปด้วยรัฐมนตรีที่ไร้ประสิทธิภาพ ทำให้มีทั้งรัฐมนตรีที่โลกลืม รัฐมนตรีผิดฝาผิดตัว รัฐมนตรีต่างตอบแทน รัฐมนตรีทำการเฉพาะกิจ และรัฐมนตรีที่โลกเซ็ง

ภาพรวม 7 เดือนที่รัฐบาลเข้ามาไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นในเรื่องเศรษฐกิจ ตัวเลขต่ำกว่าเป้าที่คาดการณ์ หากรัฐบาลชุดนี้บริหารครบถึงเดือนธันวาคม มีการประเมินการคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2567 จะต่ำกว่าที่กำหนดไว้

“จุรินทร์” ยังระบุอีกว่า ส่วนเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ประชาชนหลายคนเลิกเชื่อแล้ว จะเอาเงินมาจากไหน จนวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ นอกจากประเด็นการบริหารงานที่ล้มเหลวแล้ว อีกประเด็นสำคัญที่พรรค ปชป.พุ่งเป้าอภิปรายคือเรื่องกระบวนการยุติธรรม และมองว่าปัญหาใหญ่ที่สุดที่รัฐบาลต้องแก้ เพราะเป็นสิ่งที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายรัฐบาลนี้มากที่สุด ในฐานะผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง

จึงอยากถามนายกรัฐมนตรี 3 ข้อ และขอให้ช่วยตอบด้วยตนเองในฐานะที่เป็นฝ่ายบริหาร คุมเสียงข้างมากในสภา จะทำหลักนิติธรรมให้เข้มแข็งกับประเทศได้หรือไม่

ขณะที่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า รัฐมนตรีทุกท่านพร้อมให้ความกระจ่าง ส่วนของข้อเสนอแนะจะนำไปปฏิบัติหากเป็นข้อเสนอแนะที่นำไปปฏิบัติได้เป็นรูปธรรม แต่เริ่มต้นมาก็พูดแรงพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิ้นหวัง ล้มเหลว ไม่โปร่งใส ไม่ปฏิรูป ถอยหลัง ปิดบัง ทำลาย แต่ว่าก็มีอีกด้านเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมีหวัง สำเร็จ สิทธิ พัฒนา แทนที่จะเป็นปฏิรูป ส่วนที่บอกว่าถอยหลัง ก้าวหน้า วกวน เราก็เดินหน้าไป มีความโปร่งใส เชื่อว่าหลายอย่างที่รัฐบาลทำอยู่ก็พยายามทำให้เป็นเรื่องบวก เป็นเรื่องของอนาคต และแสงสว่าง ที่พี่น้องประชาชนจะได้เห็น แต่หากท่านยังมีข้อกังขาในเรื่องของความไม่โปร่งใส ไม่สำเร็จถดถอยก็บอกมา เชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านพร้อมที่จะชี้แจง

“เศรษฐา” ระบุต่อว่า การที่เราทำงานมา 6 เดือน มีการอนุมัติงบประมาณไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มั่นใจว่าทำงานด้วยความซื่อสัตย์โปร่งใส พร้อมให้ความกระจ่างกับท่านสมาชิกที่ยังไม่มีความเข้าใจกับเรื่องเหล่านี้ ส่วนที่หลายท่านวิจารณ์ว่าตนเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ต้องขอชี้แจงว่าจาก 10 กว่าครั้ง เกือบครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องที่เราควรจะต้องไป เป็นเรื่องของอาเซียน และเรื่องที่มีการประชุมกันเป็นประจำอยู่แล้ว เราเป็นน้องใหม่ เป็นผู้นำที่เพิ่งเข้าสู่ตำแหน่ง จึงต้องไปพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนนโยบายซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะให้ประเทศไทยมีตัวตนบนเวทีโลก

“ทุกเรื่องต้องใช้เวลา รัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหารจัดการประเทศได้เพียง 7 เดือนเท่านั้น เชื่อว่าทุกท่านทำงานหนัก รัฐมนตรีทุกท่านมีความปรารถนาดีต่อพี่น้องประชาชน มีข้อเสนอแนะอะไรดีๆ ก็รับฟัง หากมีข้อกล่าวหาอะไร ขอหลักฐาน ขอเหตุผล ส่วนเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เชื่อว่าประเทศไทยหลังจากมีการเลือกตั้ง เรามีความก้าวหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่ดีขึ้น รัฐบาลยินดีรับฟังรับข้อเสนอจากสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกท่าน และรัฐมนตรีทุกท่านพร้อมให้ความกระจ่างในทุกๆ เรื่อง แต่หากเป็นเรื่องที่กล่าวโทษกล่าวหาก็ขอหลักฐานมาบ้าง เราจะได้ไปทำงานกันได้” นายกฯ ระบุ

 

ภาพรวมการซักฟอกรัฐบาลตลอดทั้ง 2 วัน พรรคร่วมฝ่ายค้านต่างจัดขุนพลสลับกันกันขึ้นอภิปราย ดุเดือด เข้มข้น

เรียกได้ว่าเป็นการเตรียมพร้อมลับมีดรอสำหรับเวทีซักฟอกแบบลงมติที่จะมีขึ้นในอนาคตเลยก็ว่าได้

แน่นอนว่า ฝ่ายรัฐบาลเองต้องฉุกคิด จะนิ่งนอนใจไม่ได้แล้ว

สิ่งสำคัญนับจากนี้ไปต้องเร่งเครื่องพิสูจน์ฝีมือ คลอดผลงานออกมาตามที่สัญญาไว้กับประชาชนให้ได้