สมดุลแห่ง”ไวและใหม่” | สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

สมดุลแห่ง”ไวและใหม่”

 

มีการคาดหมายว่า การเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ในวันที่ 3-4 เมษายนนนี้

จะทำให้ความสัมพันธ์ ระหว่างพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล กับพรรคก้าวไกล หมางเมินกันมากยิ่งขึ้น

ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้น

เพราะบทบาทและหน้าที่ของทั้งสองพรรค ต้องยืนคนละข้าง อยู่แล้ว

จึงเป็นเรื่องปกติที่จะต้อง”ขัดแย้ง”กัน

จะเป็นเรื่องน่าประหลาด หรือ น่าจะเสียหายมากกว่า หากการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ทั้งสองฝ่ายจะออมมือ หรือเกี๊ยเซียะกัน

เพียงเพื่อจะถนอมสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างกันเอาไว้

ซึ่งจะไม่ก่อผลดีต่อ ระบบการเมืองโดยรวมเลย

ทั้งพรรคเพื่อไทยและก้าวไกล ควรจะทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่น่าจะถูกต้องเหมาะกว่า

อ้างคำพูดเท่ๆของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ก็คือ ขอให้เป็น”ความตรึงเครียดเชิงสร้างสรรค์”

โดยทั้ง 2 พรรคต้องห้ำหั่นกันให้เต็มที่ เพื่อที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า

ซึ่งว่าไปแล้ว “การเปลี่ยนแปลง”ที่ว่า ก็ดูจะจ่อประตูของทั้งก้าวไกลและเพื่อไทย จึงต้องเตรียมตัวให้ดี

อย่างก้าวไกล ตอนนี้คนเชื่อไปค่อนประเทศแล้วว่า มีโอกาสจะถูกยุบพรรคสูง

ยิ่งกว่านั้น อาจเลวร้ายมากยิ่งขึ้น ด้วยกรรมการบริหารพรรคอาจจะถูกประหารทางการเมืองจำนวนมาก

ทำให้ตอนนี้ มีการกล่าวถึง ชื่อพรรค”ก้าวใหม่”มากขึ้น

ซึ่งถ้าเป็นจริงตามนั้น การจะ “ก้าว” ไปในทาง”ใหม่” ได้ คงจะต้องโชว์บทบาทให้เต็มที่

ทั้งในฐานะพรรคและในฐานะบุคคล ให้โดดเด่น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนในทางร้าย

พรรคใหม่ที่จะเกิดขึ้นควรจะดำเนินไปแบบ ตายสิบเกิดแสน หรือยิ่งยุบยิ่งโต

สามารถพัฒนาและสรรหาบุคคลากรที่มีคุณภาพเข้ามาต่อยอดบุคลากรเดิมที่ไม่อาจไปต่อ ได้อย่างไม่ขาดสาย

แน่นอน หาก พรรคก้าวไกล สามารถแสดงคุณภาพในการอภิปรายทั่วไปได้ อย่างประทับใจคนดู

พรรคใหม่ ไม่ว่าจะในนาม ก้าวใหม่ หรือ ในนามอื่นใด ก็จะอยู่ในการสนับสนุนของชาวบ้านต่อไปและอาจเพิ่มขึ้นด้วย

เช่นกันสำหรับ พรรคเพื่อไทย ในฐานะบทบาทแกนนำรัฐบาล คงจะต้องทำการบ้านอย่างดี เพื่อที่จะมา ชี้แจง ตอบโต้ หัก ล้าง ฝ่ายค้าน อย่างมีวุฒิภาวะ

ขณะเดียวกัน ก็ต้องเร่งสร้างผลงานที่รับปากประชาชนไว้ ให้เป็นจริง ให้ได้มากที่สุด

เพราะคงไม่มีอะไรจะตอบโต้ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านดีไปกว่า การสร้างผลงานที่ชัดเจน จับต้องได้

อย่างน้อยที่สุด วันที่ 10 เมษายน นโยบายเรือธงอย่างการแจกเงิน10,000 บาท จะต้องเริ่มต้นขึ้นจริงๆอย่างที่โหมโรมไว้

มิใช่ถึงวันที่ 10 เมษายนแล้ว ยังต้องมีสิ่งคาราคาซังให้ถกเถียงกันอีก

ถ้าเป็นอย่างนั้น รัฐบาลก็คงเหน็ดเหนื่อย

ต้องไม่ลืมว่า หลังนายทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษ ชาวบ้านสัมผัสได้ ถึง “ความไว”

เป็น ความไวที่มิใช่หายป่วยหนักไวเท่านั้น

หากแต่ มีความ”ไว”ทางการเมืองเกิดขึ้น จะทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ทั้งปรากฏการณ์ไปเคารพบรรพบุรุษที่เชียงใหม่ ที่พ่วงกับการไป”ดูงาน”ของนายทักษิณ

ละเรื่อยมาถึง การที่นายทักษิณ ไปเยี่ยมเยียนส.ส.ถึงที่เพื่อไทย ยากจะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง

และไม่ใช่การเมืองธรรมดา หากแต่มีอัตราเร่งของความเร็ว ที่เหนือความคาดหมาย

ยิ่งหากนายทักษิณ เริ่มเดินสายไปหามวลชนในจังหวัดต่างๆ

แรงดึงดูดทางการเมืองก็จะมาอยู่ที่นายทักษิณ

หากฝั่งรัฐบาลปรับสมดุลไม่ดี เกิดศูนย์อำนาจหลายศูนย์ ก็คงเหนื่อย

เหนื่อยทั้งเจอความ”ใหม่”ฝ่ายค้าน

และยังต้องเผชิญความ”ไว”ของฝ่ายเดียวกันอีก

—————