แตก”ร่าง” -ยืด”กาย” : โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร
—————–
แตก”ร่าง” -ยืด”กาย”
—————–
ต้องยอมรับว่า คณะรัฐประหาร และรัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
มากด้วยความ ยืดหยุ่น พลิกแพลง
ต่างจาก คณะรัฐประหารอื่น เช่น คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(รสช.) ที่แข็งทื่อ ทำให้เปราะหักง่าย และพังครืนลงเมื่อผลักดัน ให้พล.อ.สุจินดา คราประยูร ขึ้นสู่นายกฯ
ขณะที่ คณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็อ่อนยวบกันการรีบมอบคืนอำนาจให้กับฝ่ายเลือกตั้ง จนมีการกล่าวว่าพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำให้การปฏิวัติ “เสียของ”
เมื่อมาถึงยุค ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้สรุปบทเรียน และปรับตัวหลายเรื่อง
เช่น แม้ตนเองจะมีบุคคลิกแข็งกร้าว แต่ก็พร้อมจะขอโทษหรือยอมเปลี่ยนท่าทีแบบไม่ต้องรักษาฟอร์มใดๆ
หรือ แม้จะถูกมองว่า สืบทอดอำนาจ ก็มิได้ปฏิเสธ แต่พยายามนำเสนอเป้าหมายการสืบทอดอำนาจเช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นต้น
ขณะเดียวกัน มิได้ใช้อำนาจ”เบ็ดเสร็จเด็ดขาด”โดยตรง แต่มีการสร้างกลไกโดยเหล่าเนติบริกร ให้ช่องทางอำนาจไปแผงอยู่ในกลไกต่างๆ โดยเฉพาะ รัฐธรรมนูญ และกฏหมายต่างๆ
และล่าสุด ก็คือ การแบ่งร่าง หลายๆร่างให้อยู่ภายในคนๆเดียวกัน เพื่อทำให้เกิดความยืดหยุ่น พลิกแพลง หรือแม้แต่ ตะแบง การใช้อำนาจ ได้อย่างดื้อๆ
การมี 3 ร่าง คือ หัวหน้าคสช. นายกรัฐมนตรี และ ล่าสุด คือการเป็นนักการเมือง ในตัวพล.อ.ประยุทธ์ คนเดียว
แม้จะมองว่าทำให้เกิดภาวะสับสน
และทำให้ข้ออ้างที่ว่าจะเป็น คนกลางเข้ามาเชื่อมประสานทุกฝ่ายให้ปรองดองกัน พังทะลายลงนั้น
เอาเข้าจริง เมื่อคสช.และรัฐบาล ขับเคลื่อนมาร่วม 3 ปี ภาวะคนกลาง ก็แทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
จะพูดอย่างไร คนก็ไม่เชื่อ
เมื่อเปล่าประโยชน์เช่นนั้น ก็ป่วยการที่จะรั้งเอาไว้ สู้ขับเคลื่อนไปสู่ อีกจุดหนึ่ง ที่น่าจะทำให้ พื้นที่ในการ”เล่นเกมอำนาจ”ขยายออกไปอีกดีกว่า
แล้วเราก็ได้ยิน คำพูด”ผมคือนักการเมือง”ออกจากปากพล.อ.ประยุทธ์
ทั้งที่ปากเดียวกันนี้เคยก่นด่านักการเมืองอย่างสาดเสียเทเสียมาแล้ว
แต่พอเห็น”ประโยชน์”ที่จะได้ ชาติชาติทหารก็ โค้งงอลงได้ อย่างไม่น่าเชื่อ
ซึ่งนี่คือ ความยืดหยุ่น พลิกแพลง ที่เราไม่เห็นบ่อยนัก จากคณะรัฐประหาร
คงต้องรอดูว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะใช้ประโยชน์จากคำว่า “นักการเมือง” ในขอบเขตที่กว้างขวางมากน้อยเพียงใด

แน่นอน คงเปรอะเปื้อน ไปด้วยโคลนตม
แต่กระนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็คงไม่ถึงขนาดถลำลงไปทั้งตัว
เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็คงไม่สามารถ ลงสมัคร รับเลือกตั้ง และตั้งพรรคการเมืองได้
เป็นได้ ก็เฉพาะ “กองหนุน”ตัวเบ้ง ที่จะทำให้ พรรคหรือกลไกต่างๆ ปูทางให้ตนเองเข้าสู่อำนาจอย่างชอบธรรม ในฐานะ “นายกฯคนนอก”
แน่นอน หากพล.อ.ประยุทธ์ จำกัดตัวเอง ไว้เฉพาะ 2 ร่างคือ หัวหน้าคสช. และ นายกรัฐมนตรี บทบาทการเป็น “กองหนุน”คงทำอะไรได้ไม่มาก
และคงถูกโจมตีอย่างหนัก ว่าแอบแฝงเป็นกองหนุน
แต่เมื่่อข้อจำกัดตรงนี้พังทะลายลง ด้วยการประกาศ ผมเป็นนักการเมือง
จึงคาดหมายว่าคงจะมีการแตก”ร่าง” – ยืด”กาย” รุกคืบเข้าไปในปริมลฑลการชิงอำนาจ ที่ละเอียดอ่อนและหมิ่นเหม่ ไม่อาจใช้ร่าง หัวหน้า คสช.และนายกฯเข้าไปได้
และเมื่อถึงที่สุดร่างหลายๆร่างเหล่านี้ก็คงมารวมกันสู้โดยมีกองทัพและกลไกต่างๆเข้ามาหนุนเนื่อง
จนอาจทำให้ บางคน”ฝันหวาน”ถึงอนาคต
กระนั้นภายใต้กระบวนการที่เหมือน”รุก”นั้น
พบอะไรต่อมิอะไรทิ้งเรี่ยราดตามรายทางของการรุกอยู่จำนวนมาก
จนอาจทำให้ฝันหวาน กลายเป็นฝันร้ายได้ง่ายๆ
—————–