ผลไม้เห็นกรรม | เรื่องสั้น : สาทิส ไฟพิมพ์

เรื่องสั้น | สาทิส ไฟพิมพ์

ผลไม้เห็นกรรม

 

“…ฆ่าฉันให้ตาย

เสียยังดีกว่า มาทรมาน

เมื่อไม่ต้องการ ก็ควรจะฆ่า

เจ็บหัวใจ

เจ็บกาย เสียยังดีกว่า

อยู่ไป ฉันคงจะบ้า

ฆ่าเถิดนะ ยุพิน…

เมื่อเธอไม่มีเมตตาละก็

อย่าทรมาน

เอามีดมาฟันฆ่าฉันให้ดิ้น

เจ็บและอาย

อยู่ไปให้คนเขาหมิ่น

อยากตายเสียให้มันสิ้น

แม่โฉมฉิน ช่วยฆ่าฉันที…”

เสียงเพลงแว่วดังมาจากวิทยุในรถของเมฆินทร์ แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ชอบฟังเพลงเกาหลี ฝรั่ง ทว่า วันนี้ไม่ว่าจะเป็นเพลงประเภทไหนเขาก็ฟังได้ไม่ขัดหู

สาวที่เมฆินทร์หมายปองตอบตกลงจะเป็นแฟนกับเขา ระยะทางถึงจุดนัดพบหล่อนค่อนข้างไกล นั่นมิใช่อุปสรรคใหญ่อะไร ค่อยๆ ขับไปเรื่อยๆ ฟังเพลงจากวิทยุเปลี่ยนบรรยากาศ หมุนเจอคลื่นไหนก็ฟังไปอย่างสบายใจ เขาออกก่อนเวลาตั้งหลายนาทียังไงก็ทันอยู่แล้ว

โทรศัพท์สายเข้าส่งเสียงริงโทนเพลงรักภาษาฝรั่งร่วมสมัย เมฆินทร์ตาโต กลั่นความรู้สึกดีใจเอาไว้แทบไม่อยู่ “สายจากเธอ!” สายตาของเขาจ้องจอมือถือที่ติดบนคอนโซลรถแน่นิ่ง

“ปี๊มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงแตรลากยาวจากรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ที่พุ่งออกจากถนนด้านขวาบริเวณแยกไฟแดง “โครมมมมมมม!” เสียงชนดังสนั่นได้ยินไปไกลถึงครึ่งกิโลเมตร!

…โลกมนุษย์แย่ที่สุดแทบทนไม่ไหว

จะหนีไปไหนก็หนีไม่พ้น

เมื่อก่อนนี้เคยเห็นแต่ผีหลอกคน

เดี๋ยวนี้ชอบกลเจอแต่คนหลอกผี

ยมบาลเจ้าขา

เชิญท่านมารับฟังหน่อยสิ

นักร้องเสียงเย็นแถมเป็นคนดี

ท่านเอาไปเมืองผีเสียปีละคนสองคน”

ตัวรถเก๋งที่เมฆินทร์ขับมาพังยับเยิน ทว่า วิทยุยังคงทำงานอยู่ แม้กระทั่งตอนที่หน่วยกู้ภัยเข้ามาตัดเหล็กโครงรถเพื่อนำร่างไร้วิญญาณของเขาออกมา ช่างน่ามหัศจรรย์ใจแกมสยองขวัญสำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์…

“ไปยังไงมายังไงล่ะเกลอ ถึงมานั่งอยู่แถวนี้” ชายตัวสีแดงแต่งตัวแปลกๆ เอ่ยถามเมฆินทร์

“ก็มายืนดูเหตุการณ์รถเก๋งฝ่าไฟแดง ประสานงากับรถพ่วงสิบแปดล้อ เละทั้งคู่ ตายไปสอง คนขับเก๋งติดอยู่ในซาก ตอนนี้ยังเอาศพออกจากรถไม่ได้เลย คนขับสิบแปดล้อไม่คาดเข็มขัดกระเด็นทะลุกระจก ลอยออกไปนอกรถหัวโหม่งพื้นตายคาที่” เมฆินทร์เอ่ยตอบไปตามมารยาท

“ยังไม่รู้ตัวอีก” ชายตัวแดงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนเขาพูดรำพึงรำพันกับตัวเอง

“ว่าอะไรนะ คุณพูดว่าอะไรนะ” เมฆินทร์หันถามชายแปลกหน้าที่เจอกันครั้งแรก

“จะเอาแบบตรงๆ แล้วจบ หรือแบบอ้อมค้อมรักษาน้ำใจกันล่ะ” ชายตัวแดงมีอารมณ์ขัน

“เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า เคยเป็นเพื่อนกันตอนเด็กๆ แล้วผมจำไม่ได้ไหม บอกกันมาตามตรง อย่าอำกันเล่น ผมไม่ชอบอะไรแบบเซอร์ไพรส์นะคุณ” เมฆินทร์เริ่มไม่สบอารมณ์

“ข้าไม่เคยเป็นเพื่อนใครทั้งนั้น มีหน้าที่ต้องทำ และวันนี้ก็มีให้ทำอีกเยอะ ไม่อยากเสียเวลากับใคร” ชายตัวแดงตอบ

“จะไปไหนก็ไปไป๋ลุง ผมจะดูว่าเขาจะช่วยคนออกมาได้เปล่า ไม่อยากมีเรื่องกับใคร” เมฆินทร์โบกมือเป็นเชิงไล่

“ยังไงก็ต้องไปด้วยกันอยู่ดี อย่าเสียเวลาเลยหนา มีงานอีกเยอะ” ชายตัวแดงยังเซ้าซี้ไม่จบ

“นั่นเขาเอาคนออกมาได้แล้ว” พูดไม่ขาดคำเมฆินทร์พุ่งตัวออกไปยังจุดเกิดเหตุ จะว่าเดินหรือวิ่งก็ไม่เชิง น่าจะลอยไปเลยมากกว่า

เพียงสังเกตร่างผู้เคราะห์ร้ายที่กู้ภัยงัดออกจากรถเก๋งได้ เมฆินทร์แทบลมจับ!

“นั่นมันตัวผมนี่นา แล้วทำไมผมถึงมายืนอยู่ตรงนี้” เมฆินทร์พูดเสียงสั่น

“รู้แล้วใช่ไหม ถ้าไปตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาดูตัวเองในสภาพอุจาดตาเช่นนี้หรอก ไปกันได้หรือยัง” ชายตัวแดงพูดเสียงเรียบ

“เดี๋ยวก่อนสิลุง ช่วยทำให้ผมหายข้องใจหน่อยได้ไหม เกิดอะไรขึ้นกับผม ผมกำลังจะไปหาแฟนนะ…แล้วนี่มันอะไรวะ…”

“ไม่ต้องแปลกใจ ก็เจ้าดันขับรถฝ่าไฟแดง สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น จบนะ…ไปกันเถอะอย่าเซ้าซี้ให้เสียเวลา” ชายตัวแดงชักชวนอีกครั้ง

เมฆินทร์ไม่มีทางเลือก ถึงแม้ตอนนี้เขาจะงงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องจำใจเดินตามชายตัวแดงไปโดยดุษณี

“อีกไกลไหมลุงกว่าจะถึงที่ที่ต้องไป” เมื่อเดินมาได้ระยะหนึ่งเมฆินทร์ก็ถามชายตัวแดง

“ก็แล้วแต่บุญกรรมที่ทำมา ไม่ต้องถามมาก บางเรื่องข้าก็ตอบไม่ได้” ชายตัวแดงไม่ผินหน้ามาหาเขาเสียช่วยซ้ำ

ทั้งสองเดินมาอีกชั่วอึดใจ ก็มีชายรูปร่างเหมือนชายตัวแดงอีกสองคนปรากฏตัวเบื้องหน้า

“หมดหน้าที่ของท่านแล้ว เราจะนำวิญญาณนี้ไปต่อเอง” ชายหนึ่งในสองเอ่ยขึ้น

“อะไรนะ ไม่เห็นมีใครบอกข้าก่อนล่วงหน้า” ชายตัวแดงเถียง

“ท่านยมฯ เตือนท่านมาหลายครั้งแล้ว ท่านไม่ยอมหาตัวแทนสักที” ชายหนึ่งในสองอีกคนบอกชายตัวแดง

“ขอข้าทำหน้าที่ตรงนี้ให้จบก่อนได้ไหม จะปลดระวางก็ไม่ว่ากัน” ชายตัวแดงหัวเสีย

“ไปพูดกับท่านยมฯ ก็แล้วกัน ข้าสองคนไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ” ว่าแล้วชายสองคนก็อันตรธานหายไป

ชายตัวแดงทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะหันมามองเมฆินทร์ แล้วกลับไปคิดอีก ทำเช่นนี้อยู่สี่ห้าหน

“เจ้าต้องการอะไรเป็นครั้งสุดท้ายก่อนถึงวาระพิพากษาล่ะพ่อหนุ่ม”

เมฆินทร์คิดไม่นาน “ผมอยากเจอแฟน คนที่พึ่งเป็นแฟนอะน่ะ เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าขอได้”

“เอ้า!…กินสิ่งนี้เข้าไปแล้วเจ้าจะได้สิ่งที่ปรารถนา” ชายตัวแดงยื่นผลไม้ชนิดหนึ่งคงคล้ายสตรอว์เบอร์รี่กระมัง ให้เมฆินทร์

“กินเข้าไปแล้วจะเป็นยังไงนะ”

“ไม่ต้องถามอะไรมาก ถ้าอยากได้ในสิ่งที่เจ้าปรารถนาก็จงทำตามสิ่งที่ข้าบอก”

 

เบื้องหน้าของเมฆินทร์คือชายตัวสีแดงนั่งบนเก้าอี้คล้ายบัลลังก์ รูปร่างใหญ่กว่าชายตัวแดงที่เขาเดินตามมาเป็นสามเท่า หน้าตาเขาถมึงทึง ดูแล้วท่าจะดุเป็นสามเท่าเช่นกัน

“หมดหน้าที่เจ้าแล้วสุวรรณ ไปยังดินแดนเกษียณได้ หากโชคดีคงได้เจอกันอีก” ชายบนบัลลังก์เอ่ยถ้อยคำเสียงดังกังวาน

“ขอรับท่าน ข้ามีสิทธิ์จะยื่นอุทธรณ์ ต่ออายุการทำงานได้ไหมขอรับ” ชายตัวแดงต่อรอง

“กฎก็ต้องเป็นกฎ อย่าพยายามฝืน ไปซะถึงเวลาพักผ่อนของเจ้าแล้ว” น้ำเสียงของชายบนบัลลังก์สูงขึ้น ฟังแล้วน่ากลัวจับใจ ในความคิดของเมฆินทร์

ชายตัวแดงถอยหลังออกมาโค้งคำนับ กำลังหันกลับ สายตาเขาประหวัดมามองเมฆินทร์ พลางยิ้มอ่อนๆ ให้ ก่อนจะหายไปหลังประตูทองแดงบานใหญ่

 

“เกิดเรื่องแล้วขอรับท่านยมฯ สุวรรณคนก่อนไม่คืนผลเปิดเผยกรรมให้เราก่อนไป ขอรับ” ชายตัวแดงผู้เป็นลูกน้องรายงาน

“ก็ไปตามเอามาซี”

“ข้าน้อยไปตามแล้ว เขาตอบว่าไม่รู้ไม่เห็น”

“ทำเรื่องเข้าแล้วไหมล่ะ…เอาล่ะไม่เป็นไร ค่อยคิดหาทางกันทีหลัง ตัดสินวิญญาณที่พึ่งมาจะได้จบงานกันไป” ท่านว่าอย่างนั้น

กระบวนการต่างๆ ดำเนินมาถึง…

“ว่ายังไงนะ วิญญาณดวงนี้ยังไม่ถึงฆาต เป็นอันว่าต้องส่งตัวเขากลับ ถูกต้องไหมสุวรรณคนใหม่” ท่านยมเอ่ยถามความเห็น

“ถูกต้องแล้วขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นเราจะเสียเวลาอยู่ไย รีบทำสิ เดี๋ยวก็งานเข้าหรอก” ท่านยมฯ สั่งลูกน้องให้นำวิญญาณเมฆินทร์กลับไปยังร่างเดิม

 

เมฆินทร์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง สายระโยงรยางเต็มตัวไปหมด แถมมีเสียงเครื่องพยุงชีพ “ปี๊บๆ” ดังเป็นระยะ

“เขาเริ่มรู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อไรกันพยาบาล” คุณหมอถามพยาบาลห้องไอ.ซี.ยู.

“เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วค่ะหมอ”

“ปาฏิหาริย์จริงๆ เขาน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว” หมอถอนหายใจเฮือกใหญ่

 

อีกราวหนึ่งเดือนต่อมา เมฆินทร์ก็ออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้าน

“ฮัลโหล เป็นไงบ้างเพื่อน ยินดีต้อนรับกลับบ้าน นึกว่านายจะทิ้งพวกเราไปเสียแล้ว” เสียงหฤทธิ์เพื่อนตั้งแต่สมัยเด็ก และพักอยู่ห้องตรงข้ามอพาร์ตเมนต์เดียวกัน…

“จริงๆ ฉันตายไปแล้วต่างหาก ทำไมถึงฟื้นขึ้นมาอีกก็ไม่รู้” เมฆินทร์เล่าเรื่องที่ตนเองตามชายตัวแดงไป ณ ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือที่ไหน

“พิลึกพิลั่น ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน” หฤทธิ์ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่เมฆินทร์เล่าแม้แต่น้อย เขาโน้มตัวหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบ ก่อนจะเอนหลังพิงโซฟา นั่งแบบผ่อนคลายเหมือนกับอยู่ในห้องของตัวเอง

“เดี๋ยวนะฤทธิ์ ว่าจะถามตั้งแต่แกเดินเข้ามาแล้ว ซื้อเสื้อแบบใหม่มาใส่เหรอถึงมีป้ายติดมาด้วย” เมฆินทร์ถามเพื่อน ด้านหลังของหฤทธิ์มีป้ายโผล่ออกมาสองป้าย มีตัวหนังสือปรากฏบนนั้น…

“จะบ้าหรือไงเพื่อน ฉันก็ใส่เสื้อปกติทั่วไป ไม่ใช่เสื้อแฟชั่นอะไรสักหน่อย นี่สมองของแกคงได้รับความกระทบกระเทือนจนเห็นภาพหลอนไปแล้วมั้ง พักผ่อนเยอะๆ นะฉันขอตัวกลับห้องดีกว่า”

 

คืนนั้นเมฆินทร์ทบทวนสิ่งที่ตัวเองเห็นบนหลังเพื่อนสนิทอีกครั้ง หรือสมองเขาจะผิดปกติไปหลังจากได้รับอุบัติเหตุ

ป้ายที่โผล่ออกมาจากหลังหฤทธิ์ สีน้ำเงินเขียนเอาไว้ว่า “ความดี 70%” ส่วนป้ายสีแดง “ความชั่ว 30%” มันแปลกพิลึก พรุ่งนี้จะเป็นวันแรกที่เขาจะออกจากอพาร์ตเมนต์เพื่อไปซื้อของใช้ จะได้รู้กันเสียทีว่าสมองของเขาผิดปกติจริงหรือไม่ เมื่อพบเจอกับคนอื่นๆ

เพียงก้าวออกจากอพาร์ตเมนต์ เมฆินทร์ก็ต้องตะลึง!

“สวัสดีครับ หายป่วยแล้วหรือครับ” เสียงยามตรงป้อมทักทายเขา ด้านหลังของยามมีป้ายสองป้ายเหมือนของหฤทธิ์ไม่มีผิด

“เห็นทีต้องโทรไปแจ้งหมอเสียแล้วสิเรา” เมฆินทร์รำพึงรำพันกับตัวเอง “เอาน้า! ไปซื้อของให้เสร็จก่อนค่อยว่ากัน”

ระหว่างทางไปห้างคอนวีเนียนสโตร์ คนที่เดินผ่านเขา ล้วนมีป้ายโผล่ออกมาจากด้านหลังทุกคน บางคนมีถึงสามป้าย ชายขอทานคนหนึ่งที่นั่งบนสะพานลอย มีป้ายสีดำอีกป้ายปรากฏขึ้นเพิ่ม เขียนว่า “เหลือเวลาอีก 3 วัน” ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร

ณ ลานหน้าห้างคอนวินเนียนสโตร์ เวทีปราศรัยหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้คนคลาคล่ำ ต่างชูป้ายสนับสนุนผู้สมัครที่ตนชอบใจ เสียงเชียร์ไชโยโห่ร้อง ดังสนั่นหวั่นไหว ทุกครั้งที่ผู้สมัครพูดจบประโยค

“พ่อแม่พี่น้องที่เคารพ หากผมได้เป็นผู้แทนฯ สิ่งแรกที่พวกท่านจะได้รับทันทีคือ โอกาส โอกาสที่จะพ้นจากความยากจนครับพี่น้อง” เสียงไชโยโห่ร้องดังขึ้นอีกคำรบ

เมฆินทร์สังเกตเห็นป้ายด้านหลังผู้สมัครคนนั้น “ความดี 20%” “ความชั่ว 80%” บัดนี้ป้ายความชั่วแสดงข้อความเพิ่ม “โกหก 100%” พลันป้ายสีดำปรากฏขึ้น “เหลือเวลาอีก 36 วัน”

เมฆินทร์ลองคำนวณดูหาก 36 วันข้างหน้ามันคือวันก่อนวันเลือกตั้ง 3 วัน ทว่า มันมีความหมายเช่นไร เขาก็สุดจะคาดเดาได้

หลังซื้อของใช้จำเป็นเสร็จ เมฆินทร์ก็เดินผ่านบริเวณโถง ซึ่งบริษัทรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งนำรถรุ่นใหม่มาจัดแสดง พิตตี้หุ่นดีหน้าสวยใส กำลังบรรยายสรรพคุณถึงสมรรถนะรถรุ่นใหม่คันนี้

“คุณลูกค้าที่สนใจรถยนต์ของเราเชิญเข้ามาสอบถามพนักงานของเราได้นะคะ รถไฟฟ้ารุ่นนี้รับประกันแบตเตอรี่นานถึงสิบปี สิบปีเลยทีเดียวนะคะคุณลูกค้า หากใช้ไปแล้วเกิดความเสียหายขึ้นกับตัว แบตเตอรี่ เราเปลี่ยนคันใหม่ให้ทันที ไม่ยุ่งยากเลยค่ะคุณลูกค้า”

เมฆินทร์สังเกตเห็นป้ายด้านหลังหล่อน “ความดี 60%” “ความชั่ว 40%” จากนั้นป้ายความชั่วก็เปลี่ยนเป็นข้อความ “โกหก 70% พูดจริง 30%” ส่วนป้ายสีดำไม่ยักจะปรากฏให้เห็น

“เห็นทีเราคงต้องปรึกษาแพทย์เสียแล้ว แต่จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่ารักษาล่ะ” หลังจากประสบอุบัติเหตุเขาก็ถูกให้ออกจากงานอัตโนมัติ กว่าจะหางานใหม่ได้ก็อีกราวหนึ่งเดือนต่อมา

ระหว่างนั่งพักบนโซฟาหลังกลับจากที่ทำงาน เมฆินทร์เปิดดูข่าวภาคค่ำจากทีวี จริงๆ เปิดไว้เป็นเพื่อนเฉยๆ ดีกว่าอยู่คนเดียวเงียบๆ

“…เจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพขอทาน ในท่อระบายน้ำใต้สะพานลอย ซึ่งน่าจะเสียชีวิตมานานนับเดือนแล้ว…” เมฆินทร์จำได้ว่านั่นเป็นสะพานลอยที่เขาเคยเดินผ่านไปซื้อของเมื่อเดือนที่แล้ว

“ข่าวใหญ่ของวันนี้คงไม่มีอะไรเกิน ว่าที่ ส.ส.ของพรรค…ถูกยิงเสียชีวิตก่อนวันเลือกตั้ง 3 วันเท่านั้น…” เมฆินทร์ถึงกับหน้าซีดเผือด เขาเคยเห็นผู้สมัครคนนี้หาเสียงที่หน้าห้างที่ไปซื้อของ

“นั่นแปลว่า ตัวเลขบนป้ายสีดำคือวันที่เหลืออยู่บนโลกของคนเหล่านั้น” ตาของเขาแทบถลนออกมานอกเบ้า

เมื่อรวบรวมเงินได้จำนวนหนึ่ง ก็ได้เวลาที่เมฆินทร์ต้องไปหาหมอเพื่อรักษาอาการประหลาดที่เกิดกับเขา แม้มันไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เขามากนัก แต่เขาอยากเป็นคนธรรมดามากกว่า

สิ่งหนึ่งที่เขาลืมไปเสียสนิทหลังฟื้นจากความตาย คือ “เธอ” ว่าที่แฟน หากวันนั้นเขาขับรถไปถึงตามนัด เธอก็คงเป็นแฟนเขาไปแล้ว ช่างเถอะเวลานี้มีสิ่งที่เร่งด่วนต้องทำก่อน การรักษาอาการป่วยประหลาดของเขานั่นไง

“หมอคิดว่า สมองของคุณน่าจะได้รับความกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุครั้งนั้น” หมอจ้องหน้าเขาตาไม่กะพริบ

“มีทางรักษาไหมครับหมอ”

“มันก็มีวิธีอยู่สองสามวิธี ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของคุณด้วย”

คำพูดของหมอทำให้เมฆินทร์ตาสว่าง ตอนแรกเขาไม่เชื่อป้ายที่ขึ้นหลังหมอ “ความดี 10%” “ความชั่ว 90%” อาชีพนี้ทำงานปกติก็น่าจะได้บุญมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว

“ผมมีเงินไม่มาก เพิ่งได้งานใหม่ไม่กี่เดือนมานี้ ขอความกรุณาคุณหมอช่วยผมสักครั้งนะครับ”

หมอถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างใจเย็น “ยังไงคุณลองยื่นซองมานะ ผมจะได้ลัดคิวในการเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ เมื่อเจอสาเหตุแล้ว ถ้าโชคดีอาจแค่กินยา แต่ถ้าไม่ใช่ต้องผ่าตัดสมองขึ้นมา เงินก็คงต้องใช้ถึง 7 หรือ 8 หลัก อันนั้นค่อยว่ากัน”

เมฆินทร์เดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความละเหี่ยใจ “เจอแต่คนเฮงชวย พับผ่าสิ”

วันที่เขารอคอยเมื่อสองปีที่แล้ว มาถึงแบบไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ความรู้สึกรู้สาต่อเรื่องความรักของเมฆินทร์ดูเหมือนจะหดหายไปเฉยๆ หลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงถึงชีวิต

เขาเดินผ่านหน้าห้องเพื่อน พลางเคาะประตูขอความคิดเห็นสักหน่อย

“แกจะไปหาเธอจริงๆ เหรอ นี่มันก็ผ่านมานานมากแล้ว กลัวเธอจะมีคนใหม่ไปแล้วสิ” หฤทธิ์ออกความเห็น

“ฉันก็หวังว่าเธอยังไม่มีใคร”

“สามวันนารีเป็นอื่น เคยได้ยินบ้างไหมเพื่อน”

“ถ้าเป็นอย่างแกว่า ฉันก็ขอเจอเธอเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน”

 

เมฆินทร์เดินผ่านป้อมยาม “วันนี้ออกไปไหนครับ”

“มีธุระแถวชานเมือง” เขาบังเอิญเหลือบไปเห็นป้ายสีดำด้านหลังยามผู้นั้น “เหลือเวลาสิบสองวัน”

“สงกรานต์นี้ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดไหมครับ” ยามถามเมฆินทร์

“อยู่กรุงเทพฯ ดีกว่าครับ รถไม่ติดเพราะออกต่างจังหวัดกันหมด ไปแค่ถนนข้าวสารก็พอ” เมฆินทร์ตอบตามตรง

“ผมจะกลับบ้านที่อีสานคงไม่ได้เจอกันสักพักนะครับ” ยามว่า

เมฆินทร์ไม่รู้จะพูดกับยามอย่างไรดี ไม่มีทางห้ามเขาให้กลับบ้านไปเจอครอบครัวได้ วิถีชีวิตของเขาเป็นอย่างนี้ “ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้พี่งดกลับบ้านสักปี น่าจะดีกว่านะ”

“ทำไมล่ะครับ มีอะไรเหรอ” ยามแปลกใจถามเมฆินทร์กลับมา

“รถปีนี้มันน่าจะเยอะมาก อีกอย่างอากาศร้อนมาก” เมฆินทร์ไม่รู้จะพูดอย่างไร

ยามได้แต่หัวเราะ “ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ผมเจออะไรมาเยอะ หนักกว่านี้ก็ผ่านมาแล้วครับ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง” เขายกมือขวาวันทยหัตถ์ “ถ้างั้นผมก็ขอให้พี่โชคดีนะครับ”

อีกสิบสองวันจะถึงสงกรานต์!

เมฆินทร์มาถึงร้านกาแฟแถวชานเมืองตรงเวลานัด ไม่เหมือนสองปีที่แล้ว เธอยังคงหน้ารักเช่นเดิม สองปีที่แล้วเป็นยังไง ไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย

“ตอนคุณนอนโรงพยาบาล ฉันไปเยี่ยมนะ แต่คุณอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู ฉันเลยได้แต่เยี่ยมข้างนอก” เธอเอ่ยปากบอกเขาถึงความเป็นห่วง

เขาคิดในใจหากคนมีใจให้กันจริง ก็ต้องหมั่นไปเยี่ยมเยือนกันจนกว่าจะหายดี เขาไม่อยากอ่านป้ายข้างหลังหล่อนให้รู้สึกเสียใจไปมากกว่านี้

“คุณเป็นยังไงบ้าง ยังทำงานที่เดิมอยู่ไหม” เมฆินทร์ยังมีกะจิตกะใจถามหล่อน

“เปลี่ยนที่ใหม่แล้ว ทำแล้วสบายใจกว่าที่เดิม”

“ผมไม่อยากอ้อมค้อมหรอกนะ ตอนนี้คุณมีคนใหม่แล้วใช่ไหม”

“เปล่านะ ฉันยังคิดถึงคุณอยู่เสมอ” แต่ว่าป้ายหลังเธอไม่ได้บอกเช่นนั้น เมฆินทร์หลับตาลง ก่อนจะลืมตาดูป้ายอีกครั้ง มันกำลังจะเปลี่ยนเป็นชื่อคนรักใหม่ของเธอ “ห…”

ทันใดนั้นเขาก็วูบสู่ภวังค์…เมื่อสติกลับมาอีกครั้งก็พบว่าตนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง

“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เจ้าคงสนุกในการเห็นกรรมของคนอื่นสินะ” ชายตัวแดงที่เมฆินทร์เคยร่วมทางไปด้วยเอ่ยขึ้น

“ท่านหมดหน้าที่ไปแล้ว ทำไมยังกลับมาอีก นี่ถึงเวลาของผมแล้วเหรอ”

“เปล่า อย่าเข้าใจผิด เวลาของเจ้ายังเหลืออีกนานจากสิ่งที่ข้าให้เจ้าไป ข้ามาทวงเจ้าสิ่งนั้นคืน”

“เท่าที่จำได้ ผมไม่เคยรับอะไรจากท่านมา”

“ผลไม้เม็ดสีแดงไง”

“อ๋อ…ผมจำได้แล้ว แต่ท่านให้ผมกินเข้าไป”

“ข้าต้องบอกความจริงกับเจ้า ข้าให้ผลไม้เห็นกรรมแก่เจ้าไป เพราะข้ายังไม่อยากเกษียณ เมื่อเบื้องบนรู้เขาจะต้องให้ข้ามาตามหาของคืน ข้าจึงยื่นข้อเสนอต่ออายุตัวเองไปอีกระยะ หวังว่าเจ้าจะยกโทษให้ข้า”

“มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาด ผมคงไม่ลืมไปจนวันตาย เอาเข้าจริงผมว่าผมเป็นคนธรรมดาดีกว่า ปวดหัวน้อยกว่าเยอะ”

สองคนหัวเราะร่วน

“แล้วผมจะคืนผลไม้เห็นกรรมให้ท่านได้ยังไง”

“ไม่ยากหรอก เพียงแค่ข้าขอมันจะปรากฏออกมา แล้วเจ้าก็ไปตามทางของเจ้า และหวังว่าเราคงจะไม่ต้องพบกันในเวลาอันใกล้นี้ ขอให้เจ้ายึดมั่นในความดี อายุยืนยาวเท่าที่บุญจะหนุนส่งก็แล้วกัน” ชายตัวแดงอวยพร

 

เมฆินทร์นั่งบนโซฟา ดูทีวีไปเรื่อยๆ เหมือนคนที่ไม่มีจุดหมาย หลังล่วงรู้ความจริงว่า แฟนสาวของตนคบกับหฤทธิ์ หลังเขาเข้าโรงพยาบาลได้ไม่นาน ยามของอพาร์ตเมนต์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวันที่ 13 เมษายน เสียชีวิต ผู้สมัคร ส.ส.คนที่เขาเคยฟังปราศรัยหน้าห้างคอนวีเนียนสโตร์ ถูกยิงเสียชีวิตบนเวทีปราศรัยอีกแห่งก่อนวันเลือกตั้งเพียงสามวัน

ใครจะไปเชื่อว่ามีคนเคยเห็นกรรม อาจมีแต่คนที่เคยกินผลไม้เผยกรรมอย่างเมฆินทร์หรือใครคนอื่นเราก็มิอาจทราบได้ แม้บุญกรรมจะเป็นเรื่องอจินไตย คือ นึกคิด หรือเรียนรู้เองไม่ได้ อย่างพระองค์เคยตรัสไว้

แต่จะเป็นการปลอดภัยกว่าหากเรามุ่งทำแต่กรรมดีเอาไว้ กันเหนียวเอาไว้ก่อนคงไม่เสียหายอะไร •