วาร์ปไป 2035 ดูโฉมหน้าออฟฟิศอนาคต

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

Cool Tech | จิตต์สุภา ฉิน

Instagram : @sueching

Facebook.com/JitsupaChin

 

วาร์ปไป 2035

ดูโฉมหน้าออฟฟิศอนาคต

 

หลายปีที่ผ่านมารูปแบบการใช้ชีวิตในที่ทำงานของคนทั่วโลกได้ถูกวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยมีปัจจัยเร่งเป็นสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นรวดเร็วและบีบบังคับให้เราต้องปรับตัวตาม บางออฟฟิศเปลี่ยนนโยบายการทำงานของพนักงานไปอย่างถาวร ในขณะที่ออฟฟิศอีกหลายแห่งก็เปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิมหลังสถานการณ์คลี่คลาย

ไม่ว่าในปัจจุบันออฟฟิศของคุณผู้อ่านจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในอนาคตข้างหน้ามันก็จะเปลี่ยนไปอีกเรื่อยๆ ทั้งจากเทคโนโลยีและแนวคิดของคนที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย

Forbes คาดการณ์ไว้ว่าในอีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า เราน่าจะได้เห็นเทคโนโลยีหลายอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงที่ทำงานของเรา

 

อย่างแรกก็คือหุ่นยนต์และ AI สำหรับใช้ในที่ทำงาน

AI นับเป็นเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโฉมโลกเรามากที่สุดในอีกทศวรรษข้างหน้า ในตอนนี้เราอาจจะเริ่มเห็น AI ถูกใช้งานในรูปแบบต่างๆ ในออฟฟิศ แต่ภายในปี 2035 มันจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นกว่านี้อีกมาก เพราะ AI จะถูกควบรวมเข้าไปอยู่ในทุกฟังก์ชั่นของการทำงาน

ภายใน 10 ปี AI จะกลายเป็นเหมือนเครื่องไม้เครื่องมือที่ช่วยเราทำงานได้ทุกอย่าง ทั้งการเพิ่มพูนความคิดสร้างสรรค์ การช่วยเราแก้ปัญหาด้วยวิธีใหม่ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเราให้สูงขึ้น

ทั้งหมดนี้เสริมทัพด้วยหุ่นยนต์ที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่วสำหรับใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างการช่วยก่ออิฐหรือเทคอนกรีตในอุตสาหกรรมก่อสร้าง การช่วยหว่านเมล็ด เก็บเกี่ยว และเฝ้าสังเกตสุขภาพของพืชที่ปลูกในภาคเกษตรกรรม การช่วยจัดการคลังสินค้า ช่วยงานในโกดังเก็บสินค้า หรือช่วยจัดส่งของ ไปจนถึงการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม

สำหรับการทำงานในออฟฟิศ สิ่งที่เครื่องมือ AI จะเข้ามามีบทบาทแน่นอนก็อย่างเช่น การช่วยจัดตาราง บริหารตารางทำงาน ช่วยคัดเลือกพนักงาน และทำได้จนถึงการขช่วยเพิ่ม work-life balance ทำให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดีขึ้น

รู้ได้ว่าพนักงานคนไหนมีระดับความเครียดสูงหรือทำงานหนักเกินไปและรีบแจ้งเตือนก่อนที่จะเกิดอันตรายได้

 

อีกเทรนด์ที่น่าจะเกิดขึ้นในออฟฟิศในอีก 10 ปีข้างหน้าก็คือเทรนด์เรื่องความยั่งยืน

ทศวรรษหน้าเราน่าจะได้เห็นผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ได้ชัดเจนขึ้นกว่าตอนนี้

และเด็กเจเนอเรชั่นใหม่ก็เป็นกลุ่มคนที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้นสถานที่ทำงานก็จะต้องถูกปรับแนวคิดใหม่ให้ทุกกระบวนการตัดสินใจต้องผ่านแนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย อย่างเช่น การจัดซื้อโดยคำนึงถึงรอยเท้าทางคาร์บอนเป็นหลัก

เครื่องมือ AI ก็จะถูกนำมาใช้เพื่อทำให้ธุรกิจสามารถปฏิบัติงานได้แบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในขณะที่ก็จะต้องมีความทรหดอดทนกและยืดหยุ่นได้กับทุกๆ ความท้าทายที่จะเข้ามาไม่ว่าจะเป็นความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมหรือทางการเมืองก็ตาม

เทคโนโลยีโลกเสมือนอย่าง VR ที่จะเก่งกาจขึ้นมากในอีก 10 ปีข้างหน้าก็จะถูกนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในที่ทำงานด้วยเหมือนกัน การทำงานเป็นทีมแบบระยะไกลจะไม่มีข้อจำกัดอีกแล้ว เมื่อใช้ VR ต่อให้ตัวไกลแต่ก็เหมือนนั่งทำงานอยู่ในห้องเดียวกันได้

ไม่ใช่แค่เรื่องของการประชุมหรือทำงานร่วมกันแบบระยะไกลเท่านั้น แต่กระบวนการเรียนรู้ เทรนนิ่ง ฝึกงาน เพิ่มทักษะให้พนักงานก็จะทำได้ทุกที่โดยการใช้สิ่งแวดล้อมแบบ AR หรือการซ้อนโลกเสมือนเข้ากับโลกความเป็นจริง

เราอาจจะไม่จำเป็นต้องนั่งเครื่องบินไกลๆ เพื่อไปประชุมหรืออบรมอีกแล้ว เพราะขอแค่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสม การอบรม รีสกิล อัพสกิล ก็เกิดขึ้นได้ทุกที่

 

เมื่อถึงจุดที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกการทำงาน แมชชีนกลายเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ทุกคนต้องใช้ ในที่สุดก็อาจจะไปถึงจุดที่เราให้คุณค่ากับสิ่งที่เป็น ‘มนุษย์’ มากขึ้น

เราอาจจะซาบซึ้งและเห็นคุณค่าของทักษะที่แมชชีนไม่มีแต่มนุษย์มี อย่างเช่น ความฉลาดทางอารมณ์หรือความสามารถในการสื่อสารกับมนุษย์ด้วยกัน ต่อไปในอนาคตใครมีทักษะเหล่านี้ที่เด่นชัดก็จะมีคุณค่าในที่ทำงานเพิ่มขึ้น

นั่นแปลว่าการจะทำตัวเองให้มีคุณค่าในที่ทำงานเพิ่มขึ้น เรื่องฝีมืออาจจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่การทำตัวให้คนรักและนับถือจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าปัจจุบัน แนวคิดแบบคนเจเนอเรชั่นเดิมที่ใช้อัตตานำ เจ้ายศเจ้าอย่าง หรือการบังคับให้ทุกคนต้องทำตามความคิดของเราเท่านั้นก็จะค่อยๆ หายไป เพราะการทำงานของคนเหล่านี้อาจถูกแทนที่ด้วยแมชชีนได้

ดังนั้น คนที่จะเป็นที่ต้องการของนายจ้างในอนาคตก็น่าจะต้องเป็นคนที่มีสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและมีคุณสมบัติความเป็นมนุษย์ในจุดที่พอเหมาะพอดีโดยไม่ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป

 

นอกจากเทรนด์ที่ Forbes ได้พูดถึงไปแล้ว ฉันก็คิดว่าภายในอีก 10 ปีเราต้องได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างซึ่งอันที่จริงก็เริ่มเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ตอนนี้ อย่างเช่น แนวคิดเรื่องการทำงานสัปดาห์ละ 4 วันที่มีการพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยบริษัทที่ทดลองนำร่องการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ก็พบว่าพนักงานมีประสิทธิภาพการทำงานและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในขณะที่คนจำนวนมากก็บอกว่านี่เป็นสวัสดีการรูปแบบใหม่ที่พวกเขารู้สึกว่าดึงดูดให้ทำงานกับบริษัทได้เป็นลำดับต้นๆ

ปิดท้ายด้วยอีกเทรนด์ที่ตัวฉันเองก็เริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้นซึ่งก็คือเด็กรุ่นใหม่ทำ

‘งานนอก’ กับเพิ่มขึ้นมาก สภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้เด็กเจนซีต้องทำงานมากกว่าหนึ่งที่ โดยงานนอกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือการเป็นอินฟลูเอนเซอร์

บางคนให้คำแนะนำไปถึงขั้นที่บอกว่าถ้าหากเรารู้สึกสบายๆ กับงานประจำในตอนนี้ ก็ให้เริ่มมองหางานนอกที่ทำไปพร้อมๆ กันได้เลย แล้วเก็บเอาเงินเดือนไปลงทุนในอะไรบางอย่างเพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

การจะคาดการณ์ว่าอนาคตในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างคงไม่ใช่เรื่องที่จะชี้ชัดไปได้แบบเป๊ะๆ แต่สิ่งที่เรารู้แน่นอนก็คือไม่ว่าจะเปลี่ยนไปทางไหน แต่มันจะเปลี่ยนแน่นอน

และหน้าที่ของเราก็คือต้องเตรียมตัวไว้ก่อนและปรับตัวให้ทัน