ปัญหามาหน้าทำเนียบฯแล้ว ! | สุรชาติ บำรุงสุข

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

สถานการณ์ความมั่นคงไทยปัจจุบัน มีประเด็นที่เป็นความท้าทายเฉพาะหน้าสำหรับรัฐบาลใน 3 เรื่องหลัก หรือเป็นดังปัญหา 3 เรื่องที่มารออยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล ดังนี้

1) ปัญหาสงครามกลางเมืองเมียนมา

สงครามกลางเมืองในเมียนมาชุดใหม่ที่เริ่มขึ้นหลังจากผู้นำกองทัพเมียนมาตัดสินใจทำรัฐประหารในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 แล้ว ได้เกิดการต่อต้านขึ้นในวงกว้างอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน สงครามยกระดับขึ้นอย่างชัดเจนหลังจากปฏิบัติการรุกทางทหารของกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อยในวันที่ 27 ตุลาคม 2566 และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สงครามเริ่มขยายตัวเข้าสู่ย่างกุ้ง ที่เป็นหนึ่งในศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาล ซึ่งส่อให้เห็นถึงแนวโน้มสงครามที่น่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในฤดูแล้งนี้

ในอีกด้าน การประกาศกฎหมายเกณฑ์ทหารฉบับใหม่ พร้อมกับสงครามที่ขยับเข้าใกล้แนวชายแดนไทยมากขึ้น เช่น ที่เมืองเมียวดีที่อยู่ตรงข้ามแม่สอดเริ่มมีการรบหนักมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบไทยมากด้วย

สภาวะเช่นนี้ ทำให้ไทยในทางภูมิศาสตร์กลายเป็น “ด่านหน้า” ของการอพยพ ซึ่งหากเกิดการอพยพใหญ่แล้ว ไทยจะมีสภาพเป็นดัง “โปแลนด์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ที่เป็นพื้นที่หลักของการหลบภัยสงคราม

ดังนั้น การจัดการส่งความช่วยเหลือข้ามพรมแดน การเตรียมพื้นที่ที่อาจเกิดการทะลักเข้าของผู้อพยพ ตลอดรวมถึงการป้องกันระวังชายแดน จึงต้องการ “การเตรียมการ” ทั้งในระดับนโยบาย และในระดับของพื้นที่ โดยเฉพาะการสร้างเอกภาพในการดำเนินการของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และการควบคุมการปฎิบัติของฝ่ายไทยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อที่จะตอบสนองต่อการแก้ปัญหามนุษยธรรมในภาวะสงคราม

นอกจากนี้ บทบาทสำคัญที่รัฐบาลจะต้องคิดอย่างมากในขณะนี้ คือ บทในการช่วยผ่อนคลายความรุนแรงของสถานการณ์สงคราม โดยเฉพาะการสร้างบทบาทของไทยที่จะเป็น “คนกลาง” (peace broker) ในการชักชวนคู่ขัดแย้งให้เข้าสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพ หรือผลักดันให้เกิด “เวทีสันติภาพเมียนมา” (Myanmar Peace Forum) และทั้งจะต้องดำเนินการด้วยการสื่อสารกับอาเซียน และลาวในฐานะประธานฯ อย่างใกล้ชิด ตลอดรวมถึงชาติอื่นๆ ที่มีเงื่อนไขความเกี่ยวข้องทางการเมืองเช่น สหรัฐ จีน อียู ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย

การดำเนินการในเรื่องเหล่านี้จะเป็นจริงได้ ต้องเริ่มต้นด้วยการกำหนดนโยบายในระดับของรัฐบาล รวมถึงการกำหนดบทบาทของตัวนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิด “เอกภาพในนโยบาย” ของไทย

2) ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เดินมาถึงจุดสำคัญอีกครั้งหนึ่งในต้นปี 2567 เพราะคณะผู้เจรจามีการนำเสนอสิ่งที่ถูกเรียกว่า “แผนสันติภาพภาคใต้” หรือที่เรียกว่า “JCPP” ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า ร่างข้อเสนอที่ปรากฏในเวทีสาธารณะนั้น ไม่น่าจะเป็นทิศทางเชิงบวกในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะข้อเรียกร้องของกลุ่มติดอาวุธคือ กลุ่ม BRN ที่ต้องการขยายพื้นที่ปัญหา ไม่ใช่ครอบคลุมเพียงแค่พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในแบบเดิมเท่านั้น และยังต้องการขยายกิจกรรมในพื้นที่ผ่านข้อตกลงดังกล่าวอีกด้วย

ดังนั้น คำว่า “การสร้างสันติภาพแบบองค์รวม” ไม่ว่าจะเกิดจากการเจรจานอกประเทศที่ใด ดูจะเป็น “สันติภาพแห่งความสับสน” อย่างมาก อีกทั้งเมื่อนายกรัฐมนตรีได้เดินทางลงไปในพื้นที่ 3 จังหวัด ก็ไม่ได้มีการกล่าวถึงปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่แต่อย่างใด และทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามอย่างมากว่า การมุ่งแต่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างด้านเดียวนั้น จะช่วยแก้ปัญหาความรุนแรงได้ทั้งหมดจริงหรือไม่ และทำให้เกิดคำถามตามมาอย่างมากในเรื่องของ “ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้” ว่า รัฐบาลจะมีทิศทางไปอย่างไร หรือจะมีเข็มมุ่งเชิงนโยบายไปทางใดในอนาคต เพราะการยุติสงครามต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน จะมีแต่ความฝันเท่านั้นไม่ได้

ประชาชนในพื้นที่ค่อนข้างกังวลว่า การที่ผู้นำรัฐบาลละเลยถึงปัญหาความรุนแรงที่เป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจนั้น จะทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องการ เกิดเป็นจริงได้เพียงใด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจต้องตระหนักว่า การแก้ปัญหาความรุนแรงในรูปแบบ “สงครามก่อความไม่สงบ” ในจังหวัดชายแดนใต้นั้น ต้องการการคิดในกรอบใหญ่ที่เป็น “ยุทธศาสตร์” มากกว่าคิดเป็นส่วนๆ แบบมิติเดียว หรือมองมุมเดียว

3) ปัญหาเส้นเขตแดนทะเลไทย-กัมพูชา

การปลุกระดมของกลุ่มขวาจัดด้วยเรื่องเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วในปี 2551 แต่ครั้งนั้น เป็นเรื่องเส้นเขตแดนทางบก … ในปี 2567 พวกเขาเริ่มหยิบเรื่องเส้นเขตแดนกลับมาใหม่ แต่ครั้งนี้เป็นเขตแดนทะเล อันเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนต่อการทำความเข้าใจของสาธารณชน

การสร้างกระแสขวาจัดของคนเหล่านี้ ด้านหนึ่งเพื่อสร้างบทบาทให้แก่พวกเขาเอง ในอีกด้านเพื่อการต่อต้านรัฐบาล ซึ่งการสร้างกระแสนี้มักอิงอยู่กับประเด็นเก่าที่เป็นเรื่อง “ชาตินิยม” และหนึ่งในนั้นเป็นเรื่องของเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา เรื่องเดิมคือกรณีปราสาทพระวิหาร เรื่องใหม่คือการแบ่งเขตแดนทะเล พร้อมกับการอธิบายด้วย “ทฤษฎีสมคบคิด” ที่ดูตื่นเต้นและชวนเชื่อ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลไทยประกาศเขตให้สัมปทานปิโตเลียมในอ่าวไทยไปตั้งแต่ปี 2511

กล่าวคือ ปัญหาสัมปทานในอ่าวไทยไม่ได้เพิ่งมาแบ่งในรัฐบาลยุคหลังๆ หรือกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ต้องการให้ชะลอการคุยเรื่องเส้นเขตแดนทะเลไว้ก่อน เพื่อให้ไทยและกัมพูชาสามารถนำเอาพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาใช้ประโยชน์ก่อน ดังตัวแบบ “พื้นที่พัฒนาร่วมทางทะเลไทย-มาเลเซีย” หรือที่เรียกกันว่า “JDA” เพราะมองว่าการทำเช่นนั้นในพื้นที่ทับซ้อน เป็นประโยชน์มากกว่าในการพัฒนาประเทศ เพราะเปิดโอกาสให้ประเทศที่มีอาณาเขตทางทะเลทับซ้อน ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน

ดังนั้น เพื่อให้ความตกลงระหว่างประเทศเดินหน้าต่อไปได้ รัฐบาล 2 ฝ่ายจึงลงนามใน “บันทึกช่วยจำ 2544” เพื่อเป็นกรอบของการเจรจา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่จะต้องมีการกำหนด “กรอบการเจรจา” เพื่อให้การเจรจาเดินไปข้างหน้าอย่างมีทิศทาง และแม้จะยกเลิกไป ก็จะต้องหันกลับมาสร้างกรอบเช่นนี้อีก แต่สำหรับฝ่ายขวาแล้ว กรอบนี้ถูกตีความว่าเป็นข้อตกลงในการแบ่งผลประโยชน์ทางทะเล จึงเกิดเสียงเรียกร้องให้ยกเลิกในปี 2551 และนำมาเป็นข้อเรียกร้องอีกครั้งในปีปัจจุบัน โดยหวังว่าการขับเคลื่อนกระแสชาตินิยมจากปัญหานี้ จะพาการเมืองไทยกลับสู่วังวนในปี 2551 อีกครั้ง น่าสนใจว่าพวกเขายัง “ฝัน” ที่จะล้มรัฐบาลอีกหรือ

ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องคิดรับมือกับการปลุกกระแสขวาจัด ที่อาศัยความไม่เข้าใจของประชาชนเป็นพื้นฐานการเคลื่อนไหว การชี้แจงด้วยข้อมูล/ข้อเท็จจริงกับสังคมจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง

ปัญหาอีกเรื่อง

ปัญหาความมั่นคงเฉพาะหน้าที่ท้าทายทั้ง 3 เรื่องนี้ มารออยู่ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลแล้ว และรอว่า รัฐบาลจะกำหนดทิศทางในการพาประเทศไทยเดินไปในอนาคตอย่างไร อีกทั้งมีเรื่องค้างเก่าที่ทิ้งไม่ได้คือ พี่น้องคนงานไทยอีกส่วนที่ถูกจับเป็นตัวประกันในกาซายังไม่ได้กลับบ้านเลย ขอรัฐบาลอย่าลืมพวกเขาเป็นอันขาด!