ไฉนจาก เดอะ แฮร์ สงครามเวียดนาม จีนแดง จึงจบลง ใน ‘ถ้ำ’

บทความพิเศษ

 

ไฉนจาก เดอะ แฮร์

สงครามเวียดนาม จีนแดง

จึงจบลง ใน ‘ถ้ำ’

 

ไม่ว่าจะมองผ่าน “เมด อิน U.S.A.” ไม่ว่าจะมองผ่าน “โง่ เง่า เต่า ตุ่น” ดำเนินไปในกระสวนการเขียนแบบสนทนา วิวาทะ

เสมือนกับเป็นการสูบฉีดในทางปัญญาของเหล่า “ปัญญาชน”

สุจิตต์ วงษ์เทศ ดำรงอยู่ในลักษณะของคนที่เปิดหูรับฟัง ปิดปากเงียบ ออกความเห็นโต้แย้งแต่น้อย ด้านหลักยังเป็นการรับฟัง

ทำหน้าที่เป็น “นักข่าว” ทำตนเสมอเพียง “นักเรียนน้อย”

ในบางครั้งก็รำพึงออกมา “ความคิดของกูวกวนวุ่นวายหลายสถาน เพราะความติดขัดในเรื่องลัทธิทางการเมืองบ้าๆ บอๆ ที่ไม่อยากจะรับรู้ก็จำเป็นจะต้องรับรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างมนุษย์เป็นผู้สร้างแล้วมนุษย์ก็ตกอยู่ในขอบเขตของมันเอง”

หลายครั้งสภาพที่ประสบก็คือ “ความคิดในเรื่องแรงงานยังมิทันล้างออกจากสมอง โทรทัศน์ถ่ายทอดนายนิกสันเดินทางไปขึ้นกำแพงเมืองจีน แล้วโทรทัศน์ก็ถ่ายทอดนายนิกสันเดินไปดูพิพิธภัณฑสถานที่จัดอยู่ในวังโบราณ”

ในเมื่อที่แวดล้อมอยู่โดยรอบ สุจิตต์ วงษ์เทศ เท่าที่บ่งสะท้อนออกมา 1 เชิง แก่นแก้ว 1 ตะกั่ว 1 ฉลาด 1 ยังมีอรชุน

ความเห็นจึงดำเนินไปอย่างหลากหลาย

เป็นความหลากหลายจากที่เห็นการสู้รบในสงครามเวียดนาม เป็นความหลากหลายจากที่เห็นความพยายามในการสร้างไมตรีระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนในที่สุดก็มาถึงความเป็นจริงสำคัญ

“อเมริกันนิโกรกำลังตกนรก ส่วนอเมริกันอินเดียนกำลังลั่นกลองรบและเตรียมหอกดาบทำศึก” คำถามหนึ่งก็โพล่งขึ้นมาในวงสนทนา

“แล้วใครเล่าจะมีความสุข”

“ไอ้ห่า ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ผมยังไม่เคยรู้จักมันเลย ได้ยินแต่ชื่อเสียงของมันว่าความสุข”

“ผมเคยได้ยินว่ามนุษย์เคยมีความสุขสองครั้งและเห็นผู้มีความสุขอย่างแท้จริงหนึ่งครั้ง” คนหนึ่งในวงสนทนากล่าวขึ้น จะเป็นใครก็ได้ที่กล่าวขึ้นเพราะความทุกข์ของคนทั้งโลกมีมาก ทุกคนจึงมีสิทธิที่จะฝันว่าตนเคยเห็นความสุขและเคยพบคนที่มีความสุข

จำเป็นต้องฟัง จำเป็นต้องอ่าน

 

ถ้ำลึก ภาคเหนือ

สมณะ สงบนิ่ง

ตอนที่เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปไกลเกือบจดชายแดนพม่า ที่นั่น เป็นเขาสูงปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบในฤดูหนาว

มีตำนานและนิยายของภูเขานั้นสนุกสนานและสลับซับซ้อน

ถ้าหากมองไกลจะสามารถแลเห็นยอดเขาและบนยอดเขาเราจะเห็นเป็นสะพานต่อออกไปเหมือนนิมิต

สะพานที่ต่อออกไปจากยอดเขาสูงขึ้นไปถึงไหน มองไม่เห็น

แต่คิดว่าคงถึงฟ้า ขึ้นไปบนเขาสูงนั้นเราเชื่อกันว่าเป็นสวรรค์ ต่ำลงไปในดินเรา เชื่อว่าเป็นนรก

จะเท็จจะจริงอย่างไร เราไม่พูดถึง

แต่เมื่อผ่านหุบห้วยตรวยโตรกตรงเงื้อมชะโงกผาขึ้นไปประมาณกึ่งกลางจะมีหมู่บ้านชาวป่าชาวเขาไม่กี่หลังคาเรือน ถัดขึ้นไปไม่ไกลนักเป็นคูหาบรรณขนาดย่อม ข้างในลึกและเป็นหลืบหิน ที่เพดานถ้ำเป็นระย้าย้อยของหินงอกหินย้อย

ลึกเข้าไปในถ้ำพอที่แสงสว่างจะสาดเข้าไปได้แลเห็นกองหินที่เกิดตามธรรมชาติเรียวแหลมขึ้นไป ประกายฟอสฟอรัสในหินส่องแสงเรือง

ลักษณะเรียวแหลมของหินกองนั้นเหมือนเจดียสถานกลางถ้ำ

ผมนึกภาพนั้นทันทีในขณะที่เห็นเพราะปากถ้ำไม่ลึกนักนั้นภิกษุหนึ่งรูปจำศีลภาวนาอยู่

ได้ยินเสียงน้ำตกเล็กๆ ดังอยู่ไม่ไกลนัก

 

ความสุข สุกปลั่ง

ดั่งจันทร์ ทรงกลด

ผมเห็นภิกษุรูปนั้นมีความสุขเหมือนแสงสว่างของคืนที่พระจันทร์ทรงกลด ผมมีโอกาสสนทนากับท่านบ้าง และรู้ว่าท่านจำศีลภาวนาอยู่ในถ้ำนานแล้ว

ท่านทำนายทายทักโชคชะตาราศีไม่เป็น

ท่านบอกเลขท้ายสองตัวสามตัวไม่ได้

หลับตาขึ้นมาท่านก็มองไม่เห็นอะไร ไม่เห็นภพนี้ ไม่เห็นภพหน้า ไม่เห็นนรกขุมไหนๆ และไม่เห็นสวรรค์ชั้นใดๆ

บรรดามนตราทั้งหลายและบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ ทั้งหลายท่านก็จำไม่ได้ ได้ยินท่านพูดแต่อริยสัจของพระพุทธเจ้า ท่านรู้จักแต่อริยธรรมของพระพุทธเจ้า

ท่านบอกแต่ว่าจำศีลในฤดูพรรษา และออกศีลในฤดูออกพรรษา ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็ธุดงค์บ้าง จากภูเขาลูกนี้ไปยังภูเขาลูกโน้น จากหมู่บ้านนี้ไปยังหมู่บ้านโน้น จากคนสองสามคนที่นี่ไปยังคนสองสามคนที่โน่น

ท่านเคยเดินเข้าเมืองเลียบไปตามชายน้ำจากภูเขา แต่ท่านไม่เคยไปปักกลดกลางนาใกล้เมือง

เพราะวัดของท่านคือป่าและภูเขา

เมื่อเข้าเมืองแล้วท่านก็ต้องออกจากเมืองภายในวันเดียวกัน

 

มรรค แปดประการ

กาลามสูตร สิบข้อ

ท่านเทศนาได้โดยไม่ต้องมีคัมภีร์ใบลาน เพราะผมอยู่ที่นั่นตามหน้าที่จนถึงวันที่ท่านไปเทศน์ในหมู่บ้าน เนื้อความที่ท่านเทศนาไม่มีเรื่องบุญเรื่องกรรม ไม่มีชาตินี้ชาติหน้า ไม่มีศีลห้าศีลแปด

ท่านเน้นแต่ความสุขความสมบูรณ์ ท่านบอกแต่มรรคแปดประการและกาลามสูตรสิบข้อ

ท่านไม่เคยยิ้ม และไม่เคยหน้าบึ้ง

ในขณะเดียวกันผิวพรรณวรรณะท่านสดใสเพราะพืชผักผลไม้ที่เป็นอาหาร สิ่งที่ท่านได้รับจากชาวบ้านนั้นนอกจากข้าวเหนียวแล้วก็มีเกลือบ้างเท่านั้น

ถ้าหากจะวัดด้วยกลิ่นน้ำหอมเกสรดอกไม้ฝรั่งแถวสยามสแควร์แล้ว จีวรของท่านก็เหม็นสาบ แต่ผมสัมผัสด้วยฆานประสาทว่าเป็นกลิ่นผ้าฝ้ายย้อมเหลืองขมิ้นเก่าๆ

ท่านมีเครื่องอัฎฐบริขารอยู่บ้างในซอกผา แต่ที่แน่นอนคือ ไม่มีรองเท้าหนังหมาหรือชนิดไหนๆ ทั้งสิ้น

ผมคิดว่าท่านเป็นผู้มีความสุขที่ผมได้พบ

แต่ผมพบเพียงผู้มีความสุขเท่านั้น ผมมิได้มีความสุขด้วยเลย และภาพสมณะนี้ยังติดตามผมอยู่ตลอดเวลา

ผมคิดว่าและหวังว่าสักวันหนึ่งผมคงจะมีความสุขอย่างท่านบ้าง

ผมพบมาจริงๆ และผมก็ไม่คิดอย่างอื่นว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้

โลกนี้ยังมีอะไรหลบซ่อนพรางตามนุษย์อยู่มากมายเกินกว่าที่มนุษย์จะหยั่งถึงไม่ว่ามนุษย์จะก้าวไปข้างหน้าและล้ำขึ้นไปข้างบนมากเท่าไรก็ตาม มนุษย์ส่วนมากสมัยวัตถุนิยมนี้อาจจะคิดว่าความสุขที่แท้จริงในโลกไม่มี

แต่ผมเชื่อว่ามีแน่ แต่ใครจะเป็นผู้ค้นพบก่อนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

ทำไม เป็นถ้ำลึก

เหตุใด เป็นสมณะ

ทั้งหมดนี้มิได้เป็นการกล่าวของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ทั้งไม่น่าจะเป็นการกล่าวของ เชิง แก่นแก้ว

สุจิตต์ วงษ์เทศ ระบุเพียงว่าเป็น “คนหนึ่ง” ในวง “สนทนา”

ความน่าสนใจมิได้อยู่เป็นการเล่าถึง “ความสุข” หากแต่ก่อนเล่ายังเป็นการอ้างอิงไปยัง “สิทธารถะ”

เป็น “สิทธารถะ” อันมีพื้นฐานจาก เฮอมานน์ เฮสเส

นี่เป็นเหมือนกับจะเป็นการ “สรุป” เนื่องจากอยู่ในตอนท้ายท้ายสุดในหนังสือ “โง่ เง่า เต่า ตุ่น”

ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านบทสนทนาว่าด้วย “สงครามเวียดนาม” ว่าด้วย “จีนแดง”

น่าสงสัยหรือไม่ว่าทำไมจึงเลี้ยวเข้าหา “ถ้ำ” อันเร้นลับบนเทือกเขาสูง ทำไมต้องเป็น “สมณะ” รูปหนึ่ง

หรือนี่จะเป็น “จิตเดิมแท้” ฝังลึกอยู่กับ สุจิตต์ วงษ์เทศ