พ่อ… คนที่จากไป สิ่งที่เหลืออยู่ | เรื่องสั้น : กิตติศักดิ์ คงคา

เรื่องสั้น | กิตติศักดิ์ คงคา

พ่อ… คนที่จากไป สิ่งที่เหลืออยู่

 

ผมไม่เคยนิยามว่า… ผมรักพ่อเลยสักครั้ง

พ่อเป็นผู้ชายประเภทที่ผมไม่ชอบที่สุด ยิงนก ตกปลา แต่งรถ เล่นพระเครื่อง พูดจาโผงผาง และชอบลูกผู้ชาย ลูกผู้ชายในที่นี้ไม่ได้หมายถึงบุตรที่มีภาวะเพศชาย หากแต่คือคนที่มีคนสมบัติความเป็นชายอย่างเพียบพร้อม หรือก็อาจจะหมายถึงคนคล้ายๆ พ่อนั่นแหละ พี่ชายจึงเป็นลูกรักของพ่อเสมอ เพราะความชอบและงานอดิเรกทุกอย่างแทบจะเหมือนกันหมด ต่างจากผม ลูกชายที่ไม่ได้เป็นลูกผู้ชายแบบที่พ่อชอบ ผมขับรถไม่เป็น ไม่ชอบกิจกรรมกลางแจ้ง และชอบอ่านหนังสืออยู่บ้านเงียบๆ คนเดียว

พ่อไม่รักผม ผมก็ไม่รักพ่อเช่นกัน ผมคิดว่าต่างฝ่ายต่างก็รู้กันอยู่เต็มอก ผมกับพ่อไม่เคยสนิทกันตั้งแต่เด็กจนโต หากจะทำอะไรก็ต้องมีแม่ช่วยประสาน พ่ออยู่ห่างผมออกไปไกลเรื่อยๆ เหมือนยืมสายตาของแม่ในการเฝ้าดูผมเท่านั้น แม่กลายเป็นคนกลางที่คล้ายจะต้องรับหน้าที่พ่อไปด้วยในเวลาเดียว แม่สอนผมใช้ชีวิต บอกให้ผมตั้งใจเรียน เป็นกำลังใจให้ในวันที่ย่ำแย่ที่สุด ส่วนพ่อยืนอยู่ห่างออกไป

ไกลจนหลายครั้งผมก็คิดว่าเราทั้งสองหลุดออกจากวงโคจรของกันและกันไปแล้ว

 

จนกระทั่งพ่ออายุได้เกือบหกสิบปี พ่อได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย พ่อไอเรื้อรังมาเป็นเวลานาน นอนลำบาก กว่าจะถึงมือหมอเฉพาะทางและตรวจพบ หมอก็บอกว่าพ่อน่าจะเหลือเวลาไม่เกินสองสัปดาห์เท่านั้น

ผมบินข้ามจังหวัดกลับมาหาพ่ออย่างเร่งด่วนที่สุด ผมยังจำวันที่กลับมาเจอพ่อด้วยความเข้าใจใหม่ได้ดี ภายในของผมสับสนอึงอลไปหมด ความรู้สึกดึงดันกันอยู่สารพัด แม้จะสวมกอดพ่อไว้ให้แน่นที่สุด ผมก็ไม่สามารถทำได้อย่างสนิทใจ

พ่อล้อเล่นกับชะตากรรมตัวเองเหมือนที่ล้อเล่นกับทุกเรื่องในชีวิต ในขณะที่พวกเรานับถอยหลังแล้วว่าพ่อจะตาย แต่พ่อก็ไม่ตาย พ่อผ่านสองสัปดาห์แรกมาอย่างที่พวกเราเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก หมอบอกว่าหากไม่ใช่สองสัปดาห์ก็อาจจะเป็นสองเดือน พวกเราก็นับถอยหลังอีก ทำใจแล้วถึงวันที่ต้องลาจาก แต่ก็เปล่าเลย พ่อไม่ตาย พ่อใช้ชีวิตวันต่อวันอยู่มาเรื่อยๆ แบบนั้น จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี

จากปีเป็นหลายปี

 

ความเจ็บป่วยของพ่อเปลี่ยนครอบครัวของผมเสียใหม่ จากชีวิตที่ต่างคนต่างอยู่ พวกเราตกลงกันว่าเราจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตพ่อให้ดีที่สุด ดีจนไม่ต้องมาเสียใจภายหลังหากพ่อจะไม่อยู่กับเราอีกต่อไปแล้ว พวกเราไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน หลังจากไม่เคยไปด้วยกันมาเป็นสิบปีแล้ว พวกเรานั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน จากที่ปรกติต่างคนต่างกิน ผมนั่งคุยกับพ่อ นั่งดูโทรทัศน์กับพ่อ ทำอาหารให้พ่อกิน ผมเองก็ไม่เคยจินตนาการภาพเหล่านั้นด้วยซ้ำ แต่ชีวิตก็มักดำเนินไปโดยไม่รู้ต้นสายปลายทางแบบนั้น

ความใกล้ชิดในห้วงสุดท้ายทำให้ผมได้รู้จักพ่อใหม่ ได้รู้จักกับราวว่าเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้จักพ่อมาก่อนเลย ภายในผู้ชายร่างใหญ่ โผงผาง และชอบใช้กำลังแก้ปัญหาทุกเรื่องคนนั้น ยังมีพ่อในเรือนร่างของเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่งซ่อนอยู่ภายใน อยากรู้อยากเห็น ขี้อ้อน และหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จัก ถ้าผมไม่ใช่คนปั่นอาหารเหลวให้พ่อ พ่อก็จะไม่กิน ถ้าผมไม่คอยตรวจสอบยาให้พ่อก่อน พ่อก็จะไม่กิน

เด็กน้อยคนนั้นแผลงฤทธิ์ให้ผมได้เห็นอีกแง่ของชีวิตพ่อราวกับเราพึ่งเคยรู้จักกัน

 

ผมกับพ่อใช้เวลาทั้งลุ่มทั้งดอนนั่นผ่านมากว่าสามปี พ่อต่อเวลาชีวิตมาไกลเกินกว่างานวิจัยทุกชิ้นในโลกจะเชื่อว่าพ่อจะมีชีวิตอยู่แล้ว แต่พ่อก็ทำ ใช้ชีวิตแบบนั้น ตื่นเช้ามากับผมอันโล้นเสียหมดหัว หยิบหมวกใบที่ผมซื้อให้และนั่งรถออกไปกินก๋วยเตี๋ยว กลับมาบ้านก็จะเปิดข่าวฟัง ดูรายการตลก และรอให้ลูกหรือเมียเอาข้าวและยามาให้ พ่อจะคอยถามว่าชีวิตผมเป็นอย่างไรผ่านช่วงเวลาสั้นๆ ที่พ่อกินน้ำหลังจากเอาเม็ดยาใส่ปาก หลายครั้งผมรู้สึกว่าเราอาจจะพึ่งเป็นพ่อลูกกันอย่างจริงแท้ก็ตอนนี้เอง

พ่อเสียชีวิตหลังจากต่อสู้กับโรคมะเร็งได้สามปีกว่า พ่อใช้ยาทุกขนานที่ใช้ได้ พ่อฉายรังสีบำบัด พ่อทำทุกอย่างตามเวชปฏิบัติจนได้เป็นกรณีศึกษาของโรงเรียนแพทย์ที่คนไข้คนหนึ่งต่อสู้กับโรคมะเร็งร้ายได้ยาวนานเหลือเกิน

แต่พ่อก็ตาย ตายในห้วงเวลาที่พวกเราในครอบครัวสั่งเสียกันจนไม่มีอะไรให้พูดซึ่งกันต่อกันอีกแล้ว

ผมกอดพ่อ บอกรักพ่อ ขอบคุณพ่อ กราบเท้าพ่อ บวชให้พ่อ ทำทุกอย่างที่คิดว่าลูกควรจะทำจนหมดสิ้น บอกย้ำให้พ่อสบายใจว่าผมและแม่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แม้ไม่มีพ่อคอยเคียงข้างอีกแล้ว

ในคืนสุดท้ายพ่อขอไม่กินยา พ่อบอกว่าเวลาของพ่อมาถึงแล้ว พ่อขอแค่น้ำส้มแก้วเดียวก็พอ ผมรับแก้วเปล่ามาจากพ่อ พ่อยิ้มให้ผม เอาท่อออกซิเจนกลับเข้าไปเสียบที่จมูกตามเดิม และล้มตัวลงนอน หากแต่เมื่อรุ่งเช้ามาถึง พ่อก็หลับไปทั้งที่นอนพริ้มอยู่อย่างนั้น ไม่มีความทรมานแม้แต่เพียงเสี้ยว แม่ที่นอนอยู่เคียงข้างไม่ได้ยินเสียงพ่อร้องแม้แต่คำเดียว

พ่อไปอย่างสบายที่สุด เรียบง่ายที่สุด และเหลือบาดแผลไว้ให้กับคนข้างหลังน้อยจนเหมือนแทบไม่มี

 

การสูญเสียพ่อไปกลายเป็นเหมือนหลุมดำขนาดใหญ่ที่ปรากฏตัวขึ้นในบ้าน ผมดูเหมือนจะเป็นคนที่เข้าใจเรื่องทุกอย่างได้ดีที่สุด ต่างจากแม่และพี่ชายที่แทบจะปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้เลย แม่ยังร้องไห้ทุกวันทุกคืน ส่วนพี่ชายยังคงขับรถออกไปใช้ชีวิตอย่างว่างเปล่า ทุกคนเสียศูนย์ บ้านที่เคยเป็นรอยยิ้มมีแต่เสียงร้องไห้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ผ่านพ้น ผมจับมือพาทุกคนไปพบจิตแพทย์ด้วยกัน พี่ชายผมพบก่อน แม่เป็นคนต่อมา และผมตามเข้าไปด้วยเป็นคนสุดท้าย

ผมจำยิ้มละไมของหมอคนนั้นได้ดี หมอถามผมอย่างเรียบง่ายว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง ผมเงียบไปยาวนาน ทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างในใจให้ละเอียดที่สุด ก่อนจะตอบว่าผมแยกความรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียดที่มีต่อพ่อไม่ได้เลย ใจหนึ่งก็ยอมรับเขาแล้วในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่ภาพจำในวัยเด็กที่พ่อทำร้ายจนเลือดซิบก็ไม่สามารถล้างไปจากอีกใจหนึ่งได้ ในหัวผมราวมีพายุมรสุม คงจะง่ายกว่านี้หากผมรักพ่อทั้งหมด หรือไม่ก็เกลียดพ่อไปให้ได้โดยไม่ต้องเผื่อใจ

จิตแพทย์คนนั้นพูดกับผมเรียบง่าย ผมยังจำแสงสว่างที่ค่อยๆ ทอจ้าขึ้นขณะที่แรงลมฝนค่อยคล้อยพัดผ่านไปได้ดี ผมฟังอย่างตั้งใจ ตกตะกอนกับความทรงจำครั้งเก่า มองท้องฟ้านั่นที่อยู่ไกลออกไปแต่ราวกับจะเอื้อมคว้ามือมาได้ ราวกับจะเป็นรุ้งงาม แต่ไม่ใช่ หากแต่มันเป็นเพียงเส้นขอบสีเงินยาวที่ฉาบเคลือบอยู่ตรงริมก้อนเมฆดำครึ้มร้าย เหมือนจะเป็นเสียงกระซิบจากชีวิตว่าอีกไม่นาน อีกไม่นานพายุโหมกระหน่ำจะผ่านไปและฟ้าสดใสจะสาดมา

ผมเข้าใจที่สุดแล้วเมื่อเดินออกจากโรงพยาบาลมาพร้อมทุกคนในครอบครัว ไม่มีใครสมบูรณ์แบบพร้อมประเสริฐครบในคนเดียว ทุกคนล้วนสูงส่ง ต้อยต่ำ ดีงาม และหยาบกร้านในคนเดียว พ่อเองก็เป็นเช่นนั้น ผมเองมัวแต่คาดหวังว่าพ่อจะเป็นพ่อในอุดมคติ แต่ผมก็ลืมไปว่าผมเองก็ไม่สามารถเป็นลูกในอุดมคติเช่นกัน

มนุษย์ทุกคนล้วนมีข้อดีข้อเสีย แต่ถ้ารับ เข้าใจ และปรับปรุงข้อเสียซึ่งกันและกันได้ สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแต่เรื่องดีงาม

 

ผมยังจำเสียงแม่ได้ดีในวันที่นำกระดูกของพ่อไปลอยอังคาร แม่พูดกับผมว่าถึงแม้ว่าพ่อจะเป็นคนที่มีข้อเสียมากมายเต็มไปหมด แต่สุดท้ายพ่อก็ยังเป็นคนดีของแม่เสมอ แม่เลือกจะจดจำพ่อในแบบนั้น ประโยคของแม่ก้องกังวานในหัวผมซ้ำไปซ้ำมา ถูกต้องที่สุด พ่อของผมคงจะเป็นคนเลวถึงที่สุดสำหรับบางใคร นักเลงที่พ่อเคยไปต่อยตีด้วย ญาติที่ทะเลาะกันจนเกือบขึ้นโรงขึ้นศาล หรือแม้แต่กระทั่งเดียรัจฉานที่พ่อยิงทิ้งยิงขว้างสมัยก่อน

แต่คำว่าดีกว้างขวางและปราศจากนิยามที่ถูกอย่างจริงแท้ พ่ออาจจะเป็นคนร้ายสำหรับสายตาคนอื่นก็ได้ แต่สำหรับผม ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำนั่น พ่อได้อุทิศห้วงเวลาสุดท้ายสอนบทเรียนที่ดีที่สุดในชีวิตที่ไม่อาจหาเรียนได้จากมหาวิทยาลัยไหน วิชาชีวิต พ่อสอนให้ผมเข้าใจคุณค่าของเวลาอย่างจริงแท้ พ่อทำลายอคติทุกอย่างในใจตนเองและผมลง เพื่อที่เราจะได้โอบกอดกันไปในครั้งสุดท้าย และเหลือซึ่งกันเอาไว้แค่ความทรงจำที่งดงามที่สุด

…ผมอาจจะไม่รักพ่อก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็รักพ่อได้ด้วยเช่นกัน •