บนดวงจันทร์อันบรมสุข | เรื่องสั้น : ปันนารีย์

เรื่องสั้น | ปันนารีย์

บนดวงจันทร์อันบรมสุข

 

คืนลอยกระทง พลุถูกจุดขึ้นสู่ท้องฟ้าสีหม่น หวีดร้องก่อนจะแตกดังตูม กลายเป็นดาวร้อยดวงเจิดจรัสท่ามกลางสีเทาจางของกลางคืนที่ดวงจันทร์กลมโตกำลังส่องสว่าง โคมลอยจำนวนมากพากันลอยเคว้งคว้างอยู่กลางฟากฟ้า ส่วนเรื่องจะตกลงเป็นแจ๊กพ็อตของบ้านหลังใด มันเป็นเรื่องของโชคชะตา

เมื่อสายตาไต่ระดับลงมาจากท้องฟ้า เบื้องหน้าของฉันในเวลานี้ คือ บ้านหลังใหญ่โตของเธอ ใหญ่โตและอุดมไปด้วยความสุข ไม่มีอะไรกว่าความสมบูรณ์และพูนสุข ขณะนี้ฉันจึงนั่งมองพระจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือหลังคาบ้านของเธออย่างภาคภูมิใจ ดวงตาของฉันกล่าวถ้อยคำบอกเล่าให้พระจันทร์ฟัง ถึงเรื่องราวอันสืบเนื่องจากว่าฉันมีเพื่อนรักที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ให้ตายเถอะ คืนนี้ของฉันจึงเต็มไปด้วยความบรมสุข

เราสามคน มีฉัน เธอและเดือนเพ็ญอีกคน เติบโตขึ้นมาภายในหมู่บ้านอันเงียบสงบ เดือนเพ็ญนั้นร่ำรวยที่สุด ส่วนฉันเป็นลูกชาวสวนมักรู้สึกอายเสมอที่ต้องตื่นตีสามตีสี่มานั่งขายผักกลางตลาดสด มุดหน้าหนีเพื่อนที่ออกมาเดินจับจ่ายซื้อของ เดือนเพ็ญมีพ่อกับแม่ทำงานรับราชการอยู่กรมชลประทาน บ้านของเธอใหญ่โตกว่าใครๆ ในหมู่บ้าน บ้านของเธอมีรถยนต์ก่อนใคร ลุงของเดือนเพ็ญมีฟาร์มไก่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน ที่ดินขนาดสิบไร่ที่พวกเราชอบไปวิ่งเล่น เธอรู้ไหม ฟังเพลง Moon River ทีไร ฉันยังนึกถึงร่องสวนที่ทอดยาวไปตามหลังฟาร์มไก่ มีแต่ทุ่งนาที่เราสามคนวิ่งเล่นกัน ท่ามกลางพระจันทร์กลมโตดวงนั้น ใหญ่โต ชนิดนี้เราต่างฝันว่าเราจะคว้ามันมาเป็นเจ้าของให้จงได้

เธอจำภาพนี้ได้บ้างไหม เด็กผู้หญิงสามคนกับฉากด้านหลังคือพระจันทร์ทรงกลมโต ไม่มีตึกรามบ้านช่องเป็นฉากหลัง มีเพียงเงาทิวไผ่พะเยิบพะยาบจากแรงลมปลิว แล้วเสียงกุ๊กๆ ดังเป็นเพลงอินโทรบรรเลงคลอตามมา

เราสามคนแยกย้ายกันไปเรียน ตอนนั้นฉันเริ่มเกลียดความยากจนที่ทำให้ฉันไม่มีโอกาสเรียนเหมือนเธอ เธอมีชีวิตเป็นขั้นเป็นตอนอันสวยสดงดงาม เด็กดี เรียนดี แต่งงานกับคนที่ดีที่สุด ตัดภาพมาที่บ้านของเธออีก ใหญ่โตเหมือนภูเขาลูกหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าฉัน ณ เวลานี้ ประจักษ์พยานว่าชีวิตดีแสนดีเรียบง่ายเพียงเท่านี้ (จริงหรือ?)

ชีวิตไม่ง่ายเหมือนกันทุกคนหรอกนะ

 

เดือนเพ็ญเป็นคนที่หกคะเมนตีลังกาชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อที่สุด ตั้งแต่เราแยกย้ายกันไปใช้ชีวิต วันที่เราสามคนพบกันอีกครั้งกลับกลายเป็นวันที่สามีของเดือนเพ็ญฆ่าตัวตายในห้องน้ำ บ้านหลังใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จหลังนั้นนั่นแหละ มันเป็นบ้านที่ทันสมัย น่ารักที่สุดในหมู่บ้าน ชัยพรสามีของเดือนเพ็ญเองก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งของเราเช่นกัน เขารักกับเดือนเพ็ญมาตั้งแต่เรียน ม.3 พอเรียนจบชั้น ม.3 เดือนเพ็ญไปเรียนต่อสายอาชีพในเมือง ไม่นานทุกคนในหมู่บ้านได้ยินเรื่องที่เดือนเพ็ญตั้งท้องกับชัยพร ผ่านไปนานอีกสิบปี ทั้งสองคนมีลูกด้วยกันถึงสองคน เดือนเพ็ญผู้ที่ต่อสู้ดิ้นรนทำงานเสมอๆ เธอขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพ่อแม่และลุง บ้าน รถยนต์ ฟาร์มไก่ ทั้งหมดหายไปจากความล้มเหลวในการพยายามทำธุรกิจของเธอ หนำซ้ำเธอต้องกู้เงินมาสร้างบ้านหลังใหม่

เดือนเพ็ญดิ้นรนเปลี่ยนวิธีทำมาหากินของเธอไปเรื่อยๆ เงินกู้นอกระบบทุกระบบถูกถ่ายเท รถมอเตอร์ไซค์ทวงหนี้วิ่งเข้าในหมู่บ้านคันแล้วคันเล่า

เดือนเพ็ญเคยบ่นให้ฉันฟังทำนองว่าทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ อาชีพสุดท้ายของเดือนเพ็ญกับชัยพร คือขายสุกี้อยู่หน้าโลตัส ก่อนหน้านั้นฉันได้ยินเรื่องเดือนเพ็ญไปเปิดร้านขายเสื้อผ้าที่สวนจตุจักร เธอบินไปมาระหว่างบ้านกับกรุงเทพฯ เป็นว่าเล่น ตอนนั้นฉันคิดว่าอนาคตของเพื่อนกำลังไปได้ดีแล้ว ไม่นานคงจะติดปีกโบยบิน พ้นไปจากความทุกข์ยากเสียที เดือนเพ็ญบอกฉันเองว่าน้ำจิ้มสุกี้รสเด็ดเป็นสูตรลับของชัยพร แต่ทว่า ฉันซื้อสุกี้น้ำได้เพียงถุงเดียว ร้านของเธอก็ปิดตัวลงอีกครั้ง ก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ได้ยินข่าวว่า คนในหมู่บ้านไปช่วยชัยพรที่กำลังแขวนคอฆ่าตัวตายในป่าช้า เขาถูกช่วยชีวิต และกลับมาฆ่าตัวตายซ้ำในสัปดาห์ถัดมา

บรรยากาศเย็นวันนั้น เงียบสงัดนัก น่าจะเป็นย่ำค่ำก่อนฤดูหนาว ลมตีปีกกิ่งไม้อย่างเจ็บปวด ใบหน้าของเดือนเพ็ญ เหมือนพระจันทร์กลมโตดวงนั้น เต็มไปด้วยริ้วรอย ต้นลั่นทมหน้าบ้านของเดือนเพ็ญแตกกิ่งก้านเป็นรูปทรงใหญ่โต ร่างของต้นลั่นทมสลัดใบทิ้งไปหมดแล้วมีแต่แตกแขนงความเปราะบาง แล้วพระจันทร์ก็วิ่งมาเป็นฉากหลังอันสุกสกาวของต้นลั่นทมอีกครั้ง

ชัยพรฆ่าตัวตายในห้องน้ำของบ้านอันแสนน่ารัก ขณะที่ลูกชายทั้งสองยังเตะบอลอยู่สนามหน้าบ้าน ใต้ต้นลั่นทมนั่นแหละ

 

ตัดภาพอีกที มาที่ฉัน ในร่างของความถดถอยและเจริญรุ่งเรือง มันพลิกไปมาเหมือนลมพลิกใบไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นสนาม ปีนี้ฉันมีแขนสองข้างไม่เท่ากัน สืบเนื่องจากปลายปีที่แล้วขณะที่ฉันขับรถออกไปนอกเมือง เกิดอุบัติเหตุรุนแรง แขนหักและมันไม่กลับคืนสู่สภาพเดิม เท้าบิดรูปทำให้ฉันเดินในท่าไม่ปกติเท่าไหร่นัก เงาโขยกเขยกใต้เงาจันทร์นั้นมันทำให้ฉันรู้สึกถึงความปรารถนาที่จะค้นหาความสุขของตัวเองจากความไม่สมบูรณ์

ก่อนหน้านี้ความสมบูรณ์พูนสุขของฉันได้มาจากการแต่งงาน ฉันเลือกแต่งงานกับโตมร เขาเป็นคนที่มีสมองเป็นเงินเป็นทอง ความร่ำรวยของเขาที่จะทำให้ฉันหายจากโรคความยากจน ฉันถูกคาดเดาจากคนอื่นๆ ว่า ฉันต้องมีเงินเป็นจำนวนมหาศาล แต่ไม่จริง สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน ฉันรู้สึกสนิทใจกับความจน ไม่สนใจเงินของโตมรแม้แต่บาทเดียว บางวันฉันมีเงินแค่ไม่กี่บาท ไม่พอจะซื้อกาแฟสักแก้วด้วยซ้ำ ฉันชอบความจนของตัวเองมากกว่า รู้สึกสบายใจ จะว่าไป ฉันรู้สึกสนุกดี กับเกมที่ออกไปโลดแล่น มีเงินที่วิ่งผ่านบัญชีของฉันจำนวนมหาศาล มันถูกนับเป็นนาทีด้วยซ้ำ แต่มันก็เป็นเพียงตัวเลขที่ถูกถ่ายโอนแบบที่ฉันไม่รู้ที่มาและที่ไป มันไม่เคยอยู่ในกำมือของฉันแม้แต่บาทเดียว

แม้ว่าฉันเริ่มตาสว่างแล้วว่าโตมรเป็นเผด็จการของฉัน เขายึดอำนาจทุกอย่างไปจากชีวิตฉัน โดยที่ฉันนึกเอาเองว่านั่นคือ การปรนเปรอ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า บางที คนไม่รู้กับการถูกหลอกก็เป็นเพียงเส้นบางๆ เขาชอบออกคำสั่งและฉันไม่เคยปฏิเสธคำสั่งของเขาได้เลย ฉันคิดว่าการยินยอมของตัวเองเป็นความรัก จนวันหนึ่งฉันเดินทางมาถึงจุดที่ต้องมานั่งตั้งคำถามว่า ความรักหมายถึงปรารถนาใดของมนุษย์

ครั้งหนึ่งฉันไปเป็นตัวแทนติดต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ งานอยู่ในวงเงินมหาศาล ซึ่งฉันทำผิดพลาด นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันคิดเอาเองว่าโตมรจะไว้ใจให้ฉันทำงานอะไรที่เขาเรียกว่าบิ๊กบราเธอร์อีก ฉันได้โลกอันแสนเงียบของตัวเองคืนมา แต่ก็เพียงประเดี๋ยวประด๋าว เขามักพูดว่าไม่มีใครน่าไว้ใจเท่าฉันอีก เขารักฉันเฉกเช่นทุกวัน แล้วฉันก็ตกลงไปในหลุมนั้นอีกรอบ

วันถัดมา ฉันหลงทางเดินอยู่ใต้สะพานลอย มีคนขับรถตู้จอดรถรอเวลาอยู่ที่นั่น พวกเขากำลังตั้งวงไพ่ ฉันเดินไปดูพวกเขาเล่นกันด้วยความเมามันและบอกผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังปลิ้นกระเป๋าว่างเปล่าของตัวเอง ฉันบอกว่าฉันมีเงินเท่านี้ ให้เขาเอาไปเล่นพนันต่อ ฉันยื่นเงินให้เขา ไม่เหลือเงินแม้แต่บาทเดียวในกระเป๋าของตัวเอง ฉันหลงใหลความไม่มีของตัวเอง หรือว่าฉันติดนิสัยออกคำสั่งมาจากโตมร กำลังคิดว่าตัวเองสามารถใช้เงินซื้อทุกอย่างได้แม้แต่ความสนุกสุดเหวี่ยงของคนอื่น แต่วิธีคิดของฉันอาจไม่เป็นจริงสักอย่าง นอกจากสูญเสียเงินของตัวเองไปฟรีๆ ด้วยพวกเขาไม่ได้สนใจฉันเลย นอกจากเกมเบื้องหน้า ใครสักคนกลางวงนั้นอาจกำลังหัวเราะว่าฉันเป็นผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่งที่เดินหลงทางผ่านมา

เยื้องจากพื้นที่ใต้สะพานลอย เป็นพื้นที่ใช้จอดรถยนต์ราคาแพงของพวกนักเล่นหุ้นในห้องค้า โตมรให้ฉันไปเปิดบัญชีที่ห้องค้าของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง จะว่าเงียบเหงาก็ไม่ทีเดียว มีคนแก่ๆ นั่งสัปหงกรอหุ้นดีดตัว ความชราภาพที่พยายามยื้อชีวิตตัวเองว่ายังรุ่งเรืองเหมือนอดีต น่าเวียนหัวพิลึก ที่ต้องมาติดกับดักที่ตัวเองขุดไว้ ฉันยื่นเอกสารและเมื่อเขาบอกว่าฉันเป็นคนที่มีเงินในบัญชีมากพอที่จะสามารถทำการซื้อขายหุ้นได้ ฉันหัวเราะเฝื่อนๆ ยิ้มแห้งๆ ฉันกำลังรู้สึกว่าตัวเองเล่นเกมปลอมตัวเป็นคนรวย และพวกเขาก็เชื่อฉันอย่างสนิทใจ

“คุณเปิดบัญชีเล่น TFEX ได้แล้วนะคะ” พนักงานคนนั้นบอกฉัน

สัญญาจากอนาคตที่ทำให้คนบางกลุ่มสามารถหาเงินจำนวนมหาศาลได้เพียงเสี้ยวนาที ณ บัดนั้น นั่นแปลว่า ภาพเหตุการณ์เศรษฐกิจพังพาบ หุ้นแดงเถือก ก็ไม่จริง มีคนได้กำไรมหาศาลจากความล้มเหลว ตอนนั้นที่ฉันเดินขึ้นไปอยู่บนบันไดอีกขั้น ไม่ต้องนั่งเล่นไพ่อยู่ใต้สะพานลอย เกมวันนี้ตลกเหมือนทุกวัน ที่ฉันออกไปทดลองใช้ชีวิต

ที่ว่าฉันทดลองใช้ชีวิตนั้น ล้วนเป็นจริง เพราะฉันยังไม่ได้เล่นเป็นตัวเองเลย

“ชีวิตต้องลงเรือสำราญ”

โตมรเคยบอกฉันแบบนี้ เราต่างจะมีชีวิตในเรือสำราญ เมื่อลงไปในลำเรือแล้วย่อมไม่พบสิ่งใดนอกจากความเพลิดเพลินและบรมสุข สุกสกาวท่ามกลางแสงเงินยวงของจันทร์เต็มดวง แต่ว่า เมื่อมองลงไปในเรือสำราญลำนั้น ฉันยังไม่เห็นใบหน้าของตัวเองเช่นกันว่า คนไหนคือร่างที่แท้จริงของฉัน คนที่นุ่งชุดกระโปรงสีขาวเอนตัวจิบบรั่นดีบนลำเรืออันใหญ่โตแต่โคลงเคลง สวมหมวกที่ทัดดอกไม้งดงามตระการตา หรือคนที่นุ่งเสื้อขาดๆ นั่งตกเบ็ดอยู่กาบเรือ มีเพียงปลาผอมตัวเล็กๆ ที่ติดขึ้นมาและมันร้องว่า โปรดปลดปล่อยฉันไปเถิด ปล่อยให้ฉันได้มีโอกาสเติบโตกว่านี้ แต่ทว่า มีแต่เสียงหัวเราะจากคนตกปลาเท่านั้นเอง

แม้บางครั้งฉันอาจสนุกดีกับเกมที่เขาให้ฉันปลอมตัวไปเป็น แต่ผ่านไปแล้วยี่สิบปี ฉันยังหาตัวเองไม่พบอยู่ดี และนั่นมันอาจช้าเกินไปที่จะบอกว่าฉันควรเล่นบทบาทที่อยากเป็นตัวเองเสียที

เธอจำคืนพระจันทร์เต็มดวงได้ไหม เราต่างเต้นรำเฉลิมฉลองใต้เงาพระจันทร์กลมโต เธอจำไม่ได้เหรอ คืนนั้นไง คืนที่เรายังอายุแค่เก้าขวบ มีงานกฐินที่วัดในคืนวันลอยกระทง เราสามคนขึ้นเวทีแสดงฟ้อนรำพร้อมกัน มีคนแต่งตัวแต่งหน้าทาปากให้พวกเรา ตอนนั้นเรายังไว้ผมม้าสั้นจู๋ ใครสักคนถามพวกเราขึ้นมาว่า โตขึ้นเราอยากจะเป็นอะไรกัน เธอจำวงแขนที่เรายกขึ้นมาร่ายรำท่ามกลางพระจันทร์กลมโตนั้นได้ไหม วงแขนของวัยเยาว์อ่อนช้อยงดงาม นิ้วเรียววาดวงไปในแสงจันทร์อาบพื้นผิวโลก แต่ทว่า ตอนนี้นอกจากแขนที่ไม่เท่ากัน ขาที่เดินกะโผลกกะเผลก นิ้วมือของฉัน มันเริ่มบิดงอ เมื่อชูนิ้วขึ้นไปในบานหน้าต่างที่พระจันทร์ส่องแสงลงมา ก็เห็นแต่นิ้วที่คดงอใต้เงาจันทร์ เมื่อพระจันทร์เคลื่อนจากไป นิ้วของฉันก็จะเป็นสีเดียวกันกับความมืด จนไม่เห็นว่ามีความงามหรือไม่งาม หลงเหลืออีกต่อไป

จากนั้นฉันก็ยังคงส่งเสียงหัวเราะได้ต่อไป

 

ส่วนเธอนั้น ชีวิตช่างบรมสุขอย่างแท้จริง ฉันนั่งอยู่หน้าบ้านเธอนานนับชั่วโมง เธอจึงกลับเข้ามา และชวนฉันเข้าไปในบ้าน บ้านของเธอยังมีไม้สักใหญ่โตเป็นส่วนประกอบ ฉันจำได้ พ่อของเธอเป็นช่างไม้ประจำหมู่บ้าน ตอนแม่ของฉันซื้อตู้มาจากพ่อของเธอ แม่บอกว่ามันมีราคาแพงมาก ความเป็นช่างไม้ฝีมือดี ทำให้ทุกวันนี้ตู้ใบนั้นยังดูดีมีราคาและมันได้กลายมาเป็นตู้หนังสือของฉัน มันซุกซ่อนความหมายเดียวที่ฉันปรารถนาอย่างแท้จริงเอาไว้ มีหนังสือมากมายที่ฉันชอบอ่านเรียงรายอยู่ในตู้

“ตู้ฝีมือพ่อของเธอ มันใช้เก็บหนังสือที่ฉันชอบ”

“นี่เธอยังฝันว่าจะเป็นนักเขียนอยู่อีกหรือเปล่า”

พอเธอพูดขึ้น ฉันจึงเพิ่งจะนึกออก ฉันเคยฝันจะเป็นนักเขียนด้วย ฉันรู้สึกตื่นตะลึง ฉันเคยมีความฝันด้วยเหรอนี่ ฉันลืมมันไปแล้ว

เธอเรียนจบได้อาชีพพยาบาล ไม่นานก็ได้แต่งงานกับคุณหมอในโรงพยาบาลเดียวกัน เธอมีลูกชายสองคนเหมือนเดือนเพ็ญ เพียงแต่ว่าลูกของคุณหมอนั้นมีชีวิตแตกต่างจากลูกที่มีพ่อฆ่าตัวตาย

เธอเล่าว่าตอนเด็กๆ เธออยากเป็นนักดนตรี อยากเล่นเปียโน แต่ว่าลูกช่างไม้ก็ไม่ได้มีโอกาสแบบนั้น

“ฉันไม่รู้เลย” ฉันไม่รู้จริงๆ เรื่องความฝันของเธอ

“ตอนเราเรียนจบ มีแค่อาชีพหมอหรือพยาบาลเท่านั้นที่เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ จริงๆ แล้ว เราแทบไม่เคยรู้ความฝันของตัวเอง ไม่มีสิทธิ์จะเดินตามหาความฝันของตัวเอง พอรู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว”

พอเธอพูดแบบนี้ ฉันจึงพยักหน้าเห็นด้วย เธอชวนให้ฉันเข้ามาในบ้านของเธอ นี่เปียโนหลังใหญ่ที่เธออยากได้มาทั้งชีวิต มันวางอยู่ตรงห้องโถงนี้แล้ว มีแสงสว่างอยู่ที่ใต้บันได ก่อนจะผ่านไปยังห้องดนตรี น่าจะเป็นแสงสว่างเหนือกาลเวลาของเราสองคน

“มีห้องดนตรีด้วยนะ”

ลูกชายของเธอกำลังเล่นกีตาร์ เสียงนุ่มกรีดเสียงเบสออกมาเบาๆ

ฝันที่เธอจำแนกแจกจ่ายให้ลูกๆ โชคดีที่เขารักดนตรีเหมือนที่เธอเคยฝัน

บางความจริงก็ไม่เหลือความฝันอะไร ไม่มีสิทธิ์แม้จะฝันถึงชีวิตที่ดีอยู่ในแสงสว่างอันผุดผ่องของจันทร์เพ็ญตลอดเวลา เธอพูดว่าลูกๆ จะไต่บันไดความฝันของตัวเองได้ง่ายดายกว่าความฝันรุ่นเรา คราวนี้ฉันแย้งอยู่ในใจว่าอะไรที่ทำให้ชีวิตตามขั้นบันไดของเธอไม่ง่ายอีกล่ะ ดูบ้านหลังใหญ่โตของเธอสิ ฉันเองมีบ้านหลังใหญ่โตแบบนี้ แต่ไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับฉัน เพราะมันไม่ได้มาจากหยาดเหงื่อของฉันเอง ส่วน เดือนเพ็ญไม่มีบ้านแบบนี้ แต่ ณ เวลานี้ก็ไม่ได้มีความหมายเช่นกัน มีแต่เธอเท่านั้นที่เรียกว่า ประสบความสำเร็จและเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง

เธอจำคำถามของใครคนนั้นได้ไหม คำถามที่ถามว่าโตขึ้นมาเราสามคนจะเป็นอะไร เธอส่ายหัว

“ฉันอยากเป็นนักดนตรี” แล้วเธอก็พูดขึ้นว่า “คิดถึงเดือนเพ็ญนะ”

ฉันพยักหน้า รู้สึกคล้ายว่าเธอพยายามจะลืมความฝันของตัวเองให้เร็วที่สุด ไม่มีใครพบเห็นเดือนเพ็ญและลูกๆ อีก พวกเขาย้ายออกจากหมู่บ้านไปแล้ว เหลือแต่บ้านทรุดโทรมหลังหนึ่งที่ป้ายด้านหน้าเขียนว่า “ขายทรัพย์สินของธนาคาร”

เสียงเปียโนดังมาจากห้องดนตรี ลูกชายของเธอกำลังบรรเลงเพลง Moon River ที่ฉันชอบฟัง บางทีลูกๆ ของพวกเรา ไม่น่าจะได้รับความคิดของเราไปบรรจุในสมองของพวกเขา ฉันคิดแบบนี้ เธอคิดว่าฉันคิดถูกหรือยัง ฉันไม่ได้คิดอะไรเองมานานถึงยี่สิบปีแล้วนะ

แม้เราเลือกเป็นใครคนหนึ่งไม่ได้ ดีที่สุด แย่ที่สุด หรือตรงกลาง แต่ถึงอย่างไร เราก็ต้องเลือกเอง ไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีทางพบค้นพบดวงจันทร์ของตัวเองได้เลย เธอว่าไหม?

เธอไม่ตอบคำถามของฉันเลย เพลง moon river ดังขึ้นอีกครั้ง เราต่างพาตัวเองเข้าไปในโลกพระจันทร์จนลืมที่จะทวงถามคำตอบจากใคร ทุกอย่างล่องลอยและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เหมือนว่า จะมีแสงจรัสแจ่มอันบรมสุขอยู่บนดวงจันทร์ดวงนั้น แต่ว่าคงไม่เหมือนกันหมดทุกคนหรอก

นั่นไง รอยเท้าของเราตอนที่ยังเป็นเด็ก วิ่งไปบนท้องทุ่งที่มีแต่ความฝันท่ามกลางพระจันทร์กลมโต งดงามและไกลแสนไกล •