ความเชื่อ-ความจริง

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ก่อนวันที่คุณทักษิณ ชินวัตร จะได้พักโทษ

ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านจันทร์ส่องหล้า

ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งในหนังสือ “คนอื่นเรียกนายกฯ แต่เราเรียก…พ่อ”

หนังสือเล่มนี้เป็นการเรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ของ “โอ๊ค-เอม-อิ๊ง” ลูกทั้ง 3 คน

ตีพิมพ์เมื่อปี 2552

หลังจากคุณทักษิณต้องออกจากเมืองไทยอีกครั้งในปี 2551

เป็นประวัติศาสตร์ “บอกเล่า” จากคนในครอบครัว

มีหลายแง่มุมที่หลายคนนึกไม่ถึง

เป็นมุมที่ใกล้ชิดที่สุดของ “ลูก” กับ “พ่อ”

มีเรื่องหนึ่งที่ผมเคยอ่านเจอ คือ ภาพตอนคุณทักษิณกลับเมืองไทยเมื่อปี 2551

หลังการรัฐประหารปี 2549

เป็นเรื่องที่ “เอม” เล่าตั้งแต่ตอนที่ “ทักษิณ” เดินออกจากเครื่องบิน

…กราบแผ่นดิน

และกลับมาที่บ้านจันทร์ส่องหล้า

ผมเอาเรื่องนี้มาเขียนในเพจส่วนตัว เพราะน่าจะเข้ากับสถานการณ์ก่อนวันที่คุณทักษิณจะกลับบ้านจันทร์ส่องหล้าอีกครั้ง

เป็นภาพที่หลายคนนึกไม่ถึง

 

…วันแรกที่ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับบ้านจันทร์ส่องหล้า

“พอมาถึงบ้าน คุณพ่อก็วิ่งขึ้นไปบนห้องนอน กระโดดลงเตียงตัวเองแล้วตะโกน

‘โอ๊ย คิดถึงเตียง คิดถึงบ้าน’

พวกเราก็ยืนหัวเราะกัน ตอนนั้นไม่มีใครแล้ว มีแต่คนในครอบครัว

พ่อกระโดดดึ๋งๆ เหมือนเด็กเลย บอกว่า ‘สบายนะเนี่ย ไม่มีเตียงไหนสบายเหมือนอย่างนี้อีกแล้ว’

แล้วก็นอนกลิ้งไปทั้งชุดสูท

พวกเรามองพ่อน่ารักเหมือนเด็กเลยแล้วก็ร้องไห้เพราะมันรู้สึกกินใจมาก

พ่อลุกขึ้นมากอดลูกแล้วพูดว่า ‘ลูก…พ่อขอโทษที่ทำให้ลูกๆ ต้องลำบาก’

พ่อพูดสั้นๆ แต่ทุกคนรู้ว่าที่พ่อพูดขอโทษนั้น หมายถึงอะไร”

(หนังสือ “คนอื่นเรียกนายกฯ แต่เราเรียก…พ่อ” โดย โอ๊ค-เอม-อิ๊ง)

นั่นคือ บรรยากาศที่บ้านจันทร์ส่องหล้าในวันแรก “ทักษิณ ชินวัตร” กลับเมืองไทยหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

เขากลับมาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551

หรือ 1 ปี 7 เดือน ที่ต้องจากเมืองไทยไป

แม้ภาพข้างนอก “ทักษิณ” จะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่เมื่อกลับมาที่บ้าน อยู่กับภรรยาและลูกๆ

เขาก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่คิดถึงบ้านมาก

“บ้าน” ไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ที่คุ้นชิน

แต่ยังรวมถึงบรรยากาศความอบอุ่นในครอบครัว

เพราะ “ทักษิณ” เป็นคนที่รักครอบครัวมาก

แต่ใครจะนึกว่าสิ่งแรกที่เขาทำ คือ วิ่งไปห้องนอนแล้วกระโดดเล่นบนเตียงเหมือนเด็ก

“สูงสุด” แค่ไหนก็คืนสู่ “สามัญ” แบบคนธรรมดา

“ทักษิณ” อยู่เมืองไทยเพียงแค่ 5 เดือน

31 กรกฎาคม เขาก็ต้องจากเมืองไทยไปอีกครั้ง

“ทักษิณ” คงคิดว่าไปครั้งนี้ก็คงไม่นาน

เดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว

เขาคงนึกไม่ถึงว่าการเมืองจะโหดร้ายกว่าที่คิด

“ทักษิณ” ต้องใช้ชีวิตในต่างประเทศยาวนานถึง 15 ปี

กว่าจะได้กลับมาอีกครั้งหลังด้วย “ดีลลับ” หลังการเลือกตั้งปี 2566

“ทักษิณ” โดนกระทำทางการเมืองต้องออกจากเมืองไทยด้วยกระบวนการยุติธรรมแบบ 2 มาตรฐาน

และได้กลับมาเมืองไทยด้วยสิ่งเดียวกัน

วันนี้ “ทักษิณ” จะได้กลับไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้าอีกครั้ง

เขาคงคิดถึงบ้านหลังนี้มาก

ไม่รู้ว่าสิ่งแรกที่เขาทำจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำเมื่อ 15 ปีที่แล้วหรือไม่

วิ่งไปห้องนอน

แล้วกระโดดเล่นบนเตียง…

ภาพจากเฟซบุ๊ก หนุ่มเมืองจันท์

ผมจบข้อเขียนไว้แค่นี้

ต้องการแค่เทียบเคียงภาพในอดีตกับปัจจุบัน

ลืมนึกไปว่าครั้งนี้คุณทักษิณไม่ได้กลับบ้านในสถานะเดียวกับเมื่อปี 2551

คุณทักษิณเป็น “คนป่วย”

ต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลานานถึง 6 เดือน

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า “ผู้ต้องขัง” ที่ได้ออกมารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ จะต้องเป็นคนป่วยที่อาการหนักมาก

คุณทักษิณอยู่ในสถานะนี้ครับ

เป็นข้อมูลจากแพทย์และกรมราชทัณฑ์

ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นทัศนะของแต่ละคน

เมื่อป่วยหนัก คุณทักษิณจะวิ่งไปห้องนอน แล้วกระโดดเล่นบนเตียงคงไม่ได้

ไม่แปลกที่จะมีคนเข้ามาคอมเมนต์เรื่องนี้เยอะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นภาพคุณทักษิณออกจากโรงพยาบาลตำรวจ

เขานั่งรถตู้ส่วนตัวพร้อมกับ “เอม-อิ๊ง”

ใส่เฝือกอ่อนที่แขนและคอ

อย่าลืมว่าคุณทักษิณมีสิทธิที่จะเปิดม่านหน้าต่างรถ หรือปิดม่านก็ได้

ถ้า “ปิดม่าน” ก็แสดงว่าเขาไม่อยากเปิดตัว

แต่ถ้า “เปิดม่าน” ให้ช่างภาพถ่ายรูปได้

แสดงว่าคุณทักษิณต้องการให้คนไทยได้เห็นภาพของเขาตอนออกจากโรงพยาบาล

นอกจากนั้นตอนที่รถเคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาล

เขาใส่หน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้า

แต่ตอนจะเข้าบ้าน

“ทักษิณ” ถอดหน้ากาก ให้เห็นใบหน้าเต็มๆ

ทำหน้าเครียดๆ ไม่ยิ้ม

รายละเอียดเหล่านี้มี “ความหมาย” ทางการเมือง

ในทางการเมือง การประเมินกระแสความรู้สึกของสังคมเป็นเรื่องสำคัญมาก

ถ้าฟังคนรอบข้าง หรือคนที่เชียร์มากเกินไป

จะประเมินสถานการณ์ผิดพลาด

เพราะต้องยอมรับว่าการกลับบ้านครั้งนี้ของคุณทักษิณ มาอย่าง “อภิสิทธิ์ชน” จริงๆ

คนส่วนใหญ่เปรียบเทียบกับนักโทษการเมืองคนอื่นๆ ที่ไม่ได้สิทธิพิเศษแบบนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อากง”

คุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เคยบอกว่าการเมืองนั้น “ความเชื่อ” คือ “ความจริง”

ถ้าคนส่วนใหญ่เชื่อว่าอย่างไร

นั่นคือ “ความจริง” ทางการเมือง

ถามว่าคนส่วนใหญ่เชื่อว่าคุณทักษิณป่วยหนักจนเข้าโรงพยาบาลหรือไม่

หรือป่วยการเมือง

ถ้าทำใจนิ่งๆ แล้วยอมรับความจริง

เขาจะแก้เกมอีกแบบหนึ่ง

เช่น แทนที่จะ “เปิดม่าน” ก็เปลี่ยนเป็น “ปิดม่าน” ดีกว่า

ไม่ต้องให้เห็นอะไรเลย

จะได้ไม่มีประเด็นใหม่เรื่องเฝือกแขน-คอ เกิดขึ้น

เรื่องบางเรื่อง “ไม่เห็น” ดีกว่า “เห็น”

เมื่อเราเปลี่ยน “ความเชื่อ” ของคนไม่ได้

แต่อย่างน้อยก็ควรเล่นให้สมบทบาทกว่านี้

ผมนึกเล่นๆ ว่าไหนๆ ข้อมูลทางการบอกว่าคุณทักษิณป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาลตำรวจ

ก่อนวันกลับบ้าน ควรจะมีภาพรถโรงพยาบาลพระรามเก้าของคุณทักษิณเข้าบ้านสักครั้ง

ในบ้านก็ติดตั้งอุปกรณ์การแพทย์สักนิด

ถ่ายรูปห้องและพยาบาลสักคนลงอินสตาแกรม

แสดงให้เห็นว่าบ้านนี้มีอุปกรณ์การแพทย์เตรียมพร้อมสำหรับคนป่วยหนักแล้ว

ข้อมูลการป่วยที่จะออกข่าวควรจะตรงกัน

ไม่ใช่คนหนึ่งบอก “กระดูกหัก”

อีกคนหนึ่งบอกว่า “เอ็นไหล่ฉีกขาด”

คุณทักษิณควรพักเงียบๆ ที่บ้านสักช่วงหนึ่ง ให้กระแสข่าวเริ่มเบาๆ

รอจนมี “ข่าวใหม่” มากลบข่าวคุณทักษิณก่อน

แล้วค่อยแสดงบทบาททางการเมือง

ตอนนี้ถ้าจะคุยกับใคร จะเจอใครก็นัดเงียบๆ

นั่งรถเข็นตอนเจอผู้คนหน่อยก็ได้

เผื่อให้คนไปเล่าต่อ

ไหนๆ จะ “เชื่อ” ทางนี้แล้ว

ก็ต้องเล่นให้สุดทาง

 

คุณสุทธิชัย หยุ่น เคยถามผมในรายการ “สมมุติว่า”

“คุณทักษิณจะเข้ามามีอำนาจอยู่เบื้องหลังของรัฐบาลหรือไม่”

ผมหัวเราะ ตอบว่าไม่เคยเห็นคุณทักษิณอยู่เบื้องหลังเลย

“ผมเห็นอยู่เบื้องหน้าตลอด” •

 

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์