ร่วมมือร่วมใจรัฐบาลประชาชน | ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

ผู้นำประเทศไม่ว่ารายไหนๆ หลังเข้ามาดำรงตำแหน่ง ส่วนใหญ่ต้องมีพิธี “รันอิน” จูนโมเมนตัม ปรับสภาพเครื่องรถยนต์ใหม่ก่อนใช้งานตามปกติ เพื่อให้รถที่ซื้อมาใหม่ สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดน้ำมัน และเพื่อรักษาเครื่องยนต์ให้มีอายุใช้งานยาวนาน

ซึ่งหมายความว่า ใครที่ถอยรถยนต์มาใหม่ ป้ายแดงแปร๊ดขับออกมาจากโชว์รูม กลิ่นสียังหมาดๆ ส่วนใหญ่ตามไฟต์บังคับจะต้อง “รันอิน” ตามใบสั่ง ช่วงระยะทาง 1,000 กิโลเมตรแรก เมื่อทุกอย่างเข้าที่ จึงขับต่อได้แบบฉลุย

แต่สำหรับ “นายเศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แห่งประเทศไทย หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งท่านผู้นำประเทศ ไม่ต้องรันอิน แค่เผาหัวนิดๆ หน่อยๆ “เครื่องฟิต สตาร์ตติดง่าย” ยิ่งกว่าใช้น้ำมันยี่ห้อไดเกียว ยังไงยังงั้น

รับตำแหน่งปุ๊บ ออกสัญจรไพร เดินสายต่างประเทศ เปิดบริสุทธิ์ด้วยการนำคณะไปร่วมประชุมยูเอ็นจีเอ หรือสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กระทบไหล่ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีเมืองลุงแซม โดยพลันในช่วงกลางเดือนนั่นเลย

กลับมา ไปเยือนอีกหลายหัวเมือง อาทิ บินข้ามเขตไปกรุงพนมเปญ พบ “นายกฯ ฮุน มาเนต” มือใหม่หัดขับด้วยกัน ต่อด้วยมาเลเซีย ข้ามแดนไปสิงคโปร์ เลาะไปบรูไน ตีกรรเชียงไปเกาะฮ่องกง

พบปะสนทนา-วิสาสะ กับ “วลาดิมีร์ ปูติน” ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย อย่างเป็นกันเอง ต่อด้วยบินไปเยือนญี่ปุ่น กระชับมิตรไมตรีกับ “ฟุมิโอะ คิชิดะ” นายกรัฐมนตรีแดนอาทิตย์อุทัย

และช่วงกลางเดือนตุลาคม “นายกฯ เศรษฐา” เดินทางไปร่วมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค หารือทวิภาคีร่วมกับประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ยกระดับความร่วมมือในทุกมิติ

ล่าสุด เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เดินทางไปสานสัมพันธ์ทวิภาคี ในฐานะแขกรับเชิญเกียรติยศในโอกาสวันเอกราชศรีลังกา จับมือเชื่อมสัมพันธ์กับ “รานิล วิกรมสิงเห” ประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา

จึงกล่าวได้ว่า แค่สี่ซ้าห้าเดือนเท่านั้นเอง “นายกฯ นิด” ชีพจรลงเท้า ทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ กระทบไหล่พี่เบิ้ม 3 มหาอำนาจ เช็กแฮนด์ทั้ง “ไบเดน-สี จิ้นผิง-ปูติน” ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีผู้นำประเทศไทยคนไหน “เครื่องฟิต สตาร์ตติดง่าย” ได้เยี่ยงนี้มาก่อน และนำผลสำเร็จอันประโยชน์แก่ประเทศชาติได้มากมายก่ายกอง ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

 

“ผู้ชายแคล่วคล่อง ผู้หญิงว่องไว เป็นปัจจัยแห่งความก้าวหน้า”

แป๊บเดียว เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกฯ มือใหม่หัดขับ อ่อนประสบการณ์ แต่สัญชาตญาณยอดเยี่ยม สามารถสร้างสายสัมพันธ์กับทุกเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกับผู้นำ 4 เหล่าทัพ “บก-เรือ-อากาศ-ตำรวจ” แรกๆ ดูไม่ค่อยอภิรมย์ใจกันสักเท่าไหร่ ตอนนี้ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย “3 เหล่า” อยากให้ข้ามห้วยมานั่งรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสียด้วยซ้ำ

กับคนการเมืองไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ ดูสีสันจากงานปาร์ตี้ “ร่วมมือร่วมใจรัฐบาลประชาชน” ที่พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพที่โรงแรมอิสติน เมื่อวันวาน มี ส.ส.ทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาล จำนวน 7-8 พรรค มากันครบครัน ล้นห้องจัดเลี้ยงมากถึง 500 คน แสดงศักยภาพ โชว์ความเป็นปึกแผ่น รับประกันซ่อมฟรีว่า รถบัสยางไม่แตกกลางทางแน่นอน

เหนือสิ่งอื่นใด โชคดีอีกชั้น เมื่อโฟกัสไปถึงบุคคลที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้ชิงเก้าอี้ผู้นำในสถานการณ์นี้ ไล่ดูรายชื่อ นับหนึ่งจาก “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งเสนอชื่อเข้าสู่ทำเนียบนาม บัญชีชื่อนายกรัฐมนตรี 3 คน ยังมี “นายชัยเกษม นิติสิริ” และ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร”

ตอนนี้ลืมไปได้เลย เพราะ “พี่เล็ก ชัยเกษม” ป่วยไม่สบาย เกิดสโตรกตอนหาเสียงเลือกตั้ง ไม่พร้อมจะเป็นผู้นำประเทศ ขณะที่ “อุ๊งอิ๊ง” แม้จะมีสถานะเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทายาททางการเมือง รุ่น 3 ที่ได้รับการวางตัว แต่ด้วยปัจจัยหลายประการ ยังไม่พร้อม ไม่อยากเป็นมะม่วงบ่มแก๊ส เร่งให้สุกเร็ว รออีกสามสี่ปีเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ดีกว่า

ตามไปดูบัญชีชื่อพรรคอันดับ 2 ที่เสียงเกินร้อยละ 5 ตามรัฐธรรมนูญกำหนดคือ “ภูมิใจไทย” ด้วยจำนวน 71 ที่นั่งที่วางตัวให้ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่เพียงผู้เดียว สถานการณ์ตอนนี้ ไม่น่าจะกล้าเสี่ยงเหมือนกัน เพราะติดช็อตสำคัญ กับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” อดีตเลขาธิการพรรค ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี ฐานคงไว้ซึ่งหุ้น ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น และมีบรรดานักร้องยื่นเล่นงาน ถึงขั้นยุบพรรค “เสี่ยหนู” เลยตีกรรเชียงให้ รอดูท่าทีก่อนดีกว่า

ลำดับถัดไปคือ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีฐานที่มั่นตามเกณฑ์ที่ 40 ที่นั่ง และดูเหมือนว่า “ลุงป้อม” แกอยากจะนั่งเก้าอี้หมายเลข 1 ตึกไทยคู่ฟ้าดูสักตั้ง แม้อายุอานามจะเลยธงไปแล้ว แต่ยังไม่ยอมลงจากหลังเสือ ตีกรรเชียงเลียบค่าย รอ “ส้มหล่น”

พรรคร่วมรัฐบาลสุดท้าย ที่เข้าเงื่อนไขอีกค่ายคือ “รวมไทยสร้างชาติ” ซึ่งเสนอแคนดิเดตนายรัฐมนตรีไว้ 2 คน หนึ่งคือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แต่ “บิ๊กตู่” ออกนอกเส้นทางการเมืองไปแล้ว เป็นองคมนตรี เหลือเพียง “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ขณะนี้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

ในบรรดาผู้มีชื่อจากพรรคร่วมด้วยกันทั้งหมด “บิ๊กตุ๋ย” ดูเหมือนภาษี ราศีดี ครบเครื่องกว่าใครเพื่อน แต่บังเอิญว่า ต้นสังกัดคือ รวมไทยสร้างชาติ มีฐานเสียงน้อยที่สุด เพียง 36 เสียง เกินร้อยละ 5 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพียงเล็กน้อย พรรคเพื่อไทย-ภูมิใจไทย-พลังประชารัฐ คงไม่ยอมให้ปาดหน้าง่ายๆ

บุญเลยหล่นทับคนชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” อยู่คนเดียว

ประเด็นสำคัญคือ คนโตชั้น 14 เมื่อกลับบ้านแล้ว จะอยู่เลี้ยงหลานหรือไม่ ถ้าซุกซนละก็ ตัวใครตัวมัน (พี่น้อง)