กางเกงช้าง จีนเพาเวอร์ บ่อนเซาะ ‘ไท่กั๋ว’ ซอฟต์เพาเวอร์

เอาจริงๆ ก็น่าเห็นใจไม่น้อยกับรัฐบาลเพื่อไทยในยุคที่ต้องรับมรดกการเมืองและเศรษฐกิจ ในโครงสร้างที่ถอยหลังลงคลอง/แช่แข็งการปรับตัว มาเกือบ 1 ทศวรรษ

เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจแบบครึ่งๆ กลางๆ ภายใต้ทรัพยากรอันร่อยหรอที่รัฐบาลเดิมทิ้งเอาไว้ โดยมีภารกิจใหญ่คือต้องกอบกู้ศรัทธาคืนมาจากคนเคยรัก ที่เหือดหายไปช่วงชุลมุนพลิกขั้วตั้งรัฐบาล

ไปดูความพร้อม เรียกได้ว่าต่างกันลิบ ถ้าเทียบกับยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือแม้แต่ ทักษิณ ชินวัตร ที่มารับตำแหน่งไม่กี่ปีหลังวิกฤตปี 2540 และวิกฤตการใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ

ประเทศไทยวันนี้ หนี้สินบานเบอะ รายได้ร่อยหรอ คนในประเทศคอปริ่มน้ำ จำนวนไม่น้อยจมน้ำไปแล้ว ภายใต้ทุนนิยมโลกที่ใกล้จะกลียุคเข้าไปทุกที

นี่จึงเป็นที่มาว่ารัฐบาลเพื่อไทยยุคนี้ สุดแสนจะเหนื่อย

แน่นอน รัฐบาลเพื่อไทย เข้าใจปัญหานี้ดี จึงพยายามหาวิธีนำเงินเข้าประเทศ พยายามขายฝัน ปลุกปั้นแคมเปญใหม่ๆ เป็นนโยบายเรือธงอย่างซอฟต์เพาเวอร์

แต่ผ่านมาเกินครึ่งปีวันนี้ก็ยังอยู่ในภาวะกระท่อนกระแท่น ตัวอย่างล่าสุดคือดราม่ากางเกงช้าง

เรื่องต้องไปดูที่มาที่ไปกันนิด

 

หลังยุคโควิดระบาด กระแสการท่องเที่ยวประเทศไทยก็กลับมาบูม และไอเท็มสำคัญอันหนึ่งที่ฮอตฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งตะวันตกและเอเชีย ก็คือ “กางเกงช้าง”

กางเกงช้าง ไม่ใช่เพิ่งมาดัง แต่ดังมานานแล้ว ใครที่ไถติ๊กต็อกตลอดปี 2565-2566 ก็เห็น

คนดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นนักร้อง ดารา นักกีฬา ก็พากันหยิบใส่

ที่จริงวางขายมาเป็นสิบปีแล้ว เริ่มจาก เพราะวัดและโบราณสถานของไทย จะติดป้ายห้ามนุ่งกางเกงขาสั้น ชาวต่างชาติมาเที่ยววัดสำคัญในไทย ก็ต้องซื้อกางเกงช้างใส่เพื่อให้เป็นไปตามกฎการเข้าวัดโดยปริยาย

จุดเด่นของมันอยู่ที่สวมใส่ง่าย เบาสบาย เหมาะกับอากาศเมืองไทย และราคาถูกมาก

กางเกงช้างกลายเป็นกระแสโด่งดัง ภูมิภาคต่างๆ ก็คึกคัก ทำกางเกงท้องถิ่นขึ้นมาสู้ ล่าสุด เห็นมีกางเกงแมวก็มากับเขาด้วย นั่นคือการตลาดที่น่าสนใจ

กลางเดือนมกราคม ปี 2567 ที่ผ่านมา ททท.ก็ไอเดียบรรเจิด ถึงกับจัดเกมซอฟต์เพาเวอร์ แข่งสวมกางเกงช้างมากสุด ชิงเงินรางวัลหลักหมื่นกันเลยทีเดียว

 

ระหว่างที่กำลังฟินกับข่าวกางเกงช้างขายดี ซอฟต์เพาเวอร์ประเทศไทยค่อยกระดืบๆ

จู่ๆ เรื่องน่าตกใจก็ปรากฏขึ้น มีรายงานข่าวว่า “กางเกงช้าง” ที่กำลังเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคชาวไทย ใส่สบาย ราคาถูก ลวดลายหลากหลาย พบว่าจำนวนมากไม่ได้ผลิตในประเทศไทย แต่ถูกนำเข้าสำเร็จรูปมาจากต่างประเทศ

อ้าว… ที่แห่ๆ ซื้อกันคือการทำกำไรให้ “เมดอินไชน่า” หรือนี่?

หลังเป็นกระแสตั้งคำถาม นักข่าวก็ลงพื้นที่สำรวจตลาดกางเกงช้างในประเทศไทย และพบว่ามีกางเกงช้างที่ “เมดอินไชน่า” ถูกนำเข้ามาขายในราคาถูกมากในประเทศไทยจริง โดยราคาถูกกว่ากางเกงช้างไทยถึงครึ่งหนึ่ง ได้รับความนิยมจากพ่อค้าแม่ค้าที่ซื้อไปขายต่อด้วย

อึ้งกันทั้งประเทศ… ใครจะคิดว่าทุนนิยมจีนจะทำงานข้ามพรมแดนได้ว่องไวขนาดนี้ นี่ขนาดเป็นไอเท็มพิเศษของไทยแท้ๆ

อึ้งหนักไปอีกเมื่อเพจ “ลุยจีน” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1.4 ล้านคน ตั้งคำถามได้ดีว่า “กางเกงช้างจีนขายในเว็บจีนเริ่ม 30 บาท คนไทยจะเอาอะไรไปสู้เค้า?” พร้อมเปิดหลักฐานหน้าเว็บขายกางเกงช้างผลิตในจีน ที่ขายส่งกันตัวละ 30 บาทจริงๆ

เรื่องนี้ผู้ค้าเสื้อผ้าไทย ช่วยไขปริศนาว่า เนื่องจากจีนมีโรงงานจำนวนมาก สามารถผลิตได้ในเวลาสั้นๆ ในจำนวนมากเพียงพอ ค่าแรงต่ำกว่าไทย ทำให้ขายได้ในราคาถูก

“สินค้าไทยอื่นๆ หากได้รับความนิยมหรือมีกระแสดังขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ ก็มักไปจ้างนอกประเทศโดยเฉพาะจีนเป็นผู้ผลิต หรือตรุษจีนปีนี้ เสื้อผ้าหรือสินค้าที่วางขายกันอยู่ทั่วไป ส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าผลิตในจีนและข้ามแดนมาทางประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องแบบนี้เป็นมานานแล้ว” นายณฐวัจน์ พุทธศิริวัฒน์ กรรมการสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และเจ้าของร้านจำหน่ายเสื้อผ้าในย่านประตูน้ำ เปิดเผยกับ “มติชน”

 

แต่เรื่องนี้รัฐบาลก็ตอบสนองไว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มองว่าการที่กางเกงช้างจีนเข้ามาบุกตลาดในไทยถือเป็นการฉกฉวยโอกาสทางการค้า ซึ่งไทยต้องถือเอาเป็นบทเรียน ต้องทำงานให้รวดเร็ว และปกป้องผลประโยชน์ของชาติให้ได้

ต่อด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมสั่งให้ดำเนินการจดลิขสิทธิ์กางเกงลายช้าง-แมวไทย และสั่งกรมศุลกากรใช้กฎหมายระงับการนำเข้ามาทุกด่าน

แม้จะยังไม่ครอบคลุม รอบด้าน แต่ก็นับเป็นจุดยืนเริ่มต้นที่ดีของผู้นำประเทศ ที่จะต่อรองหรือปกป้องผลประโยชน์ของประเทศกับทุนนิยมจีน ซึ่งวันนี้ขยายตัวแข่งขันหากำไรในทุกระดับเศรษฐกิจ

โดยเฉพาะวันนี้ทุนนิยมจีนพัฒนาไปไกล ในปี 2566 ไทยมีการนำเข้าสินค้าหมวดยานยนต์จากจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่โตกว่า 500% ปี 2566 ยังเป็นปีที่ไทยขาดดุลการค้ากับจีนเป็นประวัติการณ์

หากย้อนไปดูสถิติ ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยจีนถือเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ของการนำเข้ารวม

ดังนั้น นโยบายซอฟต์เพาเวอร์ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยจึงจำเป็น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรู้เท่าทันทางการค้า ปกป้องผลประโยชน์ทางการตลาด อุดช่องว่างทางโครงสร้างเศรษฐกิจการค้าไทยกับจีนให้ได้

 

นั่นคือบทเรียนที่ได้จาก “กางเกงช้าง”

ไอเดียต้องดี อัตลักษณ์ก็ต้องมี เพื่อเพิ่มมูลค่าในการแข่งขันให้ได้มากที่สุดด้วย

อย่าคิดแค่ว่ายังไงคุณภาพสินค้าจีนก็สู้ผลิตที่ไทยไม่ได้ มีไอเดียดีก็พอแล้ว ใครก็เอาวัฒนธรรมซอฟต์เพาเวอร์เราไปไม่ได้ โดยไม่สนใจโหมดของการผลิตและการกระจายสินค้า ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการจ้างแรงงาน

แต่วันนี้ ต้องยอมรับว่าผลการดำเนินนโยบายซอฟต์เพาเวอร์ ยังไม่เห็นรูปเห็นร่างเท่าที่ควร ซ้ำยังมีข่าวไม่ดี ทีมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านแฟชั่น พากันลาออกยกทีม

แม้ไม่มีการยืนยันแน่ชัด แต่ข่าวที่ว่าสองสัปดาห์ก่อน น.ส.กมลนาถ องค์วรรณดี ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านแฟชั่น โพสต์ข้อความทิ้งบอมบ์ ไอเดียประกวดซอฟต์เพาเวอร์ จัดงานใส่กางเกงช้างเยอะที่สุดใน 1 นาที ก็มีการตีความกันว่าอาจจะเป็นที่มาของการลาออก

“…คณะอนุกรรมการสาขาแฟชั่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับไอเดียนี้นะคะ อยากเห็นหน้าคนอนุมัติงบฯ มาก ห้ามก็ไม่ได้ ปรึกษาก็ไม่ปรึกษา คิดกันเองเห็นดีเห็นงามกันเอง ทำแล้วได้อะไรคะ ทีมเอกชนอาสาทำงานกันหนักมากเพื่อวางกรอบคิดการพัฒนาอุตสาหกรรม ในขณะที่หน่วยงานทำอีเวนต์จุดพลุแล้วไงต่อ สร้าง value อะไรขึ้นมา ฝากหน่วยงานทุกหน่วยที่อยากเอาใจนาย ก่อนจะทำอะไรปรึกษาหารือกรรมการยุทธศาสตร์ หรือคิดให้รอบด้านด้วยค่ะ เงินภาษีประชาชน…”

นั่นคือคำแรงๆ ที่ประธานอนุกรรมการซอฟต์เพาเวอร์ด้านแฟชั่น ทิ้งไว้ก่อนลาออก

 

จะเห็นได้ว่าแค่เรื่องกางเกงช้างเรื่องเดียว ก็สร้างดราม่าปวดหัวให้มากขนาดนี้ ไม่ต้องคิดเลยว่า นโยบายซอฟต์เพาเวอร์จากนี้ไป จะเป็นอย่างไร

หากเรื่องราวดังกล่าวจะมีค่าอยู่บ้าง ก็จำเป็นต้องรีบถอดบทเรียน เพื่อให้การดำเนินนโยบายซอฟต์เพาเวอร์ถูกทิศ ทุกทาง ใช้งบประมาณและทรัพยากรประเทศอย่างคุ้มค่าที่สุด พัฒนาภาพรวม ศักยภาพระบบเศรษฐกิจให้มีช่องโหว่ในการแข่งขันกับระบบทุนนิยมโลกให้น้อยที่สุด

เพื่อเป้าหมายขั้นต่ำที่สุด อย่างน้อยคือ ต้องขาดดุลเมดอินไชน่าให้เบากว่านี้หน่อย

อย่าปฏิเสธกันเลยว่าวันนี้ทุนนิยมจีน ทั้งมาแบบทุนสีขาว สีเทา ไปกระทั่งสีดำ ทั้งบนดินทั้งใต้ดิน ล้วนเข้ามาดูดกลืน แทรกซึม ก่อร่างสร้างมูลค่าเพิ่มจากประเทศไทยไปแล้วมากมายมหาศาล ตัวเลขดุลการค้าตลอดทศวรรษที่ผ่านมาก็ฟ้องอยู่

หน้าที่ของรัฐไทยคือต้องรู้เท่าทัน ต้องปกป้องทุนนิยมไทยมากกว่านี้ สร้างการแข่งขัน ปลุกพลังการบริโภค เมดอินไทยแลนด์ให้ได้ โดยเอาเรื่อง “กางเกงช้าง” เป็นบทเรียน

 

ทิ้งท้ายด้วย ความเห็นของ ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข เรื่องซอฟต์เพาเวอร์ที่กล่าวในงานเสวนาโต๊ะกลม “Matichon Weekly Roundtable : Co Thinking Space คลับ เคลื่อน คิด”

นักรัฐศาสตร์ท่านนี้ให้ข้อคิดว่า ซอฟต์เพาเวอร์ จะเกิดต่อเมื่อประเทศมีศักดิ์ศรี มีเกียรติภูมิในเวทีระหว่างประเทศ ต่อเมื่อเขามองแล้วว่าเรามีสิ่งที่ชวนพิศ-ชวนมอง จะเริ่มเรื่อง ซอฟต์เพาเวอร์ได้ อันดับแรก ต้องพาประเทศไทยกลับสู่เวทีโลก

ศ.ดร.สุรชาติยกตัวอย่างว่า การที่สหรัฐกับจีนเลือกไทยเป็นพื้นที่พูดคุยของบุคคลระดับสูง เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา นั่นแหละคือซอฟต์เพาเวอร์ที่ไม่ต้องลงทุน ดังนั้น ไทยต้องปรับความคิด

ต้องเลิกชุดความคิดประเภทไทย-จีนพี่น้องกัน ต้องจัดความสัมพันธ์และท่าทีของไทย วางตำแหน่งให้ดีบนกระดานหมากรุกโลก นั่นคือจุดเริ่มต้นส่วนสำคัญของซอฟต์เพาเวอร์