ตีบตัน อับจน เบื้องหน้า การเปลี่ยนแปลง ทองเบิ้ม บ้านด่าน

บทความพิเศษ

 

ตีบตัน อับจน

เบื้องหน้า การเปลี่ยนแปลง

ทองเบิ้ม บ้านด่าน

 

แม้พื้นฐานของ สุจิตต์ วงษ์เทศ จะเป็น “เด็กวัด” แม้การเคี่ยวกรำของ สุจิตต์ วงษ์เทศ จะผูกติดอยู่กับประวัติศาสตร์อันมีพื้นฐานในทาง “โบราณคดี”

แม้องค์ประกอบหนึ่งของ สุจิตต์ วงษ์เทศ จะเป็น “กวี” และ “นักเขียน”

กระนั้น ก็ต้องยอมรับว่าความเป็นเด็กวัด ความเป็นนักประวัติศาสตร์ ความเป็นนักโบราณคดี ความเป็นกวี ความเป็นนักเขียน

สุจิตต์ วงษ์เทศ มีความเป็น “นักหนังสือพิมพ์” ดำรงอยู่อย่างหนาแน่น

ไม่ว่าเมื่ออ่าน “เมด อิน U.S.A.” ไม่ว่าเมื่ออ่าน “โง่ เง่า เต่า ตุ่น” เราอาจมองเห็นเยื่อใยบางๆ แห่ง “ขุนเดช” มองเห็นการดำรงอยู่ของ “หนุ่มหน่ายคัมภีร์” สัมผัสและรับรู้ในความดุเดือดแห่ง “กูเป็นนิสิตนักศึกษา”

ทั้งหมดล้วนเป็น “การปะทะ” ภายในความคิดของ สุจิตต์ วงษ์เทศ

ปรากฏขึ้นเป็นอาการครุ่นคิด ปรากฏขึ้นเป็นคำถาม ปรากฏขึ้นเป็นคำรามแห่งความหงุดหงิด สงสัยในคนอื่น สงสัยในตนเอง

ไม่ว่า เชิง แก่นแก้ว ไม่ว่า “ถั่น” ไม่ว่า “มุกหอม” ไม่ว่านิกสัน ไม่ว่าเมาเซตุง ไม่ว่าโฮจิมินห์ก็ยากที่จะให้คำตอบได้อย่างเป็นที่พอใจ กลายเป็นปะทุแห่ง “อารมณ์” ตกตะกอนนอนก้นเป็นผลึกแห่ง “ความคิด”

จำเป็นต้องอ่าน

 

ความอับจน หนทาง

ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ

ปัญหาค้างใจมีขึ้นมาอีกเปลาะหนึ่งยังไม่มีใครที่จะตอบได้ ตัวกูเองก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้

คนที่ตอบได้ก็ยังไม่ตอบ

คิดๆ ไปแล้ววาสนากูช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน เจริญเติบโตมาจนปูนนี้แล้วก็หาได้มีความรู้สึกนึกคิดทัดหน้าเทียมตาใครอื่นเขาไม่

ยากดีมีจนเท่าไรจะไม่ว่า แต่อับปัญญาไร้ความคิดนี่ซีมันน่าเจ็บใจ

ภาพของมหามิตรอเมริกาที่ดีแสนดีอยู่ในหัวใจมาตั้งแต่เกิดก็กลับจะมาเลือนๆ เสียเมื่อประธานาธิบดีนิกสันจะไปจีนแดง ครั้นแล้วยังมาโดนความรู้สึกเรื่องเวียดนามบีบหัวใจเป็นซ้ำสอง

นี่ความรู้ ความคิดกูแต่แรกเริ่มเดิมทีมิได้ถูกต้องเลยแม้สักนิดเดียว

กูครุ่นคิดอย่างอิดหนาระอาใจเหมือนจะท่องบทกวีพระนิพนธ์เจ้าฟ้ากุ้งไว้กระนั้นว่า-เพรางายวายเสพรส แสนกำสรดอดโอชา อิ่มทุกข์อิ่มชลนา อิ่มโศกาหน้านองชล-

นับวันนับคืนนับตะวันที่รอนแรมอยู่กลางฟ้าเมืองนี้ไปเป็นประจำไม่มีเทพยดาคนไหนมาเป็นที่ปรึกษาได้ ครั้นจะรอนแรมซักถามความจริงนานาประการจากคนรู้จักที่นี่เขาก็ภาระอันเรียนบ้างทำงานบ้างทั้งนั้น

ที่หยุดพักซัมเมอร์ก็มีอันทำธุระอย่างอื่น

 

ถวิลหา เอ็ดการ์ สโนว์

ตะกอน ทางความคิด

นับแต่ปักกิ่ง “นครต้องห้าม” เปิดประตูให้นักปิงปองอเมริกันเข้าไปทดสอบฝีมือกันตั้งแต่เดือนเมษายน 2513 นั้น “นิวยอร์ก ไทมส์” เล่นข่าวจีนแดงเกือบจะทุกวัน

ครั้นพอประธานาธิบดีนิกสันประกาศจะเดินทางไปปักกิ่งเข้าไปอีก

เรื่องราวของจีนแดงจะต้องมีประดับหน้า “นิวยอร์ก ไทมส์” เป็นประจำ ผู้สื่อข่าวของ “นิวยอร์ก ไทมส์” เปลี่ยนหน้ากันเขียนรายงานข่าวตลอดเวลา แสดงให้เห็นการทำงานของนักหนังสือพิมพ์อเมริกันว่าเอาเป็นเอาตายเพียงใด

แต่ เอ็ดการ์ สโนว์ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์อเมริกันคนเดียวที่เป็นสหายสนิทของเมาเซตุงคนนั้นกลับเงียบไป หนังสือของ เอ็ดการ์ สโนว์ ยังคงขายดีเป็นปกติ และนับจะทวีสถิติการจำหน่ายมากขึ้นเมื่อเรื่องจีนแดงปะทุขึ้นเช่นนี้

แม้จะอาศัยอ่านรายงานข่าวของ “นิวยอร์ก ไทมส์” ได้บ้าง แต่กูก็ยังไม่สามารถเข้าใจอะไรได้ดีไปกว่าเดิม

นอกจากนั้นยังเพิ่มความสนเท่ห์มากขึ้น

เป็นความสนเท่ห์ในลักษณาการเดียวกันกับ “ตะกั่ว” นั่นก็คือ ลักษณาการที่ยังฟื้นจากอาการสลบทางวิญญาณเพราะนึกไม่ถึงว่าอเมริกาจะเป็นอย่างนี้ได้ ฉะนั้นจึงคิดว่าน่าจะมีคนวิตกวิจารณ์ในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย

 

ยิ่งเมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือ “จีนแดง” จะเข้าไปนั่งในฐานะสมาชิกถาวรแห่งสหประชาชาติแทน “ไต้หวัน” ก็ยิ่งบังเกิดความว้าวุ่น

ว้าวุ่นและปั่นป่วนในทางความคิด

ไม่ว่า สุจิตต์ วงษ์เทศ ไม่ว่า “ตะกั่ว” ความว้าวุ่นและปั่นป่วนในทางความคิดจึงอยู่ในระนาบเดียวกัน

นั่นก็คือ

 

เมื่อ “ตะกั่ว” เจ็บปวด

สุจิตต์ วงษ์เทศ รวดร้าว

ยังเสียใจไม่หายว่าไม่มีโอกาสรู้อะไรที่ควรจะรู้ ความจริงผมเป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตย และผมไม่คิดว่าประชาธิปไตยนี้เป็นของตะวันตกหรือตะวันออก

แต่คิดว่าประชาธิปไตย คือ ระบอบการปกครองของมนุษยชาติที่เป็นสากล

แต่แน่นอน ผมไม่นิยมเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์ แต่ที่ผมเคียดแค้นอยู่ทุกวันนี้ก็คือ เราถูกปิดหูปิดตาจากโลกภายนอกที่แท้จริงเสียทั้งสิ้น

แม้เราจะไม่ชอบคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าจะเป็นแบบรัสเซีย จีนแดง หรือคิวบา แต่เราจะปฏิเสธได้อย่างไรว่า ในโลกนี้ไม่มีรัสเซีย ไม่มีจีนแดง และไม่มีคิวบา ก็ในเมื่อเราปฏิเสธไม่ได้แล้วทำไมเราจะต้องปิดหูปิดตา

เมื่อแรกที่มาถึงอเมริกาและเริ่มเข้าเรียนผมโง่ไปหมดไม่ว่าจะเรื่องอะไร

เพราะเราไม่มีเสรีภาพที่จะศึกษาหาความรู้ในเรื่องราวของมนุษย์ในมุมโลกต่างๆ ข้อมูลที่เราได้รับ คือ ข้อมูลที่กรองแล้วจากใครก็ตาม ถ้าหากกรองอย่างยุติธรรมนั้นผมไม่ว่า

แต่นี่กรองอย่างไม่ยุติธรรม ภาพพจน์ที่เราได้จึงผิด ความรู้ที่เราได้จึงไม่ถูก และเมื่อมาพูดมาคุยกับคนอื่นชาติอื่นเข้า เราก็ “ไอ้งั่ง” ธรรมดานี่เอง

แต่เรื่องโง่เรื่องฉลาดไม่สำคัญเท่ากับว่าเราถูกพรากไว้ด้วยความอยุติธรรม

ถ้าหากว่าคอมมิวนิสต์เป็นศัตรูของเราจริง เราก็เป็นคู่ต่อสู้ที่เลวที่สุดของคอมมิวนิสต์

เพราะไม่รู้จักคอมมิวนิสต์

 

บทรำพึง แห่งรำพึง

จากไอ้งั่ง คนหูเบา

อเมริกาจะเป็นยังไง หรือจีนแดงจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ เถอะ มันเป็นสิทธิของเขาที่จะคิด ที่จะทำ

ข้อสำคัญมันอยู่ที่เรา

เราทำอะไรให้แก่ประชาชน ประชาชนคนธรรมดาๆ อย่างคุณๆ ผมๆ มีสิทธิมีเสียงที่จะเลือกทางการเมือง มีสิทธิที่จะสร้างปัญหาและแก้ปัญหาเองหรือเปล่า เหมือนอย่างที่คุณทองเบิ้มพูดว่า ปัญหาที่มีในบ้านเมืองทุกวันนี้ดูแล้วมันไม่ใช่ปัญหาของเรา เพราะเราไม่ได้สร้างมันขึ้นมา

ใครเป็นคนสร้างก็ไม่รู้ แล้วเราจะเป็นคนแก้ได้อย่างไร

ครั้นวกกลับเข้ามาเรื่องการเมืองระหว่างประเทศก็เห็นอีกว่าเราไม่รู้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามเราเป็นอย่างไร

เพราะเราถูกห้าม เราถูกปิดหูปิดตา ข่าวสารที่เราได้ล้วนแล้วแต่เป็นข่าวสารของฝ่ายโลกเสรีสร้างขึ้น คุณก็รู้อยู่ว่าในสงครามแย่งประชาชนอย่างทุกวันนี้มันโกหกตอแหลกันขนาดไหน

ผลที่สุดเราก็คือ “ไอ้งั่ง” คนหนึ่ง หรือ “ไอ้คนหูเบา” ที่ฟังความข้างเดียว

 

เบื้องหน้า การเปลี่ยนแปลง

ในหมู่คน โง่ เง่า เต่า ตุ่น

ไม่ว่าจะมองไปยัง เชิง แก่นแก้ว ไม่ว่าจะมองไปยัง “ตะกั่ว” ไม่ว่าจะมองไปยัง ทองเบิ้ม บ้านด่าน

ล้วนร่วมอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน

แม้คนหนึ่งจะเป็นนักประวัติศาสตร์ แม้คนหนึ่งจะเป็นนักกฎหมาย แม้คนหนึ่งจะเป็นนักหนังสือพิมพ์

ต่างยอมรับในความไม่รู้ ณ เบื้องหน้าความเปลี่ยนแปลง