‘โอร่า กู๊ดแคท’ ผลิตในประเทศ เนี้ยบขึ้น-เพิ่มลูกเล่น-ออปชั่นเจ๋ง

สันติ จิรพรพนิต

ในที่สุดคนไทยมีโอกาสใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศเสียที

กับ “โอร่า กู๊ดแคท” (ORA Good Cat) รุ่นผลิตในประเทศ

ที่ถือว่าเป็นรุ่นแรกของกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า

หลังจากมีขายแต่รถนำเข้า ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน

ไม่ใช่ว่ารถจากจีนไม่ดี มาตรฐานถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งขายได้ทั่ว

แต่ต้องยอมรับว่าฝีมือของช่างไทยในโรงงานผลิตรถยนต์ ขึ้นชื่อติดอันดับ หลายค่ายใช้เป็นฐานผลิตส่งขายทั่วโลก

อีกทั้งมาตรฐานโรงงานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) หรือ GWM ไม่ธรรมดา เพราะรับช่วงต่อมาจากเจนเนอรัล มอเตอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายเชฟโรเลต

รวมถึงใช้อะไหล่และชิ้นส่วนจำนวนไม่น้อยที่ผลิตในประเทศ

ข้อดีไม่พ้นราคาต่ำลงทั้งตัวรถและอะไหล่ หรือชิ้นส่วนต่างๆ กรณีซ่อมบำรุง

ทั้งไม่ต้องรออะไหล่นำเข้าเป็นเวลานาน อย่างที่เจ้าของรถหลายท่านบ่นกันเป็นประจำ

 

โอร่า กู๊ดแคท ถือเป็นหนึ่งในเก๋งรถธงของ GWM ในประเทศไทย

ส่วนหนึ่งเพราะรูปทรงน่ารัก น่าชัง มีความคลาสสิคเบาๆ

รุ่นผลิตในประเทศมี 3 รุ่นหลักคือ PRO, ULTRA และ GT

ต่างกันที่อุปกรณ์ตกแต่งภายนอก-ภายใน และมอเตอร์ขับเคลื่อน

ออกแบบภายใต้แนวคิด Retro Futuristic ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับความคลาสสิค เน้นความโค้งมน

กันชนหน้าตกแต่งด้วยกรอบโครเมียม มีช่องรับอากาศที่ชายด้านล่างสำหรับช่วยในการไหลเวียนอากาศและระบายความร้อนระบบไฟฟ้า

ไฟหน้า LED เต็มรูปแบบในรูปทรง Cat Eye พร้อม Daytime Running Light แบบวงแหวนและยังเป็นไฟเลี้ยวในตัว

มีระบบไฟส่องสว่างหลังดับเครื่องยนต์ Follow Me Home

กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว เก็บไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชั่นบันทึกตำแหน่ง

มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ มีช่องเสียบปลั๊กชาร์จไฟอยู่ที่บริเวณซุ้มล้อหน้าฝั่งซ้าย

ไฟท้าย LED Bar แถบคาดยาวฝังอยู่ในกระจกบานหลัง

ไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED สปอยเลอร์ และเสาอากาศครีบฉลาม

ล้ออัลลอยขนาด 18 พร้อมยาง 215/50

ห้องโดยสารแบบทูโทน ดูเรียบหรูและย้อนยุคเช่นเดียวกับภายนอก

โดยสีภายในจะผันแปรไปตามสีภายนอกด้วย

พวงมาลัยทรง 2 ก้านตกแต่งด้วยขอบโครเมียม พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่นควบคุมเครื่องเสียง ควบคุมหน้าจอ และระบบ Adaptive Cruise Control

เรือนไมล์ดิจิทัลและหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์เชื่อมต่อเป็นแผงเดียวกันขนาด 17.25 นิ้ว

แบ่งเป็นหน้าจอแสดงผลการขับขี่ 7 นิ้ว และหน้าจอระบบมัลติมิเดียระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว

รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนผ่าน Bluetooth ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต

ลำโพง 6 ตำแหน่ง มีระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถด้วย

ช่องแอร์แถบยาวขนาดเล็ก

ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติพร้อมระบบกรองฝุ่น PM 2.5

เกียร์ไฟฟ้า Electronic Shifter ลักษณะเป็นแป้นหมุนทรงกลม ที่เคยติดตั้งในรุ่นนำเข้า ย้ายไปเป็นก้านเกียร์ด้านขวาของคอพวงมาลัย

อารมณ์คล้ายเกียร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์

เกียร์รุ่นนี้ยังเพิ่มปุ่ม “P” หรือปุ่มจอดไว้ด้วย จากรุ่นนำเข้าที่มี 3 เกียร์คือ “เดินหน้า-ว่าง-ถอยหลัง”

ชุดคอนโซลกลาง จุดที่เคยเป็นปุ่มเกียร์แบบหมุน เปลี่ยนเป็น Wireless Charger อัพเกรดใหม่

จ่ายกระแสไฟฟ้าได้มากถึง 50 วัตต์ เพื่อการชาร์จที่รวดเร็วยิ่งขึ้น (สำหรับรุ่น ULTRA และ GT)

เพิ่มช่องต่อ USB ทั้ง Type A และ C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า

หลังคา Panoramic Sunroof เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า

เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง มีระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับพร้อมระบบ Welcome Seat

ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะของผู้ขับและกระจกมองข้าง และเบาะนวดไฟฟ้า

ส่วนรุ่น GT เบาะนั่งให้อารณ์รถสปอร์ตมากขึ้น

อย่างที่บอกไปว่าสีภายในจะผันแปรไปตามสีภายนอก

รุ่น PRO และ ULTRA สีภายนอก 5 สี ได้แก่ สีขาว (Hamilton White) สีขาวหลังคาสีดำ (Hamilton White with Black Roof) จับคู่กับภายในสีดำ

สีเขียวหลังคาสีขาว (Verdant Green with White Roof) สีภายในเขียวและเทา

สีเบจหลังคาสีน้ำตาล (Hazel Wood Beige with Brown Roof) สีภายในเบจและน้ำตาล

และสีเขียวพิสตาชิโอ (Pistachio Green) สีภายในเขียวและเบจ

ส่วนรุ่น GT มีสีภายนอกให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ (Sun Black) และสีเทา (Aqua Grey) จับคู่กับภายในสีดำและเหลือง พร้อมอุปกรณ์แต่งสปอร์ตสีเหลือง

การประกอบและความเนี้ยบทั้งภายนอก-ภายในถือว่าทำได้ดี สมชื่อชั้นโรงงานผลิตในประเทศไทย

มอเตอร์ไฟฟ้าและชนิดแบตเตอรี่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

เหลือขุมพลัง 2 บล็อกหลักๆ

รุ่น PRO และ ULTRA ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ หรือ 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร

สามารถวิ่งได้ 480 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน NEDC)

รุ่น GT พละกำลังสูงสุด 126 กิโลวัตต์ หรือ 171 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร

วิ่งได้ 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน NEDC)

เพิ่มฟังก์ชั่น V2L (Vehicle to Load) ในรุ่น ULTRA และรุ่น GT สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัวรถยนต์ ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าที่อื่นๆ

เพิ่มความสะดวกสบายให้กับกิจกรรมกลางแจ้ง

เทคโนโลยีอัจฉริยะ 31 รายการ พร้อมเพิ่มระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2

โดยเมื่อเกิดเหตุรถจะรักษาเสถียรภาพของตัวรถไว้ เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน

ข้อสุดท้ายของรุ่นผลิตในประเทศ ราคาใหม่ถูกลงกว่ารุ่นนำเข้าพอสมควร

รุ่น PRO ราคา 799,000 บาท (จากเดิมรุ่น 400 PRO ราคา 828,500 บาท)

รุ่น ULTRA ราคา 899,000 บาท (จากเดิมรุ่น 500 ULTRA ราคา 959,000 บาท)

และรุ่น GT ราคา 1,099,000 บาท (จากเดิมรุ่น GT ราคา 1,286,000 บาท)

โปรโมชั่นจัดเต็มทั้งดอกเบี้ยพิเศษ แถมประกันชั้น 1 และ GWM โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมติดตั้ง (รุ่น ULTRA และ GT)

สำหรับรุ่น PRO รับสิทธิ์ซื้อโฮมชาร์จเจอร์ พร้อมติดตั้ง ราคาพิเศษ 25,000 บาท (จากปกติ 60,000 บาท) •

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]