วิเคราะห์ปากกาแต่งเพลง 3 แบบ 3 สไตล์ ของเทย์เลอร์ สวิฟต์

(Photo by Michael Tran / AFP)

ความสำเร็จในฐานะศิลปินของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เป็นยิ่งกว่าปรากฏการณ์ สิ่งที่เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คือรางวัลที่เธอได้รับ

ป๊อปสตาร์สาววัย 34 ปีคนนี้ได้เข้าชิงรางวัลจากเวทีต่างๆ ถึง 1,240 ครั้ง และคว้ารางวัลมาครองได้ถึง 639 ครั้ง

ในปี 2008 เธอได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ อวอร์ด ในสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมในขณะที่มีอายุเพียง 19 ปี

และตลอดระยะ 15 ปีที่ผ่านมาเธอคว้ารางวัลแกรมมี่มาครองได้ถึง 12 ครั้ง

สิ่งที่เหลือเชื่อก็คือ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ทำลายสถิติกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ ได้ถึง 117 ครั้ง และเป็นการทำลายสถิติเดิมของตัวเองได้ถึง 22 ครั้ง

ส่วนอีก 92 สถิติยังไม่มีศิลปินคนไหนสามารถโค่นลงได้จนถึงปัจจุบัน

สถิติดังกล่าวใกล้เคียงกับคำว่ามหัศจรรย์ คงอีกนานมากเลยทีเดียวกว่าที่จะหาศิลปินหญิงคนไหนมาโค่นสถิตินี้ลงได้

แต่ท่ามกลางความสำเร็จดังกล่าวดูเหมือนว่ารางวัลที่เทย์เลอร์ สวิฟต์ ภูมิใจมากที่สุดก็คือรางวัล Hal David Starlight Award ที่จะมอบให้กับศิลปินอายุยังน้อยที่มีความสามารถในการแต่งเพลงที่โดดเด่น

โดยเธอได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ในขณะที่มีอายุได้ 21 ปีเท่านั้น

ฮัล เดวิด นักแต่งเพลงคู่บุญกับ เบิร์ต บาคารัก เคยกล่าวชื่นชมเทย์เลอร์ สวิฟต์ เอาไว้ในปี 2010 ก่อนที่จะเสียชีวิตได้เพียง 2 ปีว่า

“เทย์เลอร์ สวิฟต์ เป็นนักแต่งเพลงที่ส่องแสงพร่างพราวที่สุดในวงการเพลงยุคใหม่ ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะเข้าสู่วงการได้ไม่กี่ปี พรสวรรค์ในการแต่งเพลงของเธอนั้นเจิดจรัสอย่างเหลือเชื่อและมีแต่เธอเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ครอบครอง”

เทย์เลอร์ สวิฟต์ มักจะถูกกล่าวถึงในเชิงประชดประชันว่าเธอมักนำประสบการณ์ความรักที่ร้าวฉานกับคนรักที่เลิกรากันไปมาเป็นวัตถุดิบในการแต่งเพลง

ซึ่งก็ถูกส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะวิธีคิดในการแต่งเพลงของเธอนั้นซับซ้อนและมีความคิดสร้างสรรค์ที่มีความเฉพาะตัวสูงมาก

เทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้รับรางวัล NSAI’s Songwriter-Artist of the Decade Award จากเวที Nashville Songwriter Awards เมื่อปี 2022 โดยเธอเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้

เธอกล่าวว่าการแต่งเพลงก็เหมือนการมองเห็นก้อนเมฆที่กระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า

เธอมีหน้าที่ในการปั้นก้อนเมฆเหล่านั้นให้เป็นรูปทรงต่างๆ ตามที่เธอต้องการ

หลังจากนั้นก็ภาวนาให้ผู้ฟังสัมผัสได้ถึงความหมายของบทเพลงทั้งในบรรทัดและระหว่างบรรทัด

สำหรับเธอแล้วการสร้างความรู้สึกร่วมระหว่างตัวอักษรที่เธอเขียนที่สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ฟังได้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

เทย์เลอร์ สวิฟต์ ใช้คุณสมบัติของปากกา 3 ชนิดในการเปรียบเทียบสไตล์การแต่งเพลงที่แตกต่างกันออกไป

ปากกาประเภทแรกก็คือปากกาขนนก (Quill Lyrics) ที่เปรียบถึงการแต่งเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนักเขียนหรือนักกวีซึ่งต้องอาศัยการตีความและการตกผลึกทางความคิด

อัลบั้ม Evenmore คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด

เพลง Tolerate It ได้แรงบันดาลใจมาจากนิยายเรื่อง Rebecca ของนักเขียนหญิง ดาฟเน ดู โมรีเย

ส่วนเพลง Happiness มีการอ้างอิงถึงนิยายเรื่อง The Great Gatsby ของ เอฟ. สก็อตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ โดยเทย์เลอร์ สวิฟต์ นำทั้งเรื่องแต่งและเรื่องจริงมาผสมผสานกันจนเส้นแบ่งระหว่างสองสิ่งนี้ดูรางเลือน

เช่นเดียวกับอัลบั้ม Folklore ที่ใช้รูปแบบการแต่งเพลงในลักษณะเดียวกันจนฟอร์มของเพลงดูคล้ายนิทานปรัมปราและแทนที่จะเล่าเรื่องด้วยมุมมองของตัวเอง

ชั้นเชิงของอัลบั้มชุดนี้อยู่ที่เธอใช้มุมมองของบุคคลที่สามมาเพื่อวิเคราะห์ความรู้สึกภายในของตัวละครในบทเพลง

ส่วน Evenmore เป็นงานเพลงที่ใช้ความงามของธรรมชาติอย่างดวงจันทร์, แสงอาทิตย์ยามเช้า, แมกไม้ หรือแม้กระทั่งใบโคลเวอร์ (Clover) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีมาใส่ไว้ในเพลงในลักษณะอุปมาอุปไมยถึงความเป็นมนุษย์ในเชิงกวีนิพนธ์ได้อย่างสวยงาม

 

ปากกาชนิดที่สองก็คือปากกาหมึกซึม (Fountain Pen Style Lyrics) ที่เปรียบให้เห็นถึงสไตล์การแต่งเพลงที่เป็นการเล่าเรื่อง (Storytelling) เพื่อให้เห็นภาพและสถานการณ์ที่ชัดเจน

เทย์เลอร์ สวิฟต์ เป็นนักเล่าเรื่องตัวฉกาจและรูปแบบการแต่งเพลงของเธอก็คล้ายกับบทภาพยนตร์ที่มี 3 องก์อย่างชัดเจน

องก์แรกคือการแนะนำตัวละคร

องค์ที่สองมีการเผยอุปนิสัยของตัวละครเพิ่มเติม

และองก์ที่สามก็คือการคลี่คลายปมทั้งหมดที่นำไปสู่จุดไคลแม็กซ์

You Belong with Me จากอัลบั้ม Fearless เป็นเพลงที่ง่ายที่สุดในการยกตัวอย่าง

เพลงนี้พูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่แอบชอบผู้ชายมีแฟนอยู่แล้ว แต่คนรักของเขาไม่มีอะไรที่เข้ากันได้เลย

เทย์เลอร์ สวิฟต์ เล่าเรื่องโดยใช้การอุปมาอุปไมยไล่ไปตั้งแต่สไตล์การแต่งตัวไปจนถึงความหลงใหลใฝ่ฝันที่เข้าทางผู้หญิงที่แอบชอบมากกว่าเพื่อที่จะบอกว่าสิ่งที่เขามองหามานานไม่ใช่ผู้หญิงที่อยู่ข้างกาย แต่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เพียงแค่เขาหันมามอง เธอก็จะไม่อยู่นอกสายตาอีกต่อไปและเธอคนนี้นี่แหละคือคนที่ใช่!

นับว่าเป็นเพลงแอบชอบที่แอบแรดอยู่ไม่น้อยเลย แต่ด้วยทักษะการแต่งเพลงที่เหนือชั้นทำให้เราเข้าข้างผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากจะแย่งผู้ชายที่มีแฟนแล้วจนตัวสั่นด้วยการชักแม่น้ำทั้งห้ามาเพื่อเข้าข้างตัวเอง

และคนฟังก็อดที่จะเห็นดีเห็นงามด้วยไม่ได้จากความน่ารักและการนำจริตของผู้หญิงในการใช้จินตนาการเพื่อโน้มน้าวฝ่ายชาย ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นการรำพึงรำพันอยู่ฝ่ายเดียวก็ตาม

อัจฉริยภาพในการแต่งเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ อยู่ที่การเล่าเรื่องบางอย่างให้ผู้ฟังคล้อยตาม ก่อนที่จะใช้ท่อนฮุกในการตบเรื่องเล่าต่างๆ นานาให้เข้าเป้าหมายลงล็อกในสิ่งที่เธออยากให้ผู้ฟังเชื่อและคล้อยตาม

ความสามารถในการใช้ภาษาไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่อง, การพรรณนา, การอุปมาอุปไมย, การใช้คำพ้องเสียงของคำที่ให้ความหมายที่แตกต่างกัน (ที่ถือว่ายากมากสำหรับภาษาอังกฤษ) ไปจนถึงสัมผัสนอกสัมผัสในของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่เธอใช้แต่งเพลงในรูปแบบปากกาหมึกซึมแสดงให้เห็นถึงตัวตนที่ชัดเจนของเธอทั้งในฐานะนักแต่งเพลงและผู้หญิงคนหนึ่งที่ฝันถึงรักแท้และเมื่อเธอเผชิญหน้ากับความรักที่ไม่สมหวังมันก็จะกลายมาเป็นบทเพลงที่ทั้งสวยงามและเจ็บปวดได้อย่างน่าทึ่ง

เพลงอย่าง Love Story, Back To December, We Are Never Getting Back Together, Creul Summer, Style และอีกหลายต่อหลายเพลงคือคำตอบที่ชัดเจนในตัวของมันเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลง All Too Well ในเวอร์ชั่น 10 นาทีที่เทย์เลอร์ สวิฟต์ เผยว่าเป็นเพลงที่เธอภูมิใจมากที่สุดในฐานะนักแต่งเพลง (เพลงนี้เธอแต่งร่วมกับศิลปินคันทรี่รุ่นใหญ่ ลิซ โรส)

 

ปากกาชนิดที่สาม ซึ่งเป็นชนิดสุดท้ายก็คือปากกาหมึกเจลกากเพชร (Glitter Gel Pen Style Lyrics) ที่เปรียบถึงการแต่งเพลงเพื่อเป็นการผ่อนคลายมากกว่าเล่าเรื่อง

สีสันของเพลงในรูปแบบนี้จึงเน้นไปยังจังหวะสนุกๆ เพื่อสร้างสีสันให้กับเพลงซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงเต้นรำหรือซินธ์ป๊อป อย่างเช่นเพลง Paper Rings, Dress, Gorgeous, Shake It Off, Me!, 22 และ Blank Space

เธอเปรียบเทียบเพลงสไตล์นี้ว่าเป็นเหมือนเจอกับผู้หญิงเมาไม่ได้สติในงานปาร์ตี้แต่ก็ยังชมว่าเธอสวยเหมือนนางฟ้าในห้องน้ำ

เทย์เลอร์ สวิฟต์ เผยว่าเพลงที่ดีมีหลายประเภท แต่สำหรับเธอแล้วเพลงที่ล้ำค่าที่สุดจะสามารถดึงความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในตัวคุณออกมาได้ เพลงที่ดีจะอยู่กับคุณตลอดไป เพลงที่ดีเหมือนประกายเพชรที่ส่องแสงสว่างออกมาในวันที่มืดมิดที่สุด

คุณจะรู้สึกกับเพลงดีๆ เหล่านั้นเสมอถึงแม้ว่าคนอื่นจะมองว่ามันเป็นเพลงที่สุดแสนจะธรรมดาสามัญเหลือเกิน