ความน่าละอายของนักประชาธิปไตย ใช้ ‘ส้ม’ แทนไฮเตอร์

คำ ผกา

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร พรรคก้าวไกลบอกว่า “สิ่งที่ทักษิณควรได้รับคือความเป็นธรรม ไม่ใช่อภิสิทธิ์”

ประโยคนี้ถูกโควตเผยแพร่ในทวิตเตอร์หรือ x โดยสุทธิชัย หยุ่น ซึ่งนั่งนับทุกวันว่าตอนนี้ทักษิณอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจเป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว สอดคล้องกับ “เรื่องเล่า” ที่ถูกเล่าซ้ำๆ ว่าเพื่อไทยเกี้ยเซี้ยกับกลุ่มอำนาจเดิมเพื่อให้ทักษิณกลับบ้านโดยไม่ต้องติดคุก

จากนั้นรับลูกต่อกันเป็นทอดๆ บทท่อนฮุกว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” ซึ่งถามว่าผิดไหม ก็ไม่ผิด เพราะคนยากจนย่อมไร้อำนาจ เมื่อไร้อำนาจก็ง่ายที่จะไม่ได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม

แต่ถามว่าถูกทั้งหมดไหม ก็ไม่ทั้งหมด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการยุติธรรม และความเป็นธรรมในสังคมไม่ควรถูก simplified ให้เป็นสติ๊กเกอร์ติดท้ายรถบรรทุกเป็นม็อตโต้ท่องจำกันไปโดยไม่ต้องมีบริบท

และที่สำคัญมันไม่ควรถูกนำมาพูดหรือใช้อย่างมักง่ายในยามที่เราต้องคุยในประเด็นที่มันซับซ้อน

 

เรามาเริ่มกันที่ “เรื่องเล่า” ที่ว่า พรรคเพื่อไทยเกี้ยเซี้ยกับกลุ่มอำนาจเก่าเพื่อเอาทักษิณกลับบ้าน – เราลองใช้ความรู้พื้นฐานด้านตรรกศาสตร์ ตรวจสอบ “เรื่องเล่า” เรื่องนี้กัน

ทักษิณก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ชนะการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาล และไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบทักษิณ ชัยชนะของไทยรักไทยในการเลือกตั้งปี 2548 พิสูจน์ว่า ทักษิณและไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากจำนวน ส.ส.มากถึง 377 ที่นั่ง

และหากยังจำกันได้ ในช่วงนั้นมีคำอธิบายการเมืองไทยว่าเป็น “สองนคราประชาธิปไตย” ในขณะที่ทักษิณและพรรคไทยรักไทยเป็นขวัญใจมหาชน ปัญญาชน นักวิชาการ ชนชั้นกลาง นักหนังสือพิมพ์สื่อมวลชน บอกว่าทักษิณเป็นนักการเมืองขี้โกง ทำเพื่อพวกพ้อง นักการเมืองในพรรคไทยรักไทยเป็นเจ้าพ่อ ผู้มีอิทธิพล แสวงหาอำนาจและความมั่งคั่งจากการเล่นการเมือง

และโยนเศษเนื้อข้างเขียงให้ประชาชนผู้โง่เขลาและยากจนในชนบทในนามของนโยบายประชานิยม

และใช้เศษเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อซื้อเสียง เพื่อนำไปสู่บทสรุปว่า คนไทยส่วนใหญ่อยู่บ้านนอก ยากจน ถูกนักการเมืองซื้อด้วยเงิน

ส่วนปัญญาชนผู้ฉลาดมีจำนวนน้อย ทุกครั้งที่เลือกตั้ง พรรคที่ปัญญาชนเลือกจะแพ้พรรคที่คนบ้านนอกเลือกเสมอ

จึงเรียกสิ่งนี้ว่า “สองนคราประชาธิปไตย” คนชนบทเลือกนักการเมือง พรรคการเมืองมาเป็นรัฐฐาล เพื่อจะถูกคนชั้นกลางในเมืองประท้วงขับไล่

ชนชั้นกลางไม่ได้ประท้วงขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกด้วยตัวเอง แต่ประท้วงขับไล่เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กองทัพออกมารัฐประหาร

ขอย้ำอีกครั้งว่า หากในวันนี้เราเห็นว่าการรัฐประหารเป็นอาชญากรรม ขอให้ทุกคนย้อนเวลาไปที่วันที่ 19 กันยายน 2549 ว่าตนเองเป็นหนึ่งในคนที่ไชโยโห่ร้อง ดีใจที่ทหารออกมารัฐประหารหรือไม่?

ตัวเองเป็นหนึ่งในคนที่เอาดอกไม้ไปให้กำลังใจทหารหรือไม่

ตัวเองคือคนที่กู่ร้องยินดีที่ทักษิณถูกกำจัดออกไปจากการเมืองโดยการรัฐประหารหรือไม่?

 

สื่อมวลชนอาวุโส หลายคนที่ ณ วันนี้ วินาทีนี้อวดอ้างว่าตนเองเป็นประชาธิปไตย เกลียดทหาร เกลียดประยุทธ์ จันทร์โอชา ณ ปี 2549 พวกคุณคือหนึ่งในคนที่สนับสนุนการรัฐประหารปี 2549 ใช่หรือไม่?

ลองลิสต์ชื่อมาดู – หากความจำไม่สั้นเกินไปและกินข้าวเป็นอาหาร ไม่ได้กินหญ้า เราย่อมมองเห็นว่าทุกวันนี้ใครใช้พรรคก้าวไกลและ “สีส้ม” เป็นน้ำยาฟอกขาวล้างตัวจากการเป็นอดีต “สลิ่ม” บ้าง

เขียนอย่างกระชับ ทักษิณและพรรคไทยรักไทยถูกรัฐประหาร ถูกดำเนินคดีจากกลไกลและองคาพยพของรัฐบาลและอำนาจรัฐที่ “ยึดอำนาจ” ไปจากประชาชน ถูกยึดทรัพย์ไปสี่หมื่นกว่าล้าน ถูกลอบสังหารอีกหลายครั้ง

และฉันต้องหมายเหตุสำหรับคนพันธุ์ที่ป่วยเป็นโรคทักษิณโฟเบียที่จะบอกว่า ก็ทักษิณโกงจริง ก็ทำผิดจริง

อ่านปากฉันดีๆ นะคะ – หากมันจะมีความผิดใดของทักษิณที่ต้องถูกดำเนินคดี มันต้องถูกดำเนินคดีภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และหากต้องการให้ทักษิณหมดอำนาจ ต้องหมดอำนาจผ่านกระบวนการของรัฐสภาเท่านั้น

เมื่อไหร่ก็ตามที่ใครสักคนคิดว่า ทักษิณเลว ทักษิณโกง แล้วก่อการรัฐประหารยึดอำนาจ

สิ่งนั้นเป็นอาชญากรรมที่ไม่สามารถหาข้ออ้างหรือหาความชอบธรรมใดๆ มาอธิบายได้ และมันเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงกว่าการโกงหรือใดๆ ที่สมมุติว่ามีจริงของรัฐบาลทักษิณ

ทักษิณจากนักการเมืองขวัญใจมหาชนกลับต้องกลายเป็นนักการเมืองที่ต้อง “หนี” จากการไล่ล่าของผู้กุมอำนาจรัฐที่ได้อำนาจรัฐนั้นผ่านการปล้นอำนาจประชาชน

 

จากตรงนี้ฉันของถามคำถามที่เรียบง่ายที่สุดคือ

หากทักษิณไม่ต้องการหนีจากการไล่ล่าอย่างไม่รู้ว่าการหนีนี้จะไปสิ้นสุดหรือจบที่ตรงไหน เขาต้องทำอย่างไร?

หนึ่ง ดีลกับผู้มีอำนาจว่าจะหยุดเล่นการเมือง ปิดพรรค ยอมทุกอย่าง จะอยู่เงียบๆ เข็ดแล้ว ไม่เอาแล้วการเมือง

ฟังดูดี ดูง่าย แต่ไม่มีอะไรรับประกันว่า จะมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยจริงๆ ต่อให้หยุด ต่อให้ล้างมือ ต่อให้ไม่ทำพรรคการเมืองอีกก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะมีคนเชื่อว่าจะไม่ทำการเมืองอยู่นั่นเอง

สอง มีชีวิตอยู่และให้คนอื่นๆ ที่ยังทำการเมืองได้ ทำพรรคการเมืองต่อ ลงเลือกตั้งต่อ เพราะเชื่อว่าวันหนึ่ง เมื่อประเทศเข้าสู่แทร็กของประชาธิปไตย อยู่บนหลักนิติรัฐ นิติธรรม มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ระบบตรวจสอบ ถ่วงดุลอย่างที่ควรจะเป็น

วันนั้นจะเป็นวันที่ตัวของทักษิณเองจะสามารถกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของตนเองได้ ไม่ต้องกลัวอำนาจรัฐที่ตรวจสอบไม่ได้

ด้วยหนทางนี้ความปลอดภัยในชีวิตที่เหลืออยู่ สวัสดิภาพที่พึงมีในฐานะพลเมืองไทย น่าจะยั่งยืนกว่าการไป “ดีล” แลกสวัสดิภาพกับการเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

 

เขียนให้เข้าใจง่ายกว่านั้นคือ สวัสดิภาพของทักษิณ เกี่ยวโยงกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยของสังคมไทยเองนั่นแหละ

ถ้าประเทศไม่เปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย ทักษิณก็ไม่มีวันจะได้กลับประเทศไทยอย่างมั่นใจในสวัสดิภาพของตัวเอง

ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือส่งไม้ต่อให้คนที่ยังทำการเมืองได้ ทำการเมืองต่อ ทำพรรคการเมืองต่อ จากพรรคไทยรักไทย สู่พรรคพลังประชาชน สู่พรรคเพื่อไทย

และให้พรรคการเมืองนี้สนับสนุนการทำงานทางความคิดของภาคประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จึงนำมาสู่ภาพของพรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย กับ ความเคลื่อนไหวของ นปช. และคนเสื้อแดง

การต่อสู้ในห้วงเวลายี่สิบปีที่ผ่านมาคือความพยายามที่ปักธงทางความคิด

ทำให้ประชาธิปไตยและการเลือกตั้งกลายเป็น norm หรือบรรทัดฐานของสังคมให้ได้

แต่ถนนสายนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ รัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกรัฐประหารอีกครั้ง จากความเขลาเดิมๆ ของคนชั้นกลางไทยที่ยังคงเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลที่ถูกเลือกมาจากชาวชนบท

ยิ่งลักษณ์ถูกปัญญาชน นักวิชาการผู้ทรงภูมิวkดภาพให้เป็นนายกฯ หุ่นเชิดของพี่ชาย เป็นการเมืองสืบทอดกันในตระกูล ฯลฯ

และจงใจที่จะทำเป็นมองไม่เห็นว่าการขึ้นสู่อำนาจของยิ่งลักษณ์นั้นมาจากฉันทามติของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง

และนั่นทำให้ยิ่งลักษณ์เผชิญชะตากรรมเหมือนคุณทักษิณนั่นคือ รัฐบาลที่ปล้นอำนาจมานั้นประเคน “คดี” ต่างๆ ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้อง “ลี้ภัย”

และเหมือนเดิม ยิ่งลักษณ์ก็ไม่มีวันจะได้รับความยุติธรรมผ่านการ “ยื่นหมูยื่นแมว” เพราะสิ่งนั้นไม่เรียกว่าความยุติธรรม แต่เป็นเหมือนการเรียกค่าไถ่เสียมากกว่า และไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเมื่อ “ให้” ตามที่ “ขอ” แล้วจะไม่ถูกเบี้ยว หรือถูกขอในราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

กลับมาที่ตรรกะเดิมคือ หนทางเดียวที่อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะได้รับความยุติธรรมคือ ประเทศนี้กลับคืนอยู่หนทางของประชาธิปไตยอันปกติ

 

ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงต้องดำเนินการต่อไป สู้ต่อไปบนถนนของการเลือกตั้งและการเมืองในระบบรัฐสภา

เมื่อต้องเป็นฝ่ายค้านในสมัยประยุทธ์ ก็ต้องเป็น ต้องทำงานเพื่อช่วงชิงเอาเสียงของประชาชนมาส่งพรรค ไปสู่อำนาจรัฐและเป็นรัฐบาล

และนั่นคือคำตอบว่า ทำไมพรรคเพื่อไทยจึงอยากชนะแบบแลนด์สไลด์ ก็เพื่อจะได้เป้นรัฐบาลแบบมีความชอบธรรมหมดจด

เมื่อได้เป็นรัฐบาล ได้ทำงาน ทำการเมืองให้มีเสถียรภาพ เศรษฐกิจดี ความขัดแย้งในสังคมลดลง สังคมมีความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ ทั้งคุณทักษิณ และคุณยิ่งลักษณ์ย่อมรู้สึกว่าตนเองสามารถกลับประเทศไทย และเริ่มต้นแสวงหาความยุติธรรมให้ตนเองได้ ในบริบทที่บ้านเมือง “ปกติ” แล้ว

การได้เป็นรัฐบาลของเพื่อไทยจึงเกี่ยวข้องกับการกลับบ้านของคุณทักษิณแน่ๆ

แต่เกี่ยวข้องในกระบวนที่ฉันเขียนบรรยายมาข้างต้น ไม่ใช่เกี่ยวข้องแบบไร้ซึ่งตรรกะใช้แต่ “ทฤษฎีสมคบคิด” ว่า ทักษิณดีลกับชนชั้นนำ เพื่อกลับบ้าน เพราะในสมการคณิตศาสตร์ที่พรรคเพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ แต่พรรคก้าวไกลได้ ส.ส.มากเป็นอันดับหนึ่ง

หากพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล และพรรคก้าวไกลสามารถไปเจรจาเอาพรรคภูมิใจไทยมาร่วมสำเร็จ เจรจาหาคะแนนเสียงจาก ส.ว. มาโหวตให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ สำเร็จ ตั้งรัฐบาลได้ สิ่งนี้ก็ปูทางไปสู่การกลับมาของคุณทักษิณเช่นกัน เพราะรัฐบาลที่นำโดยก้าวไกล ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน และนักโทษการเมืองมากกว่าพรรคเพื่อไทยเสียด้วยซ้ำ ย่อมเป็นหลักประกันให้ผู้ลี้ภัยรวมทั้งคุณทักษิณมั่นใจว่าจะได้รับความยุติธรรมในรัฐบาลที่นำโดยก้าวไกลแน่นอน

มากไปกว่านั้นหากก้าวไกลตั้งรัฐบาลสำเร็จ อาจจะผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สำเร็จทันที ทักษิณอาจได้กลับประเทศแบบไม่นอนคุก ไม่ต้องนอนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจด้วยซ้ำไป

 

แต่น่าเสียดายที่พรรคก้าวไกลล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการหาเสียงสนับสนุนเพื่อจัดตั้งรัฐบาล

เมื่อเป็นเช่นนั้น พรรคเพื่อไทยจึงข้ามขั้วไปตั้งรัฐบาลพรรคร่วมรัฐบาลเดิม

ซึ่งก็ต้องย้ำเป็นรอบที่ล้านว่า เป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมตามหลักการประชาธิปไตยระบบรัฐสภา

และไม่มีเหตุผลอะไรที่พรรคเพื่อไทยต้องทิ้งโอกาสที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทิ้งโอกาสที่จะได้เป็นนายกฯ และด้วยระบบนิเวศน์ที่เพื่อไทยเป็นทั้งรัฐบาลและเป็นนายกฯ

ถามว่า นี่ไม่ใช่ เวลาที่ดีที่สุด ที่เหมาะสมที่สุดที่ทักษิณจะกลับมาหรือ?

ถ้าไม่กลับมาในวันที่เพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะให้กลับมาในวันที่พลังประชารัฐเป็นรัฐบาลหรือ?

นี่เป็นตรรกะที่เข้าใจง่าย โดยต้องฟังเสียงลือเสียงเล่าอ้างอะไรในแบบที่ “สื่ออาวุโส” ติดนิสัยชอบทำกัน และไปเข้าใจผิดๆ ว่ายิ่งได้ข่าว “ซีฟ” มากยิ่งแปลว่า “เก่ง”

แต่สมัยนี้ยิ่งได้ข่าว “ซีฟ” มาก ยิ่งแปลว่าเจอ fake news ปั่นประสาท

 

ส่วนคำถามที่ว่า ทักษิณได้อภิสิทธิ์ ไปนอนที่โรงยาบาลตำรวจ ฉันขอให้เช็กดังนี้

1. ทักษิณมีเงื่อนไขครบตามเกณฑ์ที่จะได้รับสิทธิการนอนโรงพยาบาลตำรวจหรือไม่? – เท่าที่ทราบเข้าเกณฑ์ครบ

2. ทำไมคนอื่นไม่ได้ ฉันแนะนำให้ผู้ร้องเรียนไปเช็กดูว่า มีนักโทษในเรือนจำคนไหนเข้าเกณฑ์แบบทักษิณบ้าง? มีกี่คน?

ถ้ามี เราควรเริ่มต้นเรียกร้องให้คนเหล่านั้นได้รับสิทธิที่เขาพึงมี ไม่ใช่ไปถอดถอนสิทธิของทักษิณ

3. คนที่ออกมาร้องแรกแหกกระเชอเรื่องนี้ ทำไมถึงพึ่งมีต่อมกระตุ้นความเป็นธรรมเมื่อเจอคำว่า “ทักษิณ” ถ้าซีเรียสเรื่องนี้จริงๆ ทำไมเมื่อก่อนไม่โวยวาย

ตอนอากง คดี 112 ติดคุก บางคนยังไล่ล่าอากงด้วยซ้ำ และคนที่จับและทำคดีอากง ยังลอยหน้าอยู่ในพรรคก้าวไกลด้วยซ้ำ

4. ถ้าคิดว่านักโทษการเมืองคือนักโทษทางความคิด ทำไมจึงทำกิจกรรมยืนหยุดขัง แต่ในเคสทักษิณที่ยืนขอการคุมขังที่โรงพยาบาลแทนการอยู่เรือนจำกลับถูกประณาม ทั้งๆ ที่โดยร่างกายและอายุของทักษิณก็จัดอยู่ในกลุ่มเปราะบางทางสุขภาพ

ไม่นับว่า อันที่จริงแล้ว เขาไม่ควรโดนคดีใดๆ ตั้งแรก และทั้งๆ ที่จริงแล้ว คนที่เคยสั่งฆ่าประชาชน ก็ยังลอยนวลอยู่ และไม่ถูกไล่ล่าจากบรรดา “ผู้รักประชาธิปไตย” ที่หัวก้าวหน้ากว่าใคร เท่าทักษิณเสียด้วยซ้ำ

มันเป็นเรื่องชวนให้ขำขื่นดี ที่ตอนนี้ คนที่เคยสนับสนุนการรัฐประหาร ยังสามารถคงสถานะ “สื่ออาวุโส” หากินบนภาษีประชาชน และยังด่าว่าทักษิณเป็นอภิสิทธิ์ชน

ปราศจากความละอายในระดับที่ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเขายังมีความเป็นคนเหลืออยู่