ริมทะเลสาบมีแค่ลมใบไม้ | เรื่องสั้น : ปันนารีย์

เรื่องสั้น | ปันนารีย์

ริมทะเลสาบมีแค่ลมใบไม้

 

ลมทะเลสาบหน้าร้อนมักจู่โจมกิ่งก้านใบของร่มไม้ใหญ่ต่างผลัดกันส่งเสียงดังซู่ซ่า ใบไม้ซ้อนทับพากันขยับเหมือนภาพถ่ายไหวไปไหวมา ฤดูร้อนหมกไหม้เช่นนี้ เปลวแดดไหวระริกจนผิวของใครต่อใครก็เกรียมดำเป็นเถ้าถ่าน ครานั้นต้นไม้ใหญ่สลัดใบทิ้ง โครงร่างของมันจึงเหยียดลมขึ้นไปบนฟ้า ด้วยความระเกะระกะ หมอกขาวโพลนยามเช้านั้นละอองหมอกประดุจว่าโลกเราอยู่ใต้กองหิมะที่รอคอยให้แสงแดดมาระเหยออกไปจนหมดสิ้น พอน้ำท่วมจนมิดต้นไม้ไร้ใบจึงชูมือชูไม้อยู่เหนือระลอกคลื่น

บ่ายวันรุ่งขึ้น เด็กๆ ในชุดกะเหรี่ยงทรงกระสอบสีขาวก็นั่งท้ายกระบะรถของโจลงดอยมา ดอยที่แนบอิงแอบกันและกัน ทะเลสาบแผ่กว้างโอบอุ้มเอาไว้ รถคันนั้นจึงต้องลงเรือโป๊ะข้ามน้ำมาอีกทอด นี่เป็นขบวนแรกที่มาถึงโรงเรียนอย่างทุลักทุเล โจนุ่งโสร่งกับเสื้อสีน้ำเงินทอยกดอกและปักลูกเดือยทำให้เขาดูมีสง่าราศีกว่าคนอื่นในรถคันเดียวกัน โจหันไปบอกทุกคนว่าขากลับจะแวะร้านเจ๊เง็กอยากได้ลูกตะกั่ว มันเป็นลูกปืนสำหรับปืนอัดลม เขาต้องการนำมันไปยิงฟาน อีกคนก็แย่งกันพูดว่าพวกเขาต้องการแวะซื้ออะไรบ้างกลับขึ้นไปบนดอย กระสอบปุ๋ยเปล่าที่รอบรรจุข้าวของลอยหน้าลอยตาอยู่ท้ายกระบะอย่างตั้งใจ

ฉันเข้าไปทักโจกับมะยี ตามองเลยบ่าของเขาไปที่ใบหน้าของคนอื่นๆ ฉันมาอยู่ที่นี่ด้วยจิตใจครั่นคร้าม มันตอกย้ำฉันมีชีวิตอยู่ที่นี่ กลายเป็นคนที่นี่ รักที่นี่ ชาติพันธุ์เหล่านี้ล้วนคือมิตรสหาย

ฉันถามขึ้นอะไรนะได้ยินไม่ถนัด ยิงฟาน? ใช่ เขาพยักหน้าแล้วหัวเราะ เด็กชายคนหนึ่งหัวเราะตาม ฉันเห็นฟันดำด้านหน้าของโจ พวกเขายังเคี้ยวหมาก ฉันเองที่คิดว่าญางรุ่นใหม่ ไม่เคี้ยวหมากกันอีกเสียแล้วดูอย่างไร เดี๋ยวนี้พวกเขาส่วนใหญ่เริ่มแต่งตัวเหมือนเรา ฟานราคาดีกว่าสัตว์ป่าชนิดอื่น บางคนเป็นนักตัดต้นไม้ แทบทุกบ้านทุกครัวเรือนมีเลื่อยยนต์เป็นอาวุธเดินเข้าป่า พวกเขาตัดต้นไม้ที่โตเต็มที่ เพื่อนำมาสร้างบ้านและทำฟืน พวกเขาอาจไม่ใช่นักอนุรักษ์ที่ดีนัก เหตุผลเช่นว่าเขาจะปลูกต้นไม้อีกหนึ่งต้นทดแทนต้นที่ถูกตัดไปนั้นไม่มีอยู่จริง โลกไม่สวยงามอย่างที่ใครเฝ้าจินตนาการ นอกเสียจากว่าเมล็ดพันธุ์จะกระจายไปจากสายลมฤดู และมันเติบโตจากเม็ดฝนและแสงแดด พวกเขาดักปลา ยิงไก่ป่า มีชีวิตร่วมกันอยู่ริมทะเลสาบและภูเขา

เราจะสลัดผ้าห่มผืนรักออกจากการร่างกายได้อย่างไรกัน เหมือนยอดดอยไม่มีทางปราศจากหมอกขาวโพลน ไม่ว่ามันจะประกอบขึ้นจากฝุ่นพิษหรือกองหิมะละลาย เหมือนมีชีวิตอยู่ในนั้น กลางคืนถูกรบกวนโดยกลางวัน และดวงดาวจะเขยื้อนไปบนที่นอนอันสุขสงบ

 

ฉันมาอยู่ที่นี่ด้วยจิตใจครั่นคร้าม มันตอกย้ำอนาคต ฉันจะอยู่ที่นี่ กลายเป็นคนที่นี่ รักที่นี่ พอฉันบอกพ่อกับแม่เรื่องไปเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนบนเรือนแพ พ่อถึงกับอุทานขึ้นมา แม่เริ่มกังวลเรื่องใช้ชีวิตอย่างไร แล้วแม่กับพ่อจะอยู่กันอย่างไร สภาพลูกสาวคนเดียวของฉันตีกรอบให้ฉันมีชีวิต การเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง เส้นความรัก อุดมการณ์ ความหมายของการมีชีวิตแขวนค้างอยู่บนกิ่งไม้สูงใหญ่ แต่สุดท้ายเด็กผู้หญิงแสนซนและดื้อคนนั้นยังคงสิงร่างฉัน เด็กคนที่ร้องโยเยอยากได้ตุ๊กตาที่วางอยู่ชั้นของร้านกระจก

ฉันโบกมือลาเมืองแออัด ความเงียบที่ฉันถวิลหา ท้องฟ้าหลากสีที่ไม่มีวันสิ้นสุดและหัวใจที่พองโตกว่าโลกใบนี้ ฤดูร้อนทำฉันเดินทางถึงเมืองที่ร้อนระอุ ท่ามกลางเสียงโอดครวญถึงค่าฝุ่นพีเอ็มพุ่งทะยาน จนแทบจะเดินฝ่าฝุ่นฝ้าสีเหลืองขุ่น ถ้าเปรียบว่าได้โปรยเถ้าถ่านของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเสกความรัก ก็คงดี ตอนเก้าโมงเช้าชนบทแห่งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ทำงานล่วงไปเกือบครึ่งวันแล้ว การงานตั้งแต่ตีสาม เสียงนกจิกหยอกกันไปมา หกโมงเช้า ฉันเพิ่งตื่นนอน แดดไล้ผ้าม่านค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในห้อง กวาดเตียงและแจกันดอกไม้เข้ามาอย่างเชื่องช้า ทั้งหมดรวมตัวเป็นหนึ่งในสภาวะที่นกร้องด้านนอกยังส่งเสียงเจื้อยแจ้ว เสียงเด็กชายอะชิตะโกนเรียกฉัน “คุณครู” ฉันจึงเลิกม่านมองออกไป พร้อมตะโกนตอบ รอครูแป๊บหนึ่งนะ ฉันมองนาฬิกาหัวเตียง หกโมงเช้า!!! เด็กๆ ตื่นเช้ามาก ก่อนกระโจนตัวเองลุกจากเตียงไปอย่างรวดเร็ว มีเด็กๆ รอฉันอยู่แล้วราวห้าคน เป็นห้าคนที่มากับโจลงดอยและข้ามทะเลสาบมา

วันนี้ฉันตั้งใจจะพาพวกเขาไปที่ท่าน้ำ เพื่อจะไปดูวิธีตัดหัวปลาและตากปลาให้เป็นวง ปลาวงตากแห้งจะถูกเรียงกันเป็นวงกลมเพื่อจะนำไปอบความร้อนอีกรอบ วิธีเรียนรู้ธรรมชาติ และการประกอบอาชีพ ฉันบอกว่านี่เรียกวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต

อะชิถามว่าเราไม่ต้องไปนั่งเรียนในห้องเรียนหรือครู ฉันตอบว่าเรายังไม่มีโต๊ะกับเก้าอี้สำหรับเด็กสิบสองคน ทำไมต้องสิบสอง อะชินับตัวเองเป็นหนึ่ง โปโปเป็นสอง เก้อเป็นสามและสี่เหยเย ห้าโมโม่ ไม่มีหก

ฉันบอกว่าอีกสองวันจะมีเด็กมาเพิ่มอีกเจ็ด เมื่อห้าบวกเจ็ดจึงกลายเป็นเท่าไหร่คะ ฉันหันไปถามเด็กๆ พวกเขาพากันนับนิ้ว เด็กแปดเก้าขวบไม่ควรนับนิ้วแล้ว ฉันเกิดความฮึกเหิมในตัวเองขึ้นมาอย่างประหลาดด้วยลำแสงที่วาบเข้ามาในดวงตาบริสุทธิ์ของเด็กๆ แสนมอมแมมเหล่านี้

ฉันพูดว่าจบจากวิชาตากปลา เราต้องไปเรียนวิชาอาบน้ำให้สะอาด แต่เด็กๆ ก็เข้าใจกันเอาเองว่าพวกเขาจะได้ไปเล่นน้ำกัน เด็กๆ เหล่านี้เป็นเด็กดอยก็จริง หากพวกเราเป็นเด็กดอยที่มีทะเลสาบโอบกอด แผ่นดินกับทะเลต่างผนึกเป็นของสิ่งเดียวกัน พวกเขารักบ้านเกิดและฉันก็รู้สึกรักพวกเขา เฉกเช่นที่ฉันเริ่มหลงใหลทะเลสาบและภูเขาสีเทาดำยามพลบค่ำโดนแสงสีทองโบกมือลาหยอยๆ แล้วฉันก็ผินหน้ารับแสงเช้าอีกวันอย่างเต็มใจ

หลังจากโทร.ไปรายงานชีวิตประจำวันของตัวเองกับพ่อแม่แล้ว ฉันจึงนั่งลงเขียนจดหมายถึงราวิน ฉันเลือกที่จะเขียนจดหมายเพื่อจะเอื้อมมือให้ถึงความรักที่เคยมีต่อกัน ฉันพยายามแยกแยะชั้นของความรักออกมาเป็นตัวอักษร เพื่อจะได้ไม่ต้องส่งเสียง เพื่อจะได้ไม่ต้องพลาดท่าเสียน้ำตา หรืออาจเพื่อปลุกปลอบใจว่าความรักของมนุษย์นั้นประกอบด้วยรูปทรงหลากหลายมิติ เหมือนชั้นแวงตั้งฉากองศาเหมือนปีกนกที่ลู่ลมเพื่อจะทะยาน ฉันกับราวินจับมือเป็นเพื่อนได้อีกครั้ง เมื่อเราสูญเสียความรักอันคลุ้มคลั่งไปจนหมดสิ้นแล้ว ราวินมาส่งฉันขึ้นรถ เราโบกมือลากันอย่างช้าๆ เขาให้คำสัญญาว่าจะหมั่นไปเยี่ยมพ่อกับแม่ของฉัน ฉันปาดน้ำตาเล็ดเพียงเล็กน้อยทิ้งตอนที่รถเคลื่อนที่ออกจากชานชาลาแล้ว นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่ฉันจดจำ เมื่อทางเดินถูกเลือก ฉันบอกตัวเองว่าไม่มีความรักและคลุ้มคลั่งดั่งก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว

แผ่นน้ำของฉันสงบนิ่ง อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันในเวลานี้ มั่นคงเหมือนภูเขาและเวิ้งน้ำเบื้องหน้าเหล่านี้คือความกว้างลึกมหาศาล การละทิ้งเหมือนปล่อยให้กระแสน้ำเคลื่อนผ่านทุกอย่างไป-อย่างสงบให้ได้

ฉันเรียนรู้การปล่อยวางทุกอย่างที่เคยกำมือไว้แน่น

นี่เป็นการฝึกฝนที่ใช้เวลาเป็นมาตราวัด ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับสถานที่ ริมทะเลสาบกำลังเปลี่ยนแปลงเมื่อมีคนตัดต้นราชพฤกษ์สีส้มสดที่เอาแต่สลัดกลีบทิ้งเกลี่ยพื้นดินไปทั่ว

ฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้เดียวดายอย่างน่าพิศมัย มันหายไปแล้ว เหมือนฉันที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนทุกครั้งที่ฉันบาดเจ็บ เหมือนต้นไม้ที่ไม่มีวันงอกเงยผลิใบได้อีก และความโศกเศร้าก็โอบกอดเราไว้อย่างแนบสนิท

 

ฉันพาเด็กๆ ไปหยอดเมล็ดปอเทืองริมทะเลสาบตรงที่หญ้าไมยราบชอบขึ้น เพื่อจะทำการปรับปรุงดิน อย่างน้อย วันหนึ่งเราจะได้ดินผืนใหม่ เด็กๆ สนุกสนาน

ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็ไม่ต้องห่วงกังวลเรื่องระหว่างเวลาไปไร่ ใครจะดูแลเด็กๆ

การเป็นครูกับเงินเดือนเท่าหยิบมือ มันเป็นยาสมานแผลเดิมๆ ของฉันให้ราบเรียบเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

และฉันจะกลายเป็นคนไร้บาดแผลในที่สุด

 

ผู้ใหญ่บ้านเข้ามาพูดกับครูใหญ่เรื่องรับเด็กเพิ่ม จากสิบสองเป็นยี่สิบสอง ภาพที่ผู้ใหญ่บ้านเล่า ได้ฉายทิวทัศน์เดินข้ามดอยแม่ลายที่ขวางกั้นทะเลสาบอมก๋อย และรัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา มันเชื่อมต่อและไม่เคยแยกขาดจากกันและกันมาเนิ่นนานแล้ว เพียงแค่ใครสักคนไม่เคยสังเกตว่าใบไม้ที่ไหวเอนไปตามแรงลมนั้น เป็นลมที่พัดมาจากทิศเดียวกัน พรูพรายและกลายเป็นลมหายใจเดียวกัน

พวกเขามาจากบ้านแม่แปบ จังหวัดเมียวดี พื้นที่ใกล้จุดปะทะรุนแรง การอพยพดำเนินมาหลายเดือนแล้ว ฝุ่นฟุ้งตลบจากฝูงชนที่วิ่งเตลิดกันข้ามน้ำมา ม่านฝุ่นเหมือนผนังกั้นระหว่างภูมิทัศน์ แต่ฝูงชนกลับผนึกเป็นหนึ่งเดียวเมื่อความตายไล่ล่า ยิ่งกองกำลังเดือดดาล เสียงแผดร้องไม่เป็นภาษา เราก็ไม่เคยแน่ใจว่าภาษานั้นแบ่งแยกกันและกัน ในระหว่างวิ่งหนีกระสุนควรส่งเสียงเป็นคำพูดของภาษาใด ควรร้องด้วยถ้อยคำใด

คนอื่นรักแม่น้ำ รักทะเลสาบ รักภูเขา ขณะที่ความเกลียดกลัวก็แฝงเร้นมาอย่างไม่รู้ตัว

ตอนที่ฉันตัดสินใจย้ายมาสอนที่โรงเรียนเรือนแพ ฉันเฝ้าจินตนาการถึงภาพยนตร์อันน่าหลงใหลและมันจะเสกชีวิตฉันไว้ให้แนบแน่นและตราตรึง แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ทะเลสาบเหมือนแผ่นน้ำที่ถูกครอบครองโดยความลึก ความร้อน และมันกลายเป็นสโมสรบันเทิงของเหล่าแมลงกลางคืน หน้าร้อนปีนี้ น้ำเหมือนน้ำต้มเดือดตลอดเวลา อากาศร้อนจากไอระอุแผ่นน้ำ กับยุงตัวโตกว่าแมลงวัน โป๊ะเรือนแพดูอย่างไรก็ไม่มั่นคงพอจะให้นั่งชมดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลง นอกจากประวิงเวลาให้พระอาทิตย์หรี่อานุภาพแสงลงเสียบ้าง เพื่อจะผ่อนตัวเองลง แต่เพียงไม่นาน น้ำก็แห้งขอดจนเรือนแพจอดนิ่งสนิท เราต้องอพยพเด็กๆ ที่เรียนโรงเรียนบนเรือนแพขึ้นไปเรียนรวมกันที่ตัวอาคารในโรงเรียน

ร่มไม้ห่างๆ เก้งก้างและไร้ใบ ใบร่วงสีเหลืองน้ำตาลไหม้รอวันปะทุไหม้จากความร้อนด้วยกลไกธรรมชาติ

ฤดูแล้งมันเป็นแม่น้ำแห่งความสุภาพนอบน้อม น้ำครึ่งเข่าสงบงามไม่ใจร้ายอย่างฤดูน้ำหลาก น้ำสงบนิ่งสายเดียวกันกลายเป็นแม่น้ำดุร้ายยึดสะพานข้ามไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่อนซุงขนาดใหญ่หลากทะลักมาจากภูเขาที่ไหนสักแห่ง เมื่อน้ำหลากหลายสายไหลมารวมกันในพื้นที่พันไร่ เวิ้งน้ำปะทะสีเทาของท้องฟ้ายามเย็นหม่นเศร้าขณะสีทองสุดท้ายก็เหมือนประกายความหวังของชีวิต ฉันอิ่มเอมรับสัมผัสความเงียบไว้อย่างท่วมท้น หากความเหงาก็ค่อยๆ เอื้อมมือมาสัมผัสและโอบกอดอย่างไว้ใจ โอบกอดแม่น้ำ โอบกอดท้องทะเล ลำเรือ และโอบกอดต้นไม้ที่อาศัยอยู่ในน้ำ ฝูงปลาที่แหวกว่ายอย่างร่าเริง มหกรรมชีวิตบรรเลงด้วยเสียงเรือนแพคุยโขมงโฉงเฉงถึงฝูงปลาที่จับได้

วันที่อาโปมาถึงนั้น เขามากับเด็กๆ อีกสิบคน แต่ละคนตัวเล็ก ผอมและผมเผ้ายุ่งเหยิง บ้างเหงื่อไคลไหลตลอดเวลา บางคนที่เป็นคราบแห้งกรังบนใบหน้าคล้ายคราบน้ำตาแห้งแล้ว เขรอะค้างอยู่บนผิวที่ไม่ได้ล้างมาเลย กี่วัน…น่าจะราวสามวัน วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่ฝั่งรัฐกะเหรี่ยงมีเสียงปืนใหญ่ติดต่อกัน มันสะเทือนข้ามมาถึงฝั่งไทย แม้ดอยแม่ลายจะขวางกั้นสองรัฐไว้ แต่ก็ยังรู้สึกว่ากระเพื่อมถึงน้ำในทะเลสาบ

ดอยแม่ลายขวางทะเลสาบและเทือกเขาทอดยาวตั้งแต่ตะเข็บชายแดน ยาวเหมือนเส้นทางเดินหนีตายของคน ยาวเหมือนเส้นมนุษยชาติเที่ยวแบ่งแยกความเป็นคนมาเนิ่นนาน

ฉันมองพวกเด็กๆ ที่จะกลายเป็นนักเรียนของฉัน ใครหนอวาดผ้าขาวบางให้ปนเปื้อน

ฉันพาเด็กๆ ไปเล่นน้ำ ให้เหงื่อไคลไหลลงไปปนกันกับน้ำในทะเลสาบ แต่พอเสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้นไกลๆ ฟังอย่างไรก็เป็นเสียงปืน พวกเด็กๆ พยายามวิ่งขึ้นแม่น้ำ พวกเขาคุ้นชินกับการวิ่งไปที่หลุมหลบภัยที่ไหนสักแห่ง ฉันตะโกนออกไปว่า ไม่เป็นไร ที่นี่ลูกกระสุนมาไม่ถึง พวกเด็กๆ มองหน้าฉันอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก

เวลานั้น ฉันได้ย้ายมาจากโรงเรียนเรือนแพเพื่อมาสมทบกับเด็กๆ ที่หมู่บ้าน อาคารเรียนชั้นล่างเป็นที่พักทั้งชาวบ้านและพวกเด็กๆ หมู่บ้านของเรามีคนไม่มาก นับได้ราวร้อยกว่าคนเท่านั้น แต่การกระจัดกระจายทำให้เกิดอันตรายกว่าการอยู่รวมกัน พวกหมาและแมวมาอยู่ด้วยในบริเวณเดียวกัน ส่วนวัวควายอยู่ท้ายโรงเรียน ทั้งที่ไม่รู้ว่าโรงเรียนจะกลายเป็นเป้าหมายหรือไม่ แต่ที่นี่ก็มีดอยแม่ลายขวางกั้นแสดงอาณาเขต ที่พวกเราคิดว่าไม่มีใครรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทย ความมหัศจรรย์ของเขตแดนนั้นยังเป็นอาญาศักดิ์สิทธิ์ ที่เพื่อนตามชายแดนฝั่งโน้นก็คิดว่าจะไม่มีกองกำลังทหารรุกล้ำเข้ามา ประชาชนรัฐกะเหรี่ยงเหมือนเพื่อนบ้าน แต่กองกำลังทหารพม่าเป็นผู้รุกราน แต่ฉันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งใดคือการมีชีวิตที่ดีของผู้คนที่นี่ ชีวิตที่ปราศจากสงคราม ประเทศชาติ ความรักใดถักทอมนุษยชาติ

ปืนยิงฟานด้วยลูกตะกั่วของโจก็กลายเป็นอาวุธป้องกันตัวของเขา ทั้งที่ไม่มีทางรู้ว่ามันปกป้องได้จริงหรือไม่ แต่ความอุ่นใจก็ทำให้เขากระชับปืนไว้แนบตัวตลอดเวลา

โจมองหน้าฉันอย่างรู้ทัน เขาย่นคิ้วสองข้างเข้าหากัน พวกมันไม่มีทางข้ามดอยแม่ลายมาได้หรอก คุณครูไม่ต้องกลัว ก่อนหน้านี้ที่นี่ไม่มีปัญหานี้เกิดขึ้น แต่เมื่อการล่าถอยของผู้คนไกลออกจากเดิม ญาติๆ ของโจก็เหมือนพี่น้องของขุนเขาเดียวกัน ลูกพี่ลูกน้องของโจแต่งงานไปกับหญิงชาวกะเหรี่ยงที่ค้าขายตรงด่าน เกิดลูกหลานอีกนับไม่ถ้วน พวกเขามีบ้านทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ไม่เคยล่วงรู้ว่าอาณาเขตทำให้เราแตกต่างหรือเหมือนกัน ใช้ชีวิตทำมาหากินร่วมกัน โจเป็นคนขับรถขนปลาจากทะเลสาบไปส่งให้กับญาติ นำไปค้าขายระหว่างด่านชายแดนสองฝั่ง ความสุขในวันรวมญาติในวันสงกรานต์เป็นความสนุกสนานที่เราต่างเฝ้ารอ ขนมถาดที่ทำขึ้นจากการช่วยกันกวนแป้ง มะพร้าว น้ำตาลและอ้อยให้เหนียวหนืด เป็นความทรงจำที่เอร็ดอร่อย

ที่นี่คือบ้าน ที่นี่คือสายธารของชีวิต ทุกคนรักที่นี่ และทุกคนก็ชอกช้ำ

ฉันเห็นเด็กหญิงมะปิ่นที่จับเท้าตัวเองไว้ มีเลือดออกนี่ ฉันรีบอุ้มเด็กหญิงที่ผอมบางจนแทบจะจับกระดูกได้ขึ้นหลังไปที่ห้องพยาบาล เท้าของเธอแตกจนเป็นแผล รองเท้าของเธอหายไปในระหว่างเดินทางมาที่นี่

เด็กชายอาโปเล่าว่า…โมกับปาของเขาไปส่งของที่ฝั่งโน้น ข้ามไปหลายวัน พวกเขาไปพักกับญาติไม่ทันข้ามกลับมา เขาอยู่ลำพังกับหมาสองตัว และฝูงไก่ เขาโตแล้วไม่อยากทิ้งไก่ แต่สุดท้ายอาโปก็ต้องตัดสินใจ เขาหวังว่าไก่ทุกตัวจะยังคงรอเขาอยู่ที่บ้าน จนกว่าโมกับปาจะกลับมา อาโปพบมะปิ่นที่เดินเท้าเปล่าไปศูนย์อพยพ เขาจึงให้รองเท้าแก่มะปิ่น แต่เธอคิดว่า ทำแบบนั้นไม่ได้ สุดท้ายอาโปจึงให้มะปิ่นขี่หลังเดินมาเรื่อยๆ มันหายไปตั้งแต่ออกจากเมียวดีแล้วค่ะ มะปิ่นเล่าว่ารองเท้าของเธอหายไปตอนที่เธอพยายามวิ่งเท้าเปล่าหนีเสียงปืนมาเรื่อยๆ เท้ามันแตกแบบนี้มานานแล้ว มันหายและกลับมาปริแตกอีกซ้ำๆ

ฉันพูดว่า ดีไม่เป็นหนอง ต่อจากนี้ให้ทำแผลทุกวันจนกว่าจะหาย เข้าใจไหม ฉันจับหัวของมะปิ่นเบาๆ เธอยิ้มขึ้นมา ฉันรู้สึกเหมือนรอยยิ้มนั้นมีค่าเหลือคณา นึกถึงภาพบ้านเกิดของมะปิ่น ท้องฟ้าเป็นสีเทาและเบื้องล่างภายใต้ผืนฟ้าคือไร่ข้าวโพดสีเขียวเย็นตาทอประกายทอดแผ่ไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา

“อาโป เธอเก่งมาก” ฉันเอ่ยชมแต่อาโปไม่ได้ยิ้ม ใบหน้าเรียบเฉยของเขาเหมือนคนเดินทางผ่านชีวิตมายาวนาน นานเหมือนโลกเคลื่อนไหวอย่างไม่เต็มใจ และปรารถนาอยากมีชีวิตธรรมดาสามัญ ปลูกข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ ทำไร่ทำนา

ริมทะเลสาบมีแค่ลมใบไม้พัดไปมา ฉันอยู่ที่นี่ สวยงามและฉันรักที่นี่ เมื่อสงครามเกิดขึ้น หนีไม่พ้นที่ฉันจะเกลียดที่นี่ ไฟคุกรุ่นในใจของฉันจะมอดดับวันใด ฉันยังไม่รู้…ฉันรู้เพียงว่า ฉันยังอยู่ที่นี่

รักที่นี่และสุดแสนจะชอกช้ำ •