6 อรหันต์ชิงประมุขบอลไทย ‘มาดามแป้ง’ จ่อนั่งแบบแบเบอร์

ปิดรับสมัครกันไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการชิงชัยตำแหน่ง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งบทสรุปคือมีคนลงชิงชัยถึง 6 คน และมาครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ, ผู้บริหารเก่า, แฟนบอล, นักฟุตบอลเก่า หรือแม้กระทั่งสื่อรุ่นเก๋าก็ตาม

แน่นอนว่าคนแรกสุดก็คือ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ซีอีโอบริษัท เมืองไทย ประกันภัย จำกัด ในฐานะประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟซี และผู้จัดการทีมชาติไทยชุดใหญ่, “ป๊อก” วรงค์ ทิวทัศน์ อดีตเลขานุการ บริษัท ไทยลีก จำกัด, “พอลลีน” พยุริน งามพริ้ง อดีตผู้ก่อตั้งกลุ่มเชียร์ไทยพาวเวอร์, ธนศักดิ์ สุระประเสริฐ อุปนายกสมาคม ชุดปัจจุบัน, สุรชัย นิวาสพันธุ์ อดีตนักฟุตบอลและโค้ช และคนสุดท้ายที่มาแบบม้ามืด ก็คือ “อ๋อ วังโอ่ง” คมกฤช นภาลัย อดีตผู้สื่อข่าวสายฟุตบอลไทยระดับปรมาจารย์

ส่วนตำแหน่งอื่นๆ นั้น อย่างอุปนายก มีคนสมัครทั้งหมด 18 คน ส่วนกรรมการกลาง มีสมัคร 47 คน โดยใน 47 คนแบ่งเป็นกรรมการกลางสำหรับสตรี 5 คน

เมื่อมาแยกย่อยดูแล้ว คนที่สมัครแบบครบทีม 19 ตำแหน่ง มีแค่ทีมงานของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ และ “บิ๊กตุ๋ย” ธนศักดิ์ เท่านั้น

ส่วนทีมของพอลลีน ขาดกรรมการกลาง 1 ตำแหน่ง ขณะที่ทีมของวรงค์ตั้งใจส่งไม่ครบ 19 คน เนื่องจากต้องการเว้นตำแหน่งเอาไว้ให้ตัวแทนของแต่ละลีกได้ส่งคนมาร่วมบริหารลีกละ 1 คน

ทว่า อีก 2 คนอย่าง สุรชัย กับ คมกริช มาแบบเดี่ยวๆ ไม่มีทีมงานร่วมด้วย

 

สําหรับขั้นตอนต่อไปนั้น คณะกรรมการการเลือกตั้ง จะเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครทั้งหมด ก่อนจะประกาศชื่อผู้สมัครที่คุณสมบัติผ่านทั้งหมด ก่อนวันที่ 9 มกราคม 2567 หรือ 30 วันก่อนวันเลือกตั้ง รวมถึงสโมสรผู้ที่มีสิทธิออกเสียงทั้ง 73 เสียงด้วย

เมื่อดูแค่การเปิดตัวทีมงานออกมา หลายฝ่ายก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทีมมาดามแป้ง จะเป็นผู้ชนะแบบนอนมา และมาดามแป้งจะได้เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่เป็นผู้หญิงคนแรกของประเทศไทย

ว่ากันตามกระบวนการต้องไปลุ้นกันในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 คนที่จะตัดสินอนาคตของวงการฟุตบอลไทยคือ โหวตเตอร์ทั้งหมด 73 เสียง มาจาก ไทยลีก 1 16 เสียง / ไทยลีก 2 18 เสียง / ไทยลีก 3 อันดับ 1-5 จาก 6 โซน รวม 30 เสียง / แชมป์อเมเจอร์ลีก 1 เสียง / แชมป์-รองแชมป์ ฟุตซอลลีก 2 เสียง (นับผลงานฤดูกาลที่กำลังจะจบลง) / แชมป์-รองแชมป์ ฟุตบอลหญิง 2 เสียง / แชมป์ฟุตซอลหญิง 1 เสียง / แชมป์ฟุตบอลชายหาด ทีมชาย-หญิง 2 เสียง / สมาคมนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ 1 เสียง

แต่ถ้าส่องจากทีมงานของมาดามแป้งทั้ง 20 คน รวมที่ปรึกษาอย่าง “บิ๊กเน” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แล้วนั้น ปรากฏว่าในทีมงานดังกล่าว มีถึง 12 คนด้วยกัน ที่มาจากสโมสรที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง จากเสียงเลือกตั้งทั้งหมด 73 เสียงด้วยกัน

โดย 12 เสียงดังกล่าว ประกอบด้วย นวลพรรณ ล่ำซำ จากการท่าเรือ เอฟซี, ประมูลชัย นพสุวรรณวงศ์ จากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ปวิณ ภิรมย์ภักดี จากบีจี ปทุม, อรรณพ สิงห์โตทอง จากชลบุรี, วิลักษณ์ โหลทอง จากเมืองทอง, มิตติ ติยะไพรัช จากสิงห์ เชียงราย, ทรงเกียรติ ลิ้มอรุณรักษ์ จากพีที ประจวบ

ธนวัชร นิติกาญจนา จากราชบุรี, อนุรุทธิ์ นาคาศัย จากชัยนาท ฮอร์นบิล, กฤษยา ภู่มงคลสุริยา จากหนองบัว พิชญ, พ.ต.ท.ม.ล.กิติบดี ประวิตร จากสโมสรราชประชา และ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน จากดรากอน ปทุมวัน กาญจนบุรี

ตามข้อบังคับลักษณะปกครองฯ ข้อ 30.4 ระบุว่า “กรณีมีผู้สมัครในตำแหน่งนายกและอุปนายกจำนวน 2 คนขึ้นไป จะต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงลงคะแนนซึ่งอยู่ในที่ประชุม” นั่นหมายความว่า จาก 73 เสียงที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง หากใครได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง (37 เสียง) จะชนะการเลือกตั้งทันที

ทำให้ตอนนี้ มาดามแป้งต้องการอีก 25 เสียง จะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้

วิเคราะห์ตามเนื้อผ้า เมื่อเห็น 3 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการฟุตบอลมาร่วมกัน ทั้งเนวิน-นวลพรรณ-ปวิณ ว่ากันว่า 3 คนนี้สามารถควบคุมเสียงของสโมสรเอาไว้ได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง เหตุผลมาจากทั้ง 3 คนเข้าไปเป็นผู้สนับสนุนสโมสรต่างๆ อยู่ (มองจากทีมที่คาดอกด้วยสิงห์, ลีโอ, เมืองไทยประกันภัย) ก็มองภาพออกแล้วว่าบรรดาทีมเหล่านั้นไม่กล้าแตกแถวไปเลือกแคนดิเดตรายอื่น

ฉะนั้น การเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลครั้งนี้ใช้ได้ทั้งคำว่า แลนด์สไลด์, นอนมา, แบเบอร์ อย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่า สิ่งที่เป็นคำถามคือ การรวมหัวกะทิเข้ามาขนาดนี้ จะช่วยแก้ปัญหาวงการฟุตบอลไทยได้หรือไม่?

เพราะว่ากันตามตรง ตอนนี้ฟุตบอลไทยมองไปทางไหนก็เจอกับปัญหา ทั้งในส่วนของทีมชาติและเยาวชน ที่ขาดการพัฒนาอย่างเป็นระบบ แม้ว่าผู้บริหารชุดที่ผ่านมาพยายามลองแล้วหลายระบบ หลายรูปแบบ แต่มันยังไม่เห็นผล จนตอนนี้ถูกชาติอาเซียนแซงไปแล้วด้วยซ้ำ

ไม่ใช่แค่ฟุตบอลชาย เพราะยังมีฟุตบอลหญิง, ฟุตซอล หรือฟุตบอลชายหาด ที่ต้องการคนเอาใจใส่และพัฒนาขึ้นมาอย่างเป็นระบบ

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่คือ เรื่องสิทธิประโยชน์ฟุตบอลลีกที่สาละวันเตี้ยลงไปเรื่อยๆ จากที่เคยมีมูลค่าหลักพันล้าน ตอนนี้เหลือเพียง 0 จนทำให้สโมสรต้องออกมาหาเงินกันเอง ทั้งการขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดด้วยตัวเอง หรือการไม่มีเงินสนับสนุนจากสมาคม

 

นี่แค่ 2 ปัญหาใหญ่ๆ แต่ก็เป็นภาพใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลที่ผู้บริหารชุดใหม่จะต้องรีบเข้ามาแก้ไขปัญหา

ถ้ารวมเอาหัวกะทิมาลงเรือลำเดียวกันแล้วยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็คงจะไม่มีใครทำได้แล้วอีกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จำเป็นจะต้องให้ทีมงานชุดใหม่เลย คือเรื่องของเวลา เพราะทุกอย่างไม่สามารถเนรมิตให้ดีได้ภายในวันเดียว ต้องมีการวางรากฐาน ให้มันเติบโตขึ้นมาเป็นลำดับขั้น

โดยที่สุดท้ายตัวชี้วัดความสำเร็จ อยู่ที่ฟุตบอลทีมชาติไทยทุกชุด เท่านั้น •

 

เขย่าสนาม | เด็กเก็บบอล

[email protected]