ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 ธันวาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
หลังจากที่ครองแชมป์การเป็นประเทศที่ผลิตฝิ่นมากที่สุดในโลกมายาวนาน ล่าสุด ปีนี้ “อัฟกานิสถาน” สูญเสียตำแหน่งแชมป์ดังกล่าวให้กับ “เมียนมา” เป็นที่เรียบร้อย
โดยรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ระบุว่า ปี 2023 เมียนมา กลายเป็นประเทศที่เป็นแหล่งผลิตฝิ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าประเทศอัฟกานิสถาน เนื่องจากสถานการณ์รุนแรงในประเทศและการลดการเพาะปลูกลง
UNODC ระบุว่า อัฟกานิสถานผลิตฝิ่นลดลงไปถึง 95 เปอร์เซ็นต์ หลังจากกลุ่มทาลิบัน ที่ขึ้นปกครองประเทศอัฟกานิสถาน และมีความเคร่งครัดด้านศาสนาอิสลาม ได้สั่งแบนยาเสพติดเมื่อปี ค.ศ.2022 และประกาศจะกำจัดการผลิตยาเสพติดผิดกฎหมายให้หมดจากประเทศให้ได้
ในขณะที่อัฟกานิสถาน เหมือนจะประสบความสำเร็จในการหยุดยั้งการปลูกฝิ่น แต่ทาลิบันก็ยังไม่มั่นใจว่า ความสำเร็จนี้จะยั่งยืนหรือไม่
โดยนายซาบิฮัลลาห์ มูจาฮิด โฆษกของทาลิบัน บอกกับเอเอฟพีว่า การปลูกฝิ่นจะต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก แต่ก็รู้ดีถึงชะตากรรมของผู้ปลูกทั้งหลายที่ถูกบังคับให้เปลี่ยนมาปลูกพืชผลที่กำไรน้อย
“ตอนนี้ (การปลูกฝิ่น) เริ่มหยุดการเติบโตแล้ว แต่ในอนาคตไม่สามารถรับรองได้ เนื่องจากผู้คนกำลังเผชิญกับปัญหาหลายอย่าง” มูจาฮิดกล่าว
ขณะที่ประเทศเมียนมา สถานการณ์ทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพ เนื่องจากการรัฐประหารเมื่อปี 2021 ทำให้เกษตรกรหันมาปลูกฝิ่นกันมากขึ้น จนกลายเป็นอันดับ 1 ของโลกไปเรียบร้อย
รายงานของ UNODC ระบุด้วยว่า ปัจจุบัน เกษตรกรชาวเมียนมามีรายได้จากการปลูกฝิ่นมากถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ราคาเฉลี่ยของฝิ่นตอนนี้สูงขึ้นไปอยู่ที่ราว 355 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม และมีการปลูกฝิ่นเพิ่มมากขึ้นราว 18 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกันปีต่อปี จาก 450 ตารางกิโลเมตร เป็น 470 ตารางกิโลเมตร
เป็นการเพิ่มศักยภาพในการผลิตฝิ่นที่สูงที่สุดของเมียนมา นับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา!!
โดยในปี 2023 เมียนมาสามารถผลิตฝิ่นได้มากถึง 1,080 ตัน จากที่ปีก่อนหน้า ผลิตได้ 790 ตัน ขณะที่อัฟกานิสถาน ผลิตฝิ่นได้ราว 330 ตัน!!
เจเรมี ดักลาส ผู้แทนประจำภูมิภาคของ UNODC กล่าวว่า การหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงและการปกครอง ที่เกิดขึ้นหลังจากการเข้ายึดอำนาจของทหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2021 ยังคงผลักดันให้เกษตรกรในพื้นที่ห่างไกล หันไปหาเลี้ยงชีพจากฝิ่น และการต่อสู้ระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มกองกำลังของชนกลุ่มน้อย อาจจะยิ่งทำให้การปลูกฝิ่นแผ่ขยายออกไปมากขึ้น
รายงานของ UNODC ระบุด้วยว่า พื้นที่การปลูกฝิ่นได้แผ่ขยายออกไปส่วนใหญ่บริเวณชายแดนของเมียนมา ที่ตอนเหนือของรัฐฉาน ตามด้วยรัฐชิน และรัฐคะฉิ่น ขณะที่มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับฝิ่นในเมียนมา ได้เพิ่มขึ้นไปถึง 1,000-2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 1.7 ถึง 4.1 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2022 ของเมียนมา
โดยเฉพาะรัฐฉานเพียงรัฐเดียว ก็มีการปลูกฝิ่นมากถึง 88 เปอร์เซ็นต์ของการปลูกฝิ่นทั้งประเทศเมียนมา!!
UNODC ระบุอีกว่า การเพาะปลูกฝิ่นในเมียนมา มีความซับซ้อนมากขึ้น ด้วยการลงทุนที่เพิ่มขึ้นและแนวทางปฏิบัติที่ดีขึ้น รวมไปถึงการชลประทานที่ดีขึ้น และการใช้ปุ๋ย ที่ส่งผลให้ผลผลิตพืชเพิ่มมากขึ้น
แม้ว่าจะเป็นที่ตราหน้าเรื่องการผลิตฝิ่นที่เพิ่มมากขึ้น หากแต่นักวิเคราะห์ระบุว่า รัฐบาลทหารของเมียนมา ไม่ได้ “ซีเรียส” ที่จะหาทางยุติการค้ายาเสพติดที่มีอย่างกว้างขวางของเมียนมา ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หัวหน้าคณะกรรมาธิการกลางควบคุมยาเสพติด ของเมียนมา ได้ออกมายอมรับอย่างที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นว่า ความพยายามในการปราบปรามการค้ายาเสพติดของเมียนมานั้น ไม่ได้เกิดผลกระทบอะไรเลย!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022