ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 ธันวาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | คำ ผกา |
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
ยูเนสโกประกาศให้งานสงกรานต์ของไทยเป็นมรดกโลกในหมวดของ intangible heritage แปลเป็นไทยว่าจับต้องไม่ได้ก็จะแปลกๆ หน่อย แต่มันหมายถึงภูมิปัญญา วิถีชีวิต การกินอยู่ อาหาร หรืออะไรที่ไม่ใช่โบราณวัตถุ โบราณสถาน
หรืออาจกล่าวได้ว่า วัฒนธรรมที่ดำรงอยู่กับผู้คน มีชีวิต เปลี่ยนแปลงได้ เพราะมันยังไม่ “ตาย” ไม่เหมือน heritage ที่เป็นโบราณสถาน ที่หมายถึงสถานที่อัน “ตาย” ไปแล้วจึงไม่เติบโต เปลี่ยนแปลงอีก
ก่อนหน้านั้นยูเนสโกประกาศให้โขน โนรา และนวดไทย เป็นมรดกโลกในหมวดหมู่นี้มาแล้ว
และเราต้องเข้าใจอีกว่านี่ไม่ใช่การประกวดประขันว่าภูมิปัญญา วัฒนธรรมของชาติไหนดีกว่าชาติไหน
การประกาศยกย่องก็คือการประกาศยกย่อง ไม่ได้ว่าเราดีกว่าใคร เป้าหมายของยูเนสโกก็คืออยากให้ทุกวิถีวัฒนธรรมภูมิปัญญาของทุกชาติทุกภาษาได้รับการยกย่อง ได้รับการเผยแพร่
อยู่ในธีมโลกสวยแบบยูเนสโก นั่นคือโลกทั้งผองพี่น้องกันนั่นแหละ
สอดคล้องกับที่คณะกรรมการซอฟต์เพาเวอร์ประกาศให้เดือนเมษายนทั้งเดือนเป็นเทศกาลสงกรานต์
และหากเราเชื่อมโยงเรื่องนี้กับ 11 อุตสาหกรรมที่รัฐบาลจะสนับสนุนให้เป็นซอฟต์เพาเวอร์ งานสงกรานต์ก็อยู่ในหมวดของอุตสาหกรรมเทศกาล
ถามว่า รัฐบาลคาดหวังอะไรกับการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น hub ของ festival
ฉันคิดว่าไม่มีอะไรซับซ้อน นอกจากพยายามหารายได้เข้าประเทศจากอุตสาหกรมท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุด?
ถามว่าทำไมต้องเป็นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว?
คำตอบก็ง่ายมาก นั่นคือ หากพิจารณาศักยภาพของประเทศไทยตอนนี้ มันมีอุตสาหกรรมหรือที่พร้อมกดปุ่มสตาร์ต และหาเงินเข้าประเทศได้เลย เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเราเป็นประเทศที่หยุดพัฒนาไปเกือบสิบปีภายใต้รัฐบาลประยุทธ์
เราไม่มีการเจรจาเอฟทีเอ เราไม่มีการออกไปเจรจาการค้ากับใครอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
เราไม่มีการทำงานเชิงรุกเรื่องการสร้างพื้นฐานสำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศ
โครงการ EEC ก็เหมือนมีแต่ชื่อ และนอกจากชื่อก็ไม่มีอะไรให้เก็บเกี่ยวเป็นรายได้ หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเศรษฐกิจการค้าของประเทศ
เมื่อรัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหาร โจทย์แรกที่เจอคือ รายได้ของประเทศน้อยมาก การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเราต่ำมาก หนี้ครัวเรือนของประชาชนสูงมาก
คำตอบจึงเป็นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเราต้องไม่ลืมด้วยว่า โควิด-19 ทำให้เราสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวไปมหาศาล คิดเป็นร้อยละสิบของจีดีพี หรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประเทศไทยเลือกฟื้นฟู หารายได้เข้าประเทศด้วยวิธีนี้
ซึ่งฉันจะยกตัวอย่างสงกรานต์นี่แหละ
เราเคยสงสัยกันไหมว่า สงกรานต์คืออะไรกันแน่ และทำไมเราจึงมีภาพจำว่า สงกรานต์ เท่ากับ เชียงใหม่
ย้อนไปเมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อกำหนดให้วันปีใหม่ตรงกันทุกปีแทนที่จะยึดเอาเป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ของแต่ละปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ ได้กำหนดให้วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ของปี 2432 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่
ลองจินตนาการว่าในยุคที่ไม่มี “สื่อสารมวลชน” เรื่องนี้ก็รับรู้และปฏิบัติกันในวงแคบๆ ในพิธีทางการ
ส่วนชาวบ้านก็ฉลองปีใหม่ในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนห้า ซึ่งแต่ละปี “วัน” ก็จะไม่ตรงกัน
ต่อมาในปี 2477 รัฐบาลในขณะนั้นเห็นว่าทำไมปีใหม่ของเราไม่รื่นเริง ไม่มีเทศกาล เลยประกาศว่า ปีใหม่ทั้งทีเราต้องจัดงานเฉลิมฉลอง (ถ้าเป็นสมัยนี้คงซ้ำคำว่าเราต้อง festive ให้เหมือนอารยประเทศกันหน่อย)
ปี 2479 จึงประกาศให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวัน “ตรุษสงกรานต์” และขอให้ประชาชน หน่วยราชการของทุกจังหวัดจงจัดงานรื่นเริงอย่าได้แผ่ว
ต่อมาในปี 2484 จอมพล ป. ประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ของเราให้เป็นสากลคือ วันที่ 1 มกราคม เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงเรียก “สงกรานต์” ว่าปีใหม่ไทย
อ่านมาถึงตรงนี้จะได้สบายใจกันว่า การกำหนดวันสงกรานต์ก็เป็นเรื่องที่ “ราชการ” ในสังคมที่ก้าวเข้าสู่ความเป็น “ยุคใหม่” กำหนดขึ้นให้ตรงกัน หรือเรียกว่า เมื่อสังคมก้าวสู่ความเป็นสมัยใหม่ก็ต้องมีการ standardization อันเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการมีระบบราชการแบบใหม่
รู้เช่นนี้ก็จะได้ไม่ช็อก ไม่ตกใจ ไม่กรี๊ดกร๊าด หากในสมัยปัจจุบันนี้ เราจะบอกว่า “เอาละ เมษาฯ ทั้งเดือนคือเดือนแห่งการฉลองสงกรานต์”
ที่เชียงใหม่ สงกรานต์ ฉลองกัน 3 วันคือ วันสังขารล่อง วันเนาหรือวันเน่า และวันพญาวัน ปัจจุบันกำหนดเป็นวันที่ 13, 14 และ 15 ตามลำดับ สิ่งที่ทำคือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ เตรียมขนทรายเข้าวัด ทำ “ตุง” หรือธงนักษัตรไปวัด
วันพญาวันก็ทำอาหารยิ่งใหญ่อลังการไปทำบุญ หลังจากนั้นตลอดทั้งเดือนก็ตระเวนไปรดน้ำดำหัว คนเฒ่าคนแก่ เปรียบเสมือนการยกกระเช้าของขวัญไปให้ผู้ใหญ่ของคนสมัยนี้
ส่วนการสาดน้ำนั้นไม่แน่ใจว่าสาดมากหรือน้อยแค่ไหน แต่นี่น่า มันน่าจะเป็นห้วงเวลาแห่งการ “ละเล่น” สนุกสนาน
แต่สงกรานต์ที่เรารู้จักและจดจำกันนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากประเพณีวัฒนธรรมพื้นบ้านใดๆ ช่วงทศวรรษที่ 2520 เป็นช่วงที่ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่มีรัฐบาลมาบริหารประเทศหลังเกิดวิกฤตการเมือง 6 ตุลาคม
พูดง่ายๆ ว่า ปราบนักศึกษา คอมมิวนิสต์เสร็จ รัฐบาลก็เร่งสร้างความชอบธรรมด้วยนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว
จังหวัดเชียงใหม่จัดทั้งงานสงกรานต์ งานแห่ไม้ดอกไม้ประดับ สงกรานต์นั้นทำขบวนแห่ ขบวนช่างฟ้อน วงดนตรีพื้นเมือง วารสาร อสท. เข้ามาถ่ายทำสารคดี
งานสงกรานต์เชียงใหม่ มีภาพคนเล่นน้ำ ห้อยคอด้วยพวงมาลัยดอกมะลิ และมีภาพคนเชียงใหม่เล่นน้ำในตัวเมืองกันอย่างสนุกสนาน
ภาพจำวันสงกรานต์กับเชียงใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้น และกลายเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว กลายเป็นอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ ที่คนเชียงใหม่เองก็สนุกสนาน จริงจังกับมันเพราะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันเป็นเทศกาลที่โคตรสนุก จะมีอะไรสนุกไปกว่าในวันที่อากาศร้อนที่สุด เราได้ปล่อย “จอย” เล่นน้ำ สาดน้ำ ได้เฟลิต ได้หยอก ได้เจ้าชู้ใส่กัน หรือแม้แต่เล่นกันแรงๆ แบบไม่มีใครโกรธใคร
และการได้สาดน้ำใส่คนแปลกหน้าพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ก็เป็นสิ่งที่สนุกและ “ปลดปล่อย” เราทุกคนออกจากความตึงเครียดในชีวิตประจำวัน
ดังนั้น เทศกาลสงกรานต์จึงเป็น artifact มาตั้งแต่ต้น เป็นผลผลิตของราชการ เป็นสิ่งประดิษฐ์เพื่อเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวและการสร้างรายได้มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 2520 แล้ว
การเป็น artifact ของมันก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ท้ายที่สุดคนท้องถิ่นก็สมาทานเอาสิ่งนี้มาเป็นอัตลักษณ์ ประดิษฐ์ต่อ สร้างเสริมเติมแต่งอะไรเข้าไปใหม่ไม่มีที่สุด
สงกรานต์จึงมีทั้งส่วนที่เป็น invention ของราชการ ของเอกชน ของกะเทย ของวัด-พระ และกลุ่มศิลปินพื้นบ้านที่ขยันสร้างความตระการตาใหม่ๆ ออกมาอย่างไม่จบสิ้น
เราจึงเห็นสงกรานต์ที่ถนนข้าวสาร ข้าวเจ้า ข้าวนึ่ง สร้างกันขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยๆ
แม้จะอ้างว่าเป็นประเพณี แต่ความหมายหรือหน้าที่ของมันในโลกทุนนิยมสมัยใหม่คือการสร้างเทศกาลให้คนได้มาสนุกร่วมกันในพื้นที่สาธารณะ
สร้างความคึกคักทางเศรษฐกิจและดึงดูดการท่องเที่ยว
การประกาศให้เดือนเมษายน เป็นมหกรรมสงกรานต์กันตลอดเดือน จึงไม่ใช่เรื่องใหม่เลย สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ เราจะมีความสามารถทำให้มันสนุกได้แค่ไหน หรือเรามี “กึ๋น” ที่จะครีเอตเทศกาลสงกรานต์ให้ถูกใจนักท่องเที่ยวได้อย่างไร เพราะเอาเข้าจริงๆ ความสนุกของสงกรานต์ขึ้นอยู่กับตัว “นักท่องเที่ยว” เองที่มาสร้างสีสันแปลกๆ ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นดนตรี เพลง เสื้อผ้า แฟชั่น ปืนฉีดน้ำ บรรยากาศคาร์นิวัลที่ทุกคนรู้สึกว่าสามารถนุ่งน้อยห่มน้อย หรือแต่งตัวแปลกๆ ได้อย่างสนุก และที่สำคัญคือปลอดภัย
ฉันคิดถ้าเราจะมีสงกรานต์ตลอด 1 เดือน สำหรับฉันไม่มีอะไรที่ต้องตกใจเลย มีแค่จะต้องลุ้นว่า เราจะทำได้สนุกแค่ไหน ตื่นตาตื่นใจจนเป็นที่ชื่นชอบรอคอยของนักท่องเที่ยวแค่ไหน
ที่สำคัญ เราจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเรื่องการเดินทาง ที่พัก ความปลอดภัย หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่างห้องน้ำสาธารณะ ถังขยะ การจัดเตรียมความพร้อมเรื่องการแยกขยะ การจัดการกับขยะ สิ่งแวดล้อม การอำนวยความสะดวกแก่ร้านค้า
สตรีตฟู้ดที่เราใฝ่ฝันอยากให้เป็น soft power เราสร้างอะไรไว้รองรับสำหรับมาตรฐานทางสุขาภิบาลของเรื่องเหล่านี้แล้วแค่ไหน เพราะโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้แหละจะการันตีความยั่งยืนของอุตสาหกรรม festival ที่สำคัญที่สุด
ฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่เฝ้ามองว่า festival จะไม่ใช่ความสนุกสนาน เม็ดเงิน และนักท่องเที่ยว แต่หมายถึงการมีโครงสร้างพื้นฐานของเมืองและการจัดการเมืองที่ดี เป็น “ทุน” ทางคุณภาพชีวิตระยะยาวของประชาชนด้วย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022