อย่าให้ถึงจุดที่การตระบัดสัตย์เป็นแบรนด์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/

 

อย่าให้ถึงจุดที่การตระบัดสัตย์เป็นแบรนด์

 

เผลอแป๊บเดียวคุณเศรษฐา ทวีสิน ก็เป็นนายกรัฐมนตรีมาครบ 100 วัน แต่ตรงข้ามกับความตีฟูที่คุณเศรษฐาแถลงข่าวปั่นตอนเป็นนายกฯ ได้เดือนเดียว วาระคุณเศรษฐาครบ 100 วันผ่านไปแบบเงียบเชียบขั้นไม่มีใครพูดถึงเลย ไม่เว้นแม้แต่ลูกน้องคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในทำเนียบ หรือคนของคุณทักษิณ ชินวัตร ในพรรคเพื่อไทย

ผู้อ่านที่ช่างสังเกตย่อมเห็นว่าผมจงใจพูดถึงลูกน้องคุณยิ่งลักษณ์และคนของคุณทักษิณโดยไม่มีคำว่า “ลูกน้องคุณเศรษฐา” เลย เพราะพรรคเพื่อไทยทำให้เกิดระบบ “1 ประเทศ 2 นายกฯ” ที่คุณแพทองธาร ชินวัตร ยกระดับจากหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยเป็นหัวหน้าพรรคที่มีคุณเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี

สำหรับพรรคเพื่อไทย, ส.ส.พรรค และคณะรัฐมนตรีทุกคน คำถามของระบบนี้คือใครใหญ่กว่ากันระหว่างคุณแพทองธารซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค กับคุณเศรษฐาซึ่งเป็นสมาชิกพรรคแต่เป็นนายกฯ และถ้ามีปัญหาไม่ลงรอยในพรรคหรือในรัฐบาล ใครคือคนที่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะเอาอย่างไร

ยิ่งหากอดีตนายกฯ ทักษิณพ้นโทษในเดือนธันวาคมหลังจากนอนแต่ในห้องวีไอพีของโรงพยาบาลมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม คำถามจะยิ่งยุ่งยากมากขึ้น ใครใหญ่ที่สุดระหว่างคุณแพทองธาร, คุณเศรษฐา และคุณทักษิณซึ่งเป็นพ่อของหัวหน้าพรรคที่เลือกคุณเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี

ถ้าคำถามเรื่องใครใหญ่ที่สุดตอบยากเกินไป คำถามที่ง่ายกว่าระหว่างคุณทักษิณ, คุณแพทองธาร และคุณเศรษฐา ใครคือคนที่มีอำนาจน้อยที่สุดจน ส.ส.และรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลเกรงขามและรับฟังมากที่สุด

ซึ่งคำตอบนี้ไม่มีทางที่จะเป็นคุณทักษิณหรือคุณแพทองธารอย่างแน่นอน

 

อดีตคนสนิทคุณทักษิณหลายคนมักพูดว่าคุณเศรษฐาคล้ายกับคุณทักษิณเรื่อง “ปากไว”

และถ้าถือว่าข้อเสียของความเป็นคนปากไวคือ “ปากพาจน” จนปากอาจสร้างศัตรูเยอะไปหมด

ข้อดีของการปากไวคือทำให้คนฟังรู้ว่าคนพูดคิดอะไรจริงๆ ต่อให้หลังจากนั้นคนพูดจะปฏิเสธคำพูดของตัวเองก็ตาม

ครั้งหนึ่งคุณเศรษฐาเคยพูดกับนักข่าวขณะอยู่กับคุณแพทองธารว่าอยากคุยกับนายกฯ คนไหนดี แม้ต่อมาคุณเศรษฐาจะบอกอ้อมๆ ว่าพูดเป็นเรื่องตลก

แต่คนจำนวนมากเชื่อว่าสถานภาพคุณแพทองธารจะทำให้ประเทศเหมือนมีนายกฯ 2 คน และอาจถึง 3 หากคุณทักษิณได้อิสรภาพในเดือนธันวาคม

เมื่ออำนาจการเมืองมีศูนย์กลางอำนาจที่เป็นจริงอยู่นอกทำเนียบรัฐบาล ประเทศไทยจึงมีรัฐบาลที่การดำเนินนโยบายปรวนแปรตามผู้มีอำนาจตัวจริงของรัฐบาล รวมทั้ง “ดีล” กับผู้มีอำนาจกลุ่มอื่นๆ จนเป็นต้นตอของข้อหา “ตระบัดสัตย์” ที่พรรคเพื่อไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจนปัจจุบัน

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วหรือการ “กู้เงินแจก” ที่คุณเศรษฐา, คุณแพทองธาร ฯลฯ ประกาศตลอดเวลาที่หาเสียงว่าไม่กู้ รวมทั้งรัฐมนตรีจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ก็แถลงต่อสภาว่าไม่กู้ด้วย หัวใจของความสับสนทั้งหมดก็มาจากการตัดสินใจที่เปลี่ยนไปของผู้มีอำนาจตัวจริงเหนือรัฐบาลเท่านั้นเอง

มองในมุมของพรรคเพื่อไทย ข้อกล่าวหาเรื่อง “ตระบัดสัตย์” ไม่เป็นธรรมกับทุกคนในพรรคเพราะฟังแล้วเหมือนพรรคจงใจไม่ทำตามที่หาเสียงกับประชาชน แต่มองในแง่ประชาชน ข้อกล่าวหานี้แสนเป็นธรรมเพราะเป็นการลงปฏักสั่งสอนรัฐบาลต้องทำตามคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชนทุกกรณี

ในด้านหนึ่งข้อกล่าวหา “ตระบัดสัตย์” คล้ายกับการโจมตีนักการเมืองด้วยประเด็นศีลธรรม แต่ในอีกด้าน คำวิจารณ์นี้วางอยู่บนหลักการของระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยอย่างที่สุด เพราะมีรากฐานจากความคิดเรื่อง “สัญญาประชาคม” ที่อำนาจรัฐต้องปฏิบัติตามที่สัญญากับประชาชน

 

ประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงแค่การเลือกรัฐบาล แต่ยังมีความหมายถึง “ระบอบ” ที่อำนาจรัฐเปลี่ยนมือได้จนการใช้อำนาจตามใจชอบของผู้มีอำนาจเกิดขึ้นน้อยที่สุด รัฐบาลที่ไม่ทำตามนโยบายที่หาเสียงจึงเป็นรัฐที่ใช้อำนาจตามใจชอบซึ่งเป็นมิติของระบอบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

“ดีลลับ” คือวลีที่สร้างความฮือฮาตั้งแต่ก่อนคุณทักษิณกลับไทย หัวใจของข่าว “ดีลลับ” คือผู้มีอำนาจตัวจริงของเพื่อไทยคุยกับผู้มีอำนาจตัวจริงฝ่ายอื่นๆ จนบรรลุข้อตกลงให้คุณทักษิณกลับไทยโดยยอมรับว่าผิดแต่ไม่ต้องติดคุกเพื่อแลกกับการข้ามขั้วทิ้งก้าวไกลไปตั้งรัฐบาลกับรัฐบาลเดิม

ทุกคนในพรรคเพื่อไทยปฏิเสธข่าว “ดีลลับ” ตั้งแต่ข่าวนี้ปรากฏขึ้นมา แต่จนถึงวินาทีนี้คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “ดีลลับ” คือกลไกที่ให้กำเนิดและจรรโลงรัฐบาลนี้ทั้งหมด

รวมทั้งเป็นต้นตอของการ “ตระบัดสัตย์” อย่างที่คนจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนี้ในปัจจุบัน

ล่าสุด ข้อเสนอของพรรคก้าวไกลเรื่อง “นิรโทษกรรม” เหยื่อการเมืองทุกฝ่ายก็ถูกพรรคเพื่อไทยต่อต้านแบบไม่มีชิ้นดี ทั้งที่คุณเศรษฐา, คุณแพทองธาร, คุณชัยเกษม นิติสิริ ฯลฯ เคยพูดช่วงเลือกตั้งว่านักโทษทางความคิดไม่ควรติดคุก, พร้อมแก้ 112 และสนับสนุนให้สภาพูดคุยปัญหาคดีการเมือง

ถ้าพรรคเพื่อไทยหลังตั้งรัฐบาลทำอย่างที่พรรคเพื่อไทยพูดเรื่องหาเสียงเลือกตั้ง ข้อเสนอของก้าวไกลเรื่องนิรโทษกรรมคือสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องสนับสนุนอย่างถึงที่สุด เพราะประชาชนที่โดนคดีการเมืองจนติดคุกคือนักโทษความคิดที่ไม่ควรติดแน่ๆ และทุกคนควรได้รับสิทธิประกันตัวสู้คดี

หนึ่งในข้ออ้างของพรรคเพื่อไทยที่ “ตระบัดสัตย์” เรื่องนิรโทษกรรมคือก้าวไกลทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง

แต่ถ้าการนิรโทษสร้างความขัดแย้งจริงๆ ทำไมพรรคเพื่อไทยช่วงหาเสียงเลือกตั้งกลับพูดเรื่องนี้โดยต่อเนื่อง รวมทั้งทุกครั้งที่ใส่เสื้อแดงปราศรัยเรื่องคืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง

 

รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยหลายคนบอกว่าค้านนิรโทษกรรมเพราะบ้านเมืองวันนี้สงบดีอยู่แล้ว แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยช่วงหาเสียงเคยบอกว่าต้องหยุดคดีการเมืองเพื่อแก้ปัญหาบ้านเมือง ทำไมวันนี้พรรคเพื่อไทยกลับยอมรับการมีอยู่ของคดีการเมืองต่างๆ แล้วอ้างว่าการหยุดคดีจะสร้างปัญหาขึ้นมา

คนของพรรคเพื่อไทยบางคนอ้างว่านิรโทษกรรมเป็นการทำเพื่อคนบางกลุ่มมากกว่าคนไทยทุกคน แต่คำพูดนี้เลอะเทอะจนยิ่งพูดยิ่งสะท้อนความหลุดโลกของคนพูด เพราะคนไทยไม่ได้ติดคุกด้วยคดีการเมืองทุกคน นิรโทษกรรมจึงเป็นการทำเพื่อช่วยคนที่ติดคุกมากกว่าคนไม่ได้ติดคุกโดยตัวเอง

สำหรับคนที่ความทรงจำทางการเมืองไม่เสื่อมอย่างที่รัฐบาลพยายามหลอกลวง ข้ออ้างของพรรคเพื่อไทยเรื่องต้านก้าวไกลนิรโทษกรรมคือโศกนาฏกรรมอย่างที่สุด เพราะทุกข้ออ้างที่เพื่อไทยใช้ล้วนเป็นข้ออ้างที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ และ กปปส.ใช้ต่อต้านพรรคเพื่อไทยสมัยคุณยิ่งลักษณ์นิรโทษกรรม

หนึ่งในวลีที่คุณสุเทพ, กปปส. และคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้ล้มล้างรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปี 2557 คือ “นิรโทษกรรมสุดซอย” ซึ่งพรรคเพื่อไทยโหวตกฎหมายนี้ตอนตี 3 และตี 4 โดยเพิ่มเนื้อหาให้คุณทักษิณพ้นผิดทุกคดีในร่างกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมคนเสื้อแดงผู้ชุมนุมปี 2553 ทั้งที่ประกาศตลอดเวลาว่าจะไม่ทำ

ถ้าเพื่อไทยเคยทำถึงขั้นยัดไส้กฎหมายเพื่อให้คุณทักษิณพ้นผิดทุกคดีในปี 2557 จนจบด้วยการรัฐประหารและประชาชนคนเสื้อแดงไม่ได้นิรโทษกรรม พรรคเพื่อไทยวันนี้ย่อมไม่เหลือความชอบธรรมที่จะปฏิเสธร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับก้าวไกลที่ไม่ช่วยนักการเมืองคนไหนเลย

 

ยิ่งพรรคเพื่อไทยต่อต้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของก้าวไกล ภาพลักษณ์เพื่อไทยเรื่อง “ตระบัดสัตย์” ก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเพราะมีเรื่องใหม่ไปสมทบเรื่องอื่นๆ ซ้ำในกรณีนี้ยังอาจถูกกล่าวหาว่าไม่สนใจเรื่องนิรโทษกรรมเพราะคุณทักษิณมีดีลจนหลุดทุกคดีโดยไม่มีใครรู้ว่าเคยติดคุกหรือไม่เลย

ไม่มีใครเข้าใจได้ว่าทำไมเพื่อไทยในปี 2557 กล้าทำ “นิรโทษกรรมสุดซอย” เพื่อให้คุณทักษิณหลุดทุกคดีจนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ล้มและถูกทหารยึดอำนาจ แต่เพื่อไทยในปี 2566 กลับขัดขวางนิรโทษกรรมหลังจากคุณทักษิณหลุดทุกคดีแล้ว เว้นแต่นิรโทษกรรมแบบเพื่อไทยจะทำเพื่อคนคนเดียว

สามเดือนของรัฐบาลผ่านไปเร็วอย่างเหลือเชื่อ แต่ที่ผ่านไปเร็วยิ่งกว่าเวลาคือความเสื่อมศรัทธาต่อรัฐบาลที่พุ่งขึ้นอย่างไม่ควรเป็นในระยะเวลาเพียงแค่สามเดือน