ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ |
ผู้เขียน | หนุ่มเมืองจันท์ |
เผยแพร่ |
ปัญหาเรื่องโครงการแจก “ดิจิทัลวอลเล็ต” 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทยที่มีการถกเถียงกันอย่างหนักในวันนี้
เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยไม่พร้อม
คิดไม่ละเอียด
เพราะตอนนี้ยังไม่สามารถชี้แจงได้ว่า 1. จะเอาเงินมาจากไหน
2. จะใช้เทคโนโลยี “บล็อกเชน” แบบไหน อย่างไร
ตอนแรกที่ฟังการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย รวมถึงการให้สัมภาษณ์ในรายการต่างๆ
ผมค่อนข้างโน้มเอียงไปทางเชื่อมั่นแนวคิดนี้
แม้จะมีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย
ส่วนหนึ่ง เพราะพรรคเพื่อไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีตจากโครงการที่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าจะทำได้
ไม่ว่าจะเป็นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โอท็อป ฯลฯ
แม้จะมีรอยตำหนิครั้งใหญ่จากโครงการจำนำข้าว
ตอนที่คุณเศรษฐา ทวีสิน รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาค่อนข้างมั่นใจกับโครงการนี้มาก
อาจเป็นเพราะได้ร่วมคิดนโยบายนี้ด้วย
คุณเศรษฐาเป็นคนทำงานเร็ว
ตอนอยู่ “แสนสิริ” ได้ฉายาว่า “เศรษฐาหารสอง”
ลูกน้องเสนอโครงการอะไร แล้วบอกว่าจะใช้เวลาเท่าไร
คุณเศรษฐาหารสองเลยครับ
เพราะเขาเชื่อมั่นในเรื่อง “ความเร็ว”
แต่พอมาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาคงรู้แล้วว่าวิธีคิดแบบภาคเอกชนใช้กับงานการเมืองและระบบราชการไม่ได้
วันที่สัมภาษณ์คุณเศรษฐาบนเวที “ไทยรัฐทีวี” ผมถามถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่าเมื่อไรจะให้คำตอบได้ว่าเงินมาจากไหน และระบบบล็อกเชนที่ใช้เป็นอย่างไร
คุณเศรษฐาบอกว่าภายใน 10 วันจะมีคำตอบใน 2 เรื่องนี้
วันที่สัมภาษณ์คือวันที่ 18 กันยายน
10 วันก็คือวันที่ 28 กันยายน
จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านไป 1 เดือนแล้ว
รัฐบาลก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะใช้เงินจากที่ไหน และระบบบล็อกเชนที่จะใช้เป็นอย่างไร
ถ้ามองแบบการเมืองก็อาจมองได้ว่า ถ้าบอกรายละเอียดเร็วเกินไปทั้งที่กว่าจะเริ่มโครงการจริงคือไตรมาสแรกของปีหน้า
บอกวันนี้ก็จะโดนโจมตีไปอีก 5 เดือน
ค่อยบอกตอนใกล้ๆ ดีกว่า
แต่ในอีกมุมหนึ่งย่อมถูกมองว่าที่รัฐบาลไม่ยอมบอก เพราะยังหาคำตอบไม่ได้
ตอนคิดโครงการคงไม่ได้ลงรายละเอียด
พอทำจริงจึงเจอปัญหามากมายที่คิดไม่ถึง
และที่สำคัญก็คือ ไม่คิดว่าจะเจอแรงต้านมากขนาดนี้
แรงต้านที่แรงที่สุด น่าจะเป็นแถลงการณ์ของ 99 นักวิชาการและคณาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์
มีอดีตผู้ว่าการและรองผู้ว่าการแบงก์ชาติหลายคนลงชื่อด้วย
ในขณะที่ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบันก็แสดงท่าทีค่อนข้างชัดว่าไม่เห็นด้วยกับการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการนี้
เขามองว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้ฟื้นตัวแล้ว
เหมือนกับที่แถลงการณ์นักเศรษฐศาสตร์ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.8 ในปีนี้เป็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่น่าพอใจ
ถือว่าฟื้นตัว
2.8 คือดีแล้ว
ผมว่าประเด็นนี้คือปัญหา
เพราะถ้าเทียบเคียงกับประเทศในแถบอาเซียน ไทยฟื้นตัวจากโควิดอยู่ในลำดับท้ายๆ
นักเศรษฐศาสตร์กลุ่มนี้อาจพอใจกับตัวเลข 2.8 แต่พรรคเพื่อไทยประกาศมาตอนหาเสียงว่าเป้าหมายของเขาคือ เศรษฐกิจไทยต้องขยายตัวเฉลี่ย 5%
เพื่อจะได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทในปี 2570
อย่าแปลกใจเลยครับว่าทำไมรัฐบาลกับนักเศรษฐศาสตร์จึงมีความเห็นที่ขัดแย้งกัน
เพราะคนหนึ่งพอใจ 2.8
อีกคนหนึ่งไม่พอใจการขยายตัวทางเศรษฐกิจเท่านี้
และมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานถึง 5
เมื่อเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน
วิธีคิดย่อมไม่เหมือนกัน
คนหนึ่งบอกว่าไม่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจแบบรวดเร็วแล้ว
เราพอใจใน 2.8
แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอม ต้องการขยายตัวให้ได้ 5
เพราะถ้าพอใจกับ 2.8 ก็อยู่กับ “ลุงตู่” ต่อไปดีกว่า
แนวคิดของเขาจึงต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก
เพราะยังไม่ได้ลงมือทำ
แต่ที่น่าสังเกตก็คือ จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครของพรรคเพื่อไทยออกมาชี้แจงเรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ได้อย่างกระจ่างแจ้งสักคนเดียว
ถ้าเป็นภาษามวยก็ต้องบอกว่า เริ่มออกอาการตั้งแต่ยกแรก
น่ากลัวมาก…
มีประเด็นหนึ่งที่ผมอยากตั้งข้อสังเกตจากความขัดแย้งเรื่องนี้
เป็นเรื่องหลัก “กาลามสูตร” ครับ
อย่าเชื่อ เพราะ…
อย่างเช่น มีบางคนไม่เคยอ่านแถลงการณ์เละ แต่เชื่อแถลงการณ์นี้เพราะมีอดีตผู้บริหารแบงก์ชาติหลายคนลงชื่อ
ดังนั้น แนวทางนี้น่าจะถูกต้อง
แต่อย่าลืมนะครับว่าบางครั้งผู้บริหารแบงก์ชาติก็เคยผิดพลาดมาก่อน
ที่หนักที่สุดคือ ตอนปี 2540
เศรษฐกิจไทยพังเพราะผู้บริหารแบงก์ชาติในยุคนั้นนะครับ
เอาเงินสำรองไปสู้ค่าเงินบาทจนประเทศแทบล้มละลาย
ด้วยเหตุผลเดียว คือ เพื่อรักษา “เสถียรภาพ” ของค่าเงิน
ในนามของความปรารถนาดี ก็สามารถทำความผิดพลาดร้ายแรงได้
หรือล่าสุดแบงก์ชาติทำนายอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้
ตอนเมษายนบอกว่าร้อยละ 3.6
สิงหาคมบอกว่า 3 กลางๆ
พอเดือนกันยายนลดเหลือ 2.8
ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ 0.8 หรือ 22%
ลองไปอ่านเหตุผลในคำทำนายเศรษฐกิจในแต่ละช่วงดูสิครับ
สนุกดี
ดังนั้น ถ้าจะเชื่อแถลงการณ์ฉบับนี้ต้องเชื่อเพราะเนื้อหาและเหตุผล
ไม่ใช่เพราะใครเป็นคนเซ็นชื่อ
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกแปร่งๆ มาก คือ การออกมาร่วมวงในเรื่องนี้ของ ป.ป.ช.
รัฐบาลเขายังไม่ทำอะไรเลย
แต่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาติดตามแล้ว
เป็นความกระตือรือร้นที่แตกต่างจากสมัย “ลุงตู่” มาก
ในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองต้องเสนอนโยบายต่อประชาชน
เมื่อได้เป็นรัฐบาล ถ้าจะทำอะไร สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ตรวจสอบ
พรรคการเมืองต้องรับผิดชอบกับประชาชน
ระบบต้องเป็นแบบนี้
องค์กรอิสระไม่ได้รู้ทุกเรื่องนะครับ
จำเรื่องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกับ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทได้ไหมครับ
คุณสุพจน์ ไข่มุกข์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพูดถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงว่าให้ถนนลูกรังหมดจากเมืองไทยเสียก่อน ค่อยทำรถไฟความเร็วสูง
และบอกว่าเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตายไปเกิดใหม่รุ่นลูกหลานยังใช้หนี้ไม่หมดเลย
ครับ นั่นคือ ที่มาของคำว่า “เวลามีราคา” ที่คุณชัชชาติพูดเป็นประจำ
เพราะมูลค่ารถไฟความเร็วสูงที่สร้างในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สูงกว่าตอนที่คุณชัชชาติเสนอโครงการกว่าเท่าตัว
เป็นตัวอย่างที่ดีว่าคนเราไม่ได้รู้ทุกเรื่อง
อย่าลืมว่าความรู้ในโลกนี้มีอยู่ 2 อย่าง
รู้ว่ารู้อะไร
และรู้ว่าไม่รู้อะไร
“อำนาจ” ที่ปราศจาก “ความรู้” น่ากลัวที่สุด •
ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์
www.facebook.com/boycitychanFC
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022