กาลามสูตร

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ปัญหาเรื่องโครงการแจก “ดิจิทัลวอลเล็ต” 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทยที่มีการถกเถียงกันอย่างหนักในวันนี้

เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยไม่พร้อม

คิดไม่ละเอียด

เพราะตอนนี้ยังไม่สามารถชี้แจงได้ว่า 1. จะเอาเงินมาจากไหน

2. จะใช้เทคโนโลยี “บล็อกเชน” แบบไหน อย่างไร

ตอนแรกที่ฟังการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย รวมถึงการให้สัมภาษณ์ในรายการต่างๆ

ผมค่อนข้างโน้มเอียงไปทางเชื่อมั่นแนวคิดนี้

แม้จะมีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย

ส่วนหนึ่ง เพราะพรรคเพื่อไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีตจากโครงการที่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าจะทำได้

ไม่ว่าจะเป็นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โอท็อป ฯลฯ

แม้จะมีรอยตำหนิครั้งใหญ่จากโครงการจำนำข้าว

ตอนที่คุณเศรษฐา ทวีสิน รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาค่อนข้างมั่นใจกับโครงการนี้มาก

อาจเป็นเพราะได้ร่วมคิดนโยบายนี้ด้วย

คุณเศรษฐาเป็นคนทำงานเร็ว

ตอนอยู่ “แสนสิริ” ได้ฉายาว่า “เศรษฐาหารสอง”

ลูกน้องเสนอโครงการอะไร แล้วบอกว่าจะใช้เวลาเท่าไร

คุณเศรษฐาหารสองเลยครับ

เพราะเขาเชื่อมั่นในเรื่อง “ความเร็ว”

แต่พอมาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาคงรู้แล้วว่าวิธีคิดแบบภาคเอกชนใช้กับงานการเมืองและระบบราชการไม่ได้

วันที่สัมภาษณ์คุณเศรษฐาบนเวที “ไทยรัฐทีวี” ผมถามถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่าเมื่อไรจะให้คำตอบได้ว่าเงินมาจากไหน และระบบบล็อกเชนที่ใช้เป็นอย่างไร

คุณเศรษฐาบอกว่าภายใน 10 วันจะมีคำตอบใน 2 เรื่องนี้

วันที่สัมภาษณ์คือวันที่ 18 กันยายน

10 วันก็คือวันที่ 28 กันยายน

จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านไป 1 เดือนแล้ว

รัฐบาลก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะใช้เงินจากที่ไหน และระบบบล็อกเชนที่จะใช้เป็นอย่างไร

ถ้ามองแบบการเมืองก็อาจมองได้ว่า ถ้าบอกรายละเอียดเร็วเกินไปทั้งที่กว่าจะเริ่มโครงการจริงคือไตรมาสแรกของปีหน้า

บอกวันนี้ก็จะโดนโจมตีไปอีก 5 เดือน

ค่อยบอกตอนใกล้ๆ ดีกว่า

แต่ในอีกมุมหนึ่งย่อมถูกมองว่าที่รัฐบาลไม่ยอมบอก เพราะยังหาคำตอบไม่ได้

ตอนคิดโครงการคงไม่ได้ลงรายละเอียด

พอทำจริงจึงเจอปัญหามากมายที่คิดไม่ถึง

และที่สำคัญก็คือ ไม่คิดว่าจะเจอแรงต้านมากขนาดนี้

 

แรงต้านที่แรงที่สุด น่าจะเป็นแถลงการณ์ของ 99 นักวิชาการและคณาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์

มีอดีตผู้ว่าการและรองผู้ว่าการแบงก์ชาติหลายคนลงชื่อด้วย

ในขณะที่ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบันก็แสดงท่าทีค่อนข้างชัดว่าไม่เห็นด้วยกับการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการนี้

เขามองว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้ฟื้นตัวแล้ว

เหมือนกับที่แถลงการณ์นักเศรษฐศาสตร์ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.8 ในปีนี้เป็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่น่าพอใจ

ถือว่าฟื้นตัว

2.8 คือดีแล้ว

ผมว่าประเด็นนี้คือปัญหา

เพราะถ้าเทียบเคียงกับประเทศในแถบอาเซียน ไทยฟื้นตัวจากโควิดอยู่ในลำดับท้ายๆ

นักเศรษฐศาสตร์กลุ่มนี้อาจพอใจกับตัวเลข 2.8 แต่พรรคเพื่อไทยประกาศมาตอนหาเสียงว่าเป้าหมายของเขาคือ เศรษฐกิจไทยต้องขยายตัวเฉลี่ย 5%

เพื่อจะได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทในปี 2570

อย่าแปลกใจเลยครับว่าทำไมรัฐบาลกับนักเศรษฐศาสตร์จึงมีความเห็นที่ขัดแย้งกัน

เพราะคนหนึ่งพอใจ 2.8

อีกคนหนึ่งไม่พอใจการขยายตัวทางเศรษฐกิจเท่านี้

และมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานถึง 5

เมื่อเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน

วิธีคิดย่อมไม่เหมือนกัน

คนหนึ่งบอกว่าไม่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจแบบรวดเร็วแล้ว

เราพอใจใน 2.8

แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอม ต้องการขยายตัวให้ได้ 5

เพราะถ้าพอใจกับ 2.8 ก็อยู่กับ “ลุงตู่” ต่อไปดีกว่า

แนวคิดของเขาจึงต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว

เรื่องนี้ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก

เพราะยังไม่ได้ลงมือทำ

แต่ที่น่าสังเกตก็คือ จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครของพรรคเพื่อไทยออกมาชี้แจงเรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ได้อย่างกระจ่างแจ้งสักคนเดียว

ถ้าเป็นภาษามวยก็ต้องบอกว่า เริ่มออกอาการตั้งแต่ยกแรก

น่ากลัวมาก…

 

มีประเด็นหนึ่งที่ผมอยากตั้งข้อสังเกตจากความขัดแย้งเรื่องนี้

เป็นเรื่องหลัก “กาลามสูตร” ครับ

อย่าเชื่อ เพราะ…

อย่างเช่น มีบางคนไม่เคยอ่านแถลงการณ์เละ แต่เชื่อแถลงการณ์นี้เพราะมีอดีตผู้บริหารแบงก์ชาติหลายคนลงชื่อ

ดังนั้น แนวทางนี้น่าจะถูกต้อง

แต่อย่าลืมนะครับว่าบางครั้งผู้บริหารแบงก์ชาติก็เคยผิดพลาดมาก่อน

ที่หนักที่สุดคือ ตอนปี 2540

เศรษฐกิจไทยพังเพราะผู้บริหารแบงก์ชาติในยุคนั้นนะครับ

เอาเงินสำรองไปสู้ค่าเงินบาทจนประเทศแทบล้มละลาย

ด้วยเหตุผลเดียว คือ เพื่อรักษา “เสถียรภาพ” ของค่าเงิน

ในนามของความปรารถนาดี ก็สามารถทำความผิดพลาดร้ายแรงได้

หรือล่าสุดแบงก์ชาติทำนายอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้

ตอนเมษายนบอกว่าร้อยละ 3.6

สิงหาคมบอกว่า 3 กลางๆ

พอเดือนกันยายนลดเหลือ 2.8

ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ 0.8 หรือ 22%

ลองไปอ่านเหตุผลในคำทำนายเศรษฐกิจในแต่ละช่วงดูสิครับ

สนุกดี

ดังนั้น ถ้าจะเชื่อแถลงการณ์ฉบับนี้ต้องเชื่อเพราะเนื้อหาและเหตุผล

ไม่ใช่เพราะใครเป็นคนเซ็นชื่อ

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกแปร่งๆ มาก คือ การออกมาร่วมวงในเรื่องนี้ของ ป.ป.ช.

รัฐบาลเขายังไม่ทำอะไรเลย

แต่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาติดตามแล้ว

เป็นความกระตือรือร้นที่แตกต่างจากสมัย “ลุงตู่” มาก

ในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองต้องเสนอนโยบายต่อประชาชน

เมื่อได้เป็นรัฐบาล ถ้าจะทำอะไร สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ตรวจสอบ

พรรคการเมืองต้องรับผิดชอบกับประชาชน

ระบบต้องเป็นแบบนี้

องค์กรอิสระไม่ได้รู้ทุกเรื่องนะครับ

จำเรื่องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกับ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทได้ไหมครับ

คุณสุพจน์ ไข่มุกข์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพูดถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงว่าให้ถนนลูกรังหมดจากเมืองไทยเสียก่อน ค่อยทำรถไฟความเร็วสูง

และบอกว่าเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตายไปเกิดใหม่รุ่นลูกหลานยังใช้หนี้ไม่หมดเลย

ครับ นั่นคือ ที่มาของคำว่า “เวลามีราคา” ที่คุณชัชชาติพูดเป็นประจำ

เพราะมูลค่ารถไฟความเร็วสูงที่สร้างในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สูงกว่าตอนที่คุณชัชชาติเสนอโครงการกว่าเท่าตัว

เป็นตัวอย่างที่ดีว่าคนเราไม่ได้รู้ทุกเรื่อง

อย่าลืมว่าความรู้ในโลกนี้มีอยู่ 2 อย่าง

รู้ว่ารู้อะไร

และรู้ว่าไม่รู้อะไร

“อำนาจ” ที่ปราศจาก “ความรู้” น่ากลัวที่สุด •

 

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์

www.facebook.com/boycitychanFC