คณะทหารหนุ่ม (62) | พล.อ.พัลลภ ย้อนเหตุการณ์ยึดอำนาจ พ.ศ.2524 “ผมสับสนฉิบหาย”

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

1 เมษายน พ.ศ.2524
ประมาณ 02.00 น.

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ซึ่งเริ่มตกอยู่ในความสับสนเนื่องจากไม่ทราบสถานการณ์ที่เป็นจริง แต่ได้รับคำสั่งจาก พล.ท.วศิน อิศรางกูล ณ อยุธยา แม่ทัพภาคที่ 1 ให้หยุดกำลังไว้ ณ จุดที่อยู่ในขณะนั้น คือหน้ากรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ บริเวณสะพานแดง บันทึกเหตุการณ์ต่อไปว่า

“พอวางสายจากท่านแม่ทัพวศิน ผมก็โทร.ไปหาชูพงษ์ ชูพงษ์ก็บอก ‘เฮ้ยไม่…ยึดได้เลย ยึดเลยยึดเลย’ ก็เกิดการยึดกันขึ้น ผมก็เอากำลังยึดตามแผน ผมไปยึดสวนรื่นฯ ผมจับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.อ.หาญ ลีนานนท์ พล.ต.วิชาติ ลายถมยา ผมจับขังไว้หมด คณะเขาเปิด บก.สู้ เพราะเขาได้ข่าวมา พี่จิ๋วก็เปิด บก.สู้ แต่โดนผมเอากำลังเข้ายึดจับขังไว้”

“พ.อ.ชาญบูรณ์ มีภารกิจต้องจับ ผบ.ทหารสูงสุด คือ พล.อ.เสริม ณ นคร ที่บ้านของท่านซึ่งอยู่หน้าสวนรื่นฯ เขาไม่กล้าก็มาบอกผมให้ไปช่วยจับ พล.อ.เสริม ผมจับทางนี้เสร็จ ผมเดินข้ามไปเคาะประตู สารวัตรอยู่ในนั้น 10-20 คน เขารู้เหมือนกัน พอตรงช่องกระจก ผมเอาปืนจี้หน้าผากบอก ‘เฮ้ย เปิด เปิดประตู’ ด้วยความกลัวเขาก็เปิด พอเปิดผมเข้าไปล็อกข้างในหมด ผมไปเคาะประตูเรียกท่าน พล.อ.เสริม ท่านถามมาว่า ‘ใคร’ ผมก็ตอบไปว่า ‘ผม พัลลภครับท่าน’ ถามกลับมา ‘มีอะไรหรือ’

ผมตอบท่านว่า ‘เขาให้มาเชิญท่านไป บก.ปฏิวัติ’ ท่านร้อง ‘เอาอีกแล้วหรือ’ ที่ท่านร้องเพราะท่านเพิ่งโดนมาตอน พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ ครั้งหนึ่งแล้ว ท่านก็ถาม ‘เอาอีกหรือ’ ผมบอก ‘ครับ’ ท่านถาม ‘ใครทำ’ ผมบอก ‘ป๋า’…”

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ยังคงเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ เพราะยังไม่ทราบว่าได้ปฏิเสธต่อ พ.อ.มนูญ รูปขจร และ พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร แล้วเมื่อประมาณ 19.00 น.

“ท่านก็ขออนุญาตแต่งตัว 5 นาทีเสร็จ คุณหญิงแสงเดือนภรรยาท่านถามผมว่า ‘ท่านจะเป็นอะไรไหม’ ผมตอบท่านว่า ‘ถ้าตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมรับประกันชีวิตท่านด้วยชีวิตผม’ คุณหญิงแสงเดือนเขย่าแขนผม ‘จริงๆ นะน้อง’ ผมบอกว่า ‘จริงครับท่าน ผมรับประกันด้วยชีวิตของผม’ ท่าน พล.อ.เสริมท่านเดินไปขึ้นรถ ผมจำได้ท่านใส่เสื้อฮาวาย”

“ผมเข้าไปในหอประชุมกองทัพบก (ที่ใช้เป็นกองบัญชาการคณะปฏิวัติ) นำตัว พล.อ.เสริม ไปส่ง พอเข้าไปก็เห็นท่าน พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา มนูญ และพวกผมนั่งอยู่ ผมก็ถาม ‘แล้วป๋าล่ะ’ มนูญตอบผมว่า ‘ป๋าไม่เล่นหรอก ให้ พล.อ.สัณห์เล่นแทน ป๋าเข้าวังไปแล้ว’ ผมก็เอะใจ อะไรวะ ผมงงไปหมด ผมเลยรู้ว่าไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว และกำลังที่ล้อมหอประชุมคือกำลังผมทั้งนั้น มากที่สุดที่ผมเอามา ประจักษ์เอามากองพันเดียว คนอื่นเอามาไม่มาก ผมเป็นกำลังหลักนำมา 3 กองพันเต็มเหยียด”

พ.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ผู้นำกำลังหลักของคณะทหารหนุ่มเพื่อปฏิวัติครั้งนี้จึงเพิ่งได้รับทราบ ณ บัดนั้นว่า พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ “ให้เล่นแทน” พร้อมอธิบายความรู้สึกว่า

“ผมก็เอะใจ อะไรวะ ผมงงไปหมด ผมเลยรู้ว่าไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว”

ในเวลาใกล้เคียงกันนี้ พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร ก็ได้นำกำลังเข้ายึดกรมประชาสัมพันธ์ไว้เป็นที่เรียบร้อย

 

02.00 น.

จากบันทึกของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี การประกาศยึดอำนาจเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. เช้าวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2514 รวมทั้งมีการยึดกรมประชาสัมพันธ์ด้วยกำลังทหารของ พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร ด้วย

ประมาณ 03.00 น.

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กล่าวถึงการถูกควบคุมตัวไว้ใน”รัฐบุรุษชื่อเปรม” ว่า

“เราไปที่ ศปก.ทบ. เพราะนัดกับป๋าไว้ พอเข้าไปก็ถูกรวบเลยทีเดียว คนแรกที่เจอก็พี่หาญ (พล.อ.หาญ ลีนานนท์ (ขณะนั้นครองยศพลโท ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการ) มีใครต่อใครเยอะแยะไปหมดที่ ศปก.ทบ. ถูกควบคุมหมดแล้ว ผมก็ขึ้นไปนอนและปรึกษาหารือกับพี่หาญ”

คำบอกเล่านี้ตรงกับคำบอกเล่าของ พ.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ซึ่งนำกำลังเข้ายึด ศปก.ทบ.สวนรื่นฯ

ก่อนหน้านี้เล็กน้อย เมื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ สามารถออกจากบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ได้แล้วก็ไปเข้าเฝ้าฯ กราบถวายบังคมในพระราชวังสวนจิตรลดา ซึ่ง พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก เล่าให้คณะนายทหารกองทัพภาคที่ 2 ต่อว่า

“ผมขอเล่าให้ฟังต่อว่า เมื่อท่านผู้บัญชาการทหารบกเข้าเฝ้าฯ แล้วได้กราบบังคมทูลอย่างไร ท่านเล่าให้ฟังว่า มีพวกทหารเด็กหนุ่มนั้น กลุ่มที่เขาจะเป็นนายพลใหม่ๆ นั้น ที่เขาจะตั้งตัวเป็นนายพลกันเยอะแยะ เขาไปหาท่าน แล้วเขาขอให้ท่านเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ แต่ท่านไม่ยอม เขาว่าอย่างนั้น จะต้องปรับปรุงอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งเป็นเหตุที่คณะรัฐบาลเขาจะทำอยู่แล้วแต่ต้องใช้เวลา”

“คราวนี้ในหลวงท่านรับสั่ง ถ้าหากคิดจะเปลี่ยนแปลงก็ต้องทำทั้งกองทัพ ไม่ใช่ทำเฉพาะกลุ่มยังเติร์กหรือกลุ่มอะไรเท่านั้น ต้องทำทั้งกองทัพ พระองค์ท่านให้นายทหารคนหนึ่งคือ พ.ท.เทพณรงค์ ไปบอกกับกลุ่มที่จะปฏิวัติให้มาเข้าเฝ้าฯ พอปรากฏว่าหัวหน้าคณะปฏิวัติคือ พล.อ.สัณห์ ไม่สนใจ บอกว่าจะเข้าเมื่อไหร่ก็ได้ ยังไม่เข้าตอนนี้ เขาไม่ยอมเข้ามาในวัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าพระองค์ท่านรับสั่งว่า เมื่ออยากปฏิวัติก็ให้เขามาประชุมพร้อมกัน แต่พระองค์ท่านมีเงื่อนไขว่า ต้องให้คุณอาทิตย์ไปร่วมประชุมพร้อมกับคุณเสมา (พล.ท.เสมา ปาณิกบุตร แม่ทัพภาคที่ 3) และท่านติดต่อมาว่าจะส่ง ฮ.มารับ ให้เดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อไปร่วมประชุม ผมก็เตรียมตัวแล้วก็บอกมาโนช บอกอานุภาพ บอกชุดจู่โจมให้ไปเข้าเฝ้าฯ ด้วยกัน จะโดนจับหรือไม่โดนจับก็ไม่รู้”

“พอถึงเวลาที่จะเดินทาง ปรากฏว่าพอเขารู้ว่ามีพระบรมราชโองการให้เข้าเฝ้าฯ และเขาไม่ยอมเข้าเฝ้าฯ เขาก็ชิงประกาศปฏิวัติเลย เขาก็ชิงยึดอำนาจทันที เมื่อเขายึดอำนาจแล้ว ในหลวงท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าเรียกเขามาเขาก็ไม่มา พล.อ.เปรม ท่านเสียใจมาก ผมขอพูดกับ พล.อ.เปรม ว่า ขอทูลเชิญเสด็จออกนอกกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ ขอให้มาที่จังหวัดนครราชสีมา กองทัพภาคที่ 2 จะปกป้องพระองค์ท่านและจะกอบกู้สถานการณ์เอง”

“ผมประกาศออกไปว่าผมยอมไม่ได้ ถึงแม้ผมจะตายผมก็ยอมไม่ได้ ขอให้เสด็จเดี๋ยวนี้ เสร็จแล้วผมก็กราบบังคมทูลทางโทรศัพท์ขออัญเชิญเสด็จออกจากวัง จะอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ได้ อันตราย ขอให้เชิญเสด็จทุกพระองค์”

 

04.00 น.

“เมื่อ 2 นายพลเป็นนายกฯ” โดย “วิเทศกรณีย์” นามจริง สมบูรณ์ คนฉลาด บันทึกว่า เมิ่อเวลา 04.00 น. มีประกาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยซึ่งคณะปฏิวัติยึดไว้ว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบกแล้ว และขอให้ติดตามสถานการณ์ต่อไป

05.00 น.

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เล่าถึงการเดินทางไปจังหวัดนครราชสีมาว่า

“ผมนอนไม่หลับจนตี 2 ตี 3 ก็มีแอ้ด (พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์) ใส่เกือกแตะเข้ามา พอทหารมาบอกว่าแอ้ดจะเข้ามา เราก็วางแผน พอแอ้ดเข้ามาตรงที่จอดรถ ผมก็บอกว่าอย่าพูดอะไรนะ ‘ผมหันมาบอกว่า เอ้า ป๋ายอมแล้ว ไม่มีเรื่องมีราวอะไร’ ตอนนั้นประมาณ 05.00 น. ยังจำได้ติดหูติดตา พวกนั้นเฮกันใหญ่ จากนั้นมันก็ปล่อยเราทันทีเพราะการสื่อสารของพวกนั้นไม่ค่อยดี นี่คือความเสียหายของฝ่ายปฏิวัติ”

พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ใน ศปก.ทบ.เช่นกัน เล่าถึงเหตุการณ์เดียวกันนี้ว่า

“พอตอนเช้าประมาณ 05.00 น ก็มีข่าวว่าป๋าจะไปโคราช ผมก็ไปหาพี่พิรัช (พล.ท.พิรัช สวามิวัศดุ์ จปร.7 ขณะนั้นมียศพันเอก) กับพี่กัมปนาท (พ.อ.กัมปนาท เกษวิริยะการ) ซึ่งเหมือนคนคุม เห็นนั่งอยู่ในห้องตรงทางขึ้น ศปก.ทบ. ผมก็บอกว่า ‘ผมเป็นนายทหารคนสนิทของป๋าเปรม นายผมจะไปแล้ว ผมขออนุญาตไปส่งนายนะพี่’ พี่พิรัชเขานึกอยู่นิดหนึ่ง เขาบอก ‘น้องไปได้’ ผมก็ไป เขายังบอก ‘นี่…นี่ รอเดี๋ยว มาเอาปืนไปด้วย’ คือเขาเก็บปืนผมไว้ ปืนพกเล็กๆ นี่แหละ ผมก็เข้าไปหาป๋าในวัง พบ อู๊ด เบื้องบน ซึ่งขณะนั้นเรียนหลักสูตรเสนาธิการทหารบก”

“ภายหลังอู๊ดบอกว่า ป๋าสั่งให้โทรศัพท์ติดต่อ พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก ที่โคราช ถึงขั้นตอนการเดินทางของขบวนบุคคลสำคัญและให้อู๊ดไปเก็บของใช้ของป๋าทั้งหมดนำไปฝากไว้ที่กองพันทหารมหาดเล็ก แล้วตามขึ้นไปโคราช ป๋าสั่งให้ผมดูเด็กในบ้านไว้ และให้ดูกำลังของฝ่ายปฏิวัติว่าอยู่ที่ไหนบ้าง แล้วให้ตามไปโคราช ผมตามไปที่โคราชอีก 24 ชั่วโมง”

 

05.00 น.

พ.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เล่าถึงกรณีมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าฯ ดังนี้

“พอประมาณ 05.00 น. พ.อ.เชาว์ คงพูลศิลป์ มาขอพบผม ท่านก็เรียกชื่อเก่าผม ‘ไอ้นาจ’ ผมก็ถาม ‘มีอะไรหรือพี่’ ท่านก็บอก ‘ไอ้นาจ ในหลวงรับสั่งให้ พล.อ.สัณห์ เข้าเฝ้าฯ’ ผมก็พาพี่ไปคุยกับ พล.อ.สัณห์ เขาก็หายเข้าไปคุยกันพักใหญ่ สักพักพี่เขาเดินออกมาบอก ‘พล.อ.สัณห์ไม่ยอมไปว่ะ’ ผมเดินเข้าไปหา พล.อ.สัณห์ ถามทำไมท่านไม่เข้าเฝ้าฯ มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าฯ ท่านควรจะเข้าเฝ้าฯ มนูญที่นั่งอยู่ด้วย บอกไม่มีอะไร ไม่มีอะไร เดี๋ยวให้เรื่องเรียบร้อยก่อนค่อยเข้าเฝ้าฯ พอได้ฟังแบบนั้นผมก็ไม่ติดใจอะไร ก็เดินออกมา”

“ผมสับสนฉิบหาย ผมก็เลยออกมาอยู่ข้างนอก มาตรวจดูกำลังทหาร”