ครู ‘ป๊อก’ (ต้อง) ใจร้าย ดับไฟ สงครามพิศวาส ‘สีส้ม’

ใครก็รู้ว่าวันนี้ เพื่อไทยกับก้าวไกลคือคู่แข่งทางการเมืองต่อกัน

แต่ต้องยอมรับว่าสถานการณ์การข่าวของเพื่อไทยวันนี้เหนือกว่าก้าวไกลนิดหน่อย ด้วยการมีทรัพยากรที่มีในฐานะผู้ครองอำนาจรัฐ จึงพร้อมสำหรับปฏิบัติการต่อสู้ทางความคิดมากกว่า โดยเฉพาะการโต้กลับพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุน

ส่วนสถานการณ์ของพรรคก้าวไกลวันนี้ เป็นจังหวะการลดบทบาทลงของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เหลือเพียงนำในการต่อสู้เชิงวัฒนธรรมของพรรค ซึ่งพรรคก้าวไกลก็เป็นพรรคฝ่ายค้าน มิได้มีทรัพยากร บุคลากร งบประมาณใดๆ ความนิยมในตัวนายพิธา จึงลดลงไปตามจังหวะเวลา

ขณะที่พรรคก้าวไกลก็เจ็บช้ำกรรมซัดมากจากดีลการเมืองของรัฐพันลึกช่วงตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา พลาดท่าตั้งแต่การตั้งรัฐบาล การต่อรองเซ็นเอ็มโอยู การถูกกดดันจนต้องยอมลดวาระทางการเมืองสำคัญๆ กระทั่งเสียเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ตัวเองควรจะได้ ตามมาด้วยการเสียเก้าอี้ประธาน กมธ.สำคัญที่หมายปองให้กับพรรคฝ่ายรัฐบาลไปอีกหลายคณะ

ส่วนการทำงานวันนี้ ก็ยังไม่มีผลงานเชิงประจักษ์ เพราะหน้าที่ฝ่ายค้านก็ต้องเปิดโอกาสให้รัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่เสียก่อน ซึ่งก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง

ส่วนงานสภา ทั้งการเสนอกฎหมาย ญัตติต่างๆ รวมถึงบทบาท กมธ.คณะต่างๆ ก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ไม่ได้มีความคืบหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ ความนิยมของพรรคก้าวไกลวันนี้จึงต่างกับช่วงเลือกตั้ง

 

ขณะที่รัฐบาลเพื่อไทยกำลังมึนงงกับนโยบายต่างๆ ที่ประกาศไว้และพยายามจะทำให้สำเร็จ ไม่นับสถานการณ์รายวันที่มาท้าทายรัฐบาล

พรรคก้าวไกลกลับมาช่วยแบ่งเบาเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หลังเกิดกรณี ส.ส.ของพรรคถูกกล่าวหามีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ บางคนก็ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งพฤติกรรมคุกคามทางเพศมิได้มีเคสเดียว แต่ได้รับการร้องเรียนมาต่อเนื่อง

เกิดการกดดันอย่างหนักในโลกออนไลน์ แม้จะเป็นเรื่องราวที่คู่แข่งทางการเมืองนำไปใช้เป็นปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารโจมตีได้อย่างดี

แต่การคุกคามทางเพศ การทำร้ายร่างกายเพศหญิงของ ส.ส.ชาย และผู้สมัคร ส.ส. ที่เกิดขึ้นก็เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นนักเคลื่อนไหวการเมือง นักวิชาการ

ร้อนจนกระทั่ง พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล และศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ส.ส.ของพรรค ต้องออกมาตั้งโตะแถลงยอมรับการตรวจสอบของพรรคต่อปมการคุมคามทางเพศ

โดยพรรคมีบทสรุปของข้อกล่าวหาเรื่องการคุกคามทางเพศ จากคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ไปแล้ว 2 กรณี คือกรณีนายสิริน สงวนสิน ส.ส.กทม. กระทำความรุนแรงต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้หญิงจนได้รับบาดเจ็บ จึงมีการคาดโทษ และตัดสิทธิพึงมีในฐานะสมาชิกพรรค

รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศ ของนายเกรียงไกร จันกกผึ้ง อดีตผู้สมัคร ส.ส.ชัยภูมิ ที่ถูกโทษขับพ้นพรรค

ส่วนกรณีนายวุฒิพงษ์ ทองเหลา ส.ส.ปราจีนบุรี ที่ปรากฏหลักฐานแชตคุกคามทางเพศ ก็จะสอบสวนให้เสร็จภายในเดือนตุลาคมนี้

กับกรณีที่ 2 (ซึ่งไม่ปรากฏในสื่อสาธารณะ) ข้อกล่าวหาเรื่องการคุกคามทางเพศโดย ส.ส.อีก 1 คน ทางพรรคได้ทราบข้อมูลว่าได้เกิดเหตุการณ์ที่อาจเข้าข่ายการล่วงละเมิดทางเพศโดยสมาชิกพรรค โดยอยู่ระหว่างการสอบสวน

โดยโฆษกพรรคก้าวไกลยืนยันว่าพรรคไม่มีวัฒนธรรมปกป้องคนผิด และไม่หลบหนีจากปัญหาดังกล่าว และจะสร้างมาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องไม่ให้มีการคุกคามทางเพศขึ้นในพรรค

ตามมาด้วยการตั้งให้ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นั่งประธานคณะทำงานพิเศษแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางเพศโดยเฉพาะ โดยตั้งเป้าหมายดึงผู้เชี่ยวชาญข้างนอกมาร่วมสร้างวัฒนธรรมที่ดีในพรรค

 

แต่ที่น่าสนใจที่สุดจากปมฉาวครั้งนี้เห็นจะเป็นมูฟเมนต์การเคลื่อนไหวของอาจารย์ป๊อก หรือครูป๊อก “ปิยบุตร แสงกนกกุล”

ใครก็รู้ว่าปิยบุตรคือบุคคลสำคัญของการก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรค และยังมีบทบาทในการชี้นำทิศทางทางการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตยในสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อน

กระทั่งถูกตัดสิทธิ์การเมือง ปิยบุตรก็ยังได้รับการเคารพนับถืออย่างสูง แต่ยังคงมีความโดดเด่นในบทบาททางวิชาการและการนำเสนอความคิดเห็นทางการเมืองต่อกระบวนการประชาธิปไตยในการต่อสู้ศึกเลือกตั้ง กระทั่งการจัดตั้งรัฐบาลและทิศทางของพรรคก้าวไกลในสภา

แม้ช่วงก่อนเลือกตั้ง ปิยบุตรจะแสดงความเห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างตรงไปตรงมาของพรรคก้าวไกล กระทั่งเปิดวิวาทะกับพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รวมถึงแฟนคลับพรรคก้าวไกลบางคนที่ออกอาการเขม้นปิยบุตร แต่ความเป็นจริงทางการเมืองหลังจากการวิจารณ์ของปิยบุตร ก็สะท้อนแง่มุมที่เป็นประโยชน์ของเสียงสะท้อนนั้น ถ้ายิ่งไม่ปรับตัว ก็ยิ่งไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ปัญหาความอื้อฉาวทางเพศภายในพรรคก้าวไกลครั้งนี้ ก็ไม่พ้นการถูกวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาของปิยบุตร

 

ปิยบุตรออกตัวตั้งแต่ต้นบทความวิจารณ์พรรคก้าวไกลขนาดยาว ว่า หลังพบปัญหาการร้องเรียนความรุนแรงทางเพศที่กระทำโดยผู้สมัครและ ส.ส.ของพรรคก้าวไกล หลายกรณี แต่กลับพบว่าคนของพรรคก้าวไกลพูดถึงเรื่องดังกล่าวน้อยมากอย่างไม่น่าเชื่อ น้อยจนไม่สมกับเป็นพรรคที่ประกาศจุดยืนและคุณค่าพื้นฐานของพรรคในเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียม

นอกจากพูดถึงน้อยแล้วยังล่าช้า ต้องให้สังคมและมวลชนของพรรคกดดันก่อนจึงจะมีเสียงของพรรคออกมา

ก่อนที่ปิยบุตรจะนำเสนอมุมมองทางวิชาการ ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาความรุนแรงทางเพศเป็นปัญหาของสังคมไทยและสังคมต่างๆ ทั่วโลก ปัญหาของวิธีคิดปิตาธิปไตย หรือชายเป็นใหญ่ ที่จำเป็นต้องมีการถูกพูดถึงอย่างตรงไปตรงมา

ทุกคนควรร่วมกันถกเถียง แก้ไข หาทางออก และป้องกัน ไม่ใช่ว่าพอเป็นผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลแล้ว พอเรื่องเกิดกับพรรค ก็เลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าการพูดถึงปัญหานี้แล้วกลายเป็นการจ้องทำลายพรรคก้าวไกลหรือเลิกสนับสนุนพรรคก้าวไกลไป

 

ต้องยอมรับว่า ข้อคิดเห็นของปิยบุตร มีประโยชน์มากต่อพรรคก้าวไกล และที่จริงคิดต่อทุกพรรคการเมืองและสังคมไทยทั้งหมด

แน่นอนว่าหากมองในมุมทิศทางข่าว หรือยุทธศาสตร์การต่อสู้ทางการเมือง ข้อเสนอเช่นนี้อาจเป็นอาหารชั้นดีให้ปฏิบัติการจิตวิทยาของฝ่ายตรงข้ามใช้ประโยชน์ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว หลักการเช่นนี้คือการหลักการสากลที่เป็นประโยชน์กับประเทศ

ก็เลี่ยงไม่ได้ที่หลังการวิจารณ์ ปิยบุตรจะถูกผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลบางคนมาทัวร์มาลงบ่อยๆ

แต่หากมองจากไทมไลน์ความสัมพันธ์ระหว่างปิยบุตรกับพรรคก้าวไกล จะพบว่าปิยบุตรมิใช่ผู้วิพากษ์เพื่อทำลายพรรคก้าวไกลแน่ๆ

แม้ปิยบุตรจะวิพากษ์วิจารณ์ผู้บริหารพรรคช่วงก่อนเลือกตั้ง แต่ปิยบุตร ก็คือหนึ่งในผู้ปราศรัยหาเสียงหลักของพรรค ที่เรียกเสียงฮือฮาในความแหลมคมทางการเมืองทุกๆ เวที

ปิยบุตรคือผู้นำเสนอมุมมองวิชาการขนาดยาว สู้กับ ชาดา ไทยเศรษฐ์ และกองทัพ ส.ว. ในการอภิปรายโจมตีพิธาและพรรคก้าวไกลเรื่อง 112

อย่าลืมอีกว่า ปิยบุตรมีคุณูปการในการอธิบายถึงสิ่งที่เรียกว่า “นิติสงคราม” จนติดตลาดการเมือง อธิบายการใช้นิติสงคราม เล่นงานพรรคก้าวไกลในวาระต่างๆ รวมถึงขบวนการฝ่ายประชาธิปไตย

ปิยบุตรคือผู้ที่ยืนยันและชี้นำให้พรรคก้าวไกล พิธา และชัยธวัช ถอยออกมาเป็นพรรคฝ่ายค้านอย่างทระนง ในวันที่ถูกรุมสกรัมทางการเมืองจากทั่วสารทิศ ยืนยันว่า ทั้ง 2 คนไม่ได้ทำผิดพลาดในทางการเมือง ไม่มีอะไรต้องเสียใจ หรือสิ้นหวังเลย

หลังตั้งรัฐบาล ปิยบุตรยังคงตรวจการบ้านในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลโดยพรรคก้าวไกลอย่างตรงไปตรงมา

นอกจากนี้ ยังแนะนำวาระทางการเมืองก้าวหน้าต่างๆ ให้พรรคต่อสาธารณะ เช่น การเสนอผลักดันนิรโทษกรรมการเมือง, การแนะนำให้พรรคก้าวไกลให้ความสำคัญกับกฎหมายมหาชนเพื่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล, การวิจารณ์การต่อรองทางการเมือง เก้าอี้ประธานสภา-ประธานกรรมาธิการคณะต่างๆ แม้แต่การแสดงจุดยืนทางการเมืองอันเป็นคุณค่าหลักของพรรค เช่นกรณี พรรณิการ์ วาณิช ที่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง ซึ่งพรรคก้าวไกลควรแสดงจุดยืนให้เข้มแข็งกว่านี้

และล่าสุดก็คือเรื่องคุกคามทางเพศ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วหลายกรณีนั่นเอง

 

ต้องยอมรับว่าช่วงหลังเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลถูกตั้งคำถามเรื่องมาตรฐานทางการเมืองว่าตกต่ำลงหรือไม่ ไม่ใช่เฉพาะเรื่อง ส.ส.คุกคามทางเพศ แต่รวมไปถึงเรื่องหลักการต่อสู้ของพรรค ความตรงไปตรงมาตามกติกา การไม่เล่นเกมการเมืองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

เรื่องเหล่านี้จะเข้ามาหาพรรคก้าวไกลมากขึ้นเรื่อยๆ หากพรรคก้าวไกลประกาศว่าจะยืนบนหลักการ ก็ต้องเจอการตรวจสอบเข้มข้นเช่นนี้

อันที่จริง เสียงวิพากษ์วิจารณ์นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดี

ในทางวิชาการสังคมศาสตร์จะมีสิ่งที่เรียกว่า ปรัชญาแบบวิภาษวิธี (Dialectic) ซึ่งเป็นกระบวนการถกเถียงและการได้มาซึ่งปัญญา ที่เชื่อว่า การวิพากษ์ ขัดแย้ง นำเสนอความเห็นคัดค้านสิ่งที่มีอยู่ ก็เพื่อนำไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีขึ้น

แนวคิดนี้พัฒนาให้ดีขึ้นโดย Friedrich Hegel นักปรัชญาจิตนิยมเยอรมัน และถูกตีความให้เป็นรูปธรรม จับต้อง เข้าใจง่ายด้วยนักปฏิวัติอย่าง Karl Marx

อย่าแปลกใจถ้า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นบทบาทของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ปัญญาชนคนสำคัญ ที่มักพุ่งเป้าวิพากษ์วิจารณ์ปัญญาชนสาธารณะ ปัญญาชนฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันเอง มากยิ่งกว่าการวิจารณ์ฝ่ายอำนาจนิยม

วันนี้ปิยบุตร แสงกนกกุล ก็กำลังทำหน้าที่เช่นนี้ การวิจารณ์คนที่มีเป้าหมายทางการเมืองเดียวกัน มิใช่เพื่อการด้อยค่า ล้มล้างแต่ประการใด เป็นแต่เพียงการวิจารณ์เพื่อนำไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีขึ้นนั่นเอง

มองเผินๆ เหมือนครูป๊อกใจร้าย แต่ถ้าจะดับไฟให้ถาวร พรรคก้าวไกลก็จำเป็นต้องมีคนแบบนี้