อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ความทรงจำต่อมื้ออาหาร

My Chefs (14)

เป็นความจริงที่ว่าผู้คนทุกคนในโลกนี้ล้วนเคยทานอาหาร

เราทุกคนในโลกเติบโตมากับสิ่งที่เรียกว่าอาหาร ช่วงเวลาแห่งการดำรงอยู่ของชีวิตในโลกของเรามีมื้ออาหารนับครั้งไม่ถ้วน

แต่ในมื้ออาหารจำนวนมากเหล่านั้น มีมื้ออาหารเพียงไม่กี่มื้อที่เราจะเลือกจดจำ

บางมื้อเราเลือกจดจำมันที่รสชาติ

บางมื้อเราเลือกจดจำสถานที่

บางมื้อเราเลือกจดจำบรรยากาศ

และบางมื้อเราเลือกจดจำบุคคลที่เราร่วมวงอาหารนั้นด้วยกัน

เราเลือกจดจำมื้ออาหารในวิถีเช่นนั้นเอง

มีหลายมื้ออาหารในชีวิตที่ผมเลือกจดจำ

อาหารจากข้าวก้นบาตรมื้อหนึ่งที่วัดบางนานอกสมัยเด็ก ฤดูร้อนปีนั้น ยายหอบผมไปฝากไว้กับหลวงตาที่วัด ผมจำชื่อหลวงตาท่านนั้นไม่ได้ แต่จำกุฏิของหลวงตาที่เป็นเรือนไม้ริมแม่น้ำได้

ในฤดูร้อนนั้นนอกจากผมแล้ว หลวงตารับเด็กจากต่างจังหวัดหลายคนมาเลี้ยงและอบรม

ทุกเช้าหลังเสร็จจากการออกบิณฑบาต หลวงตาจะฉันเช้าที่กุฏิเพียงลำพังและเตรียมอาหารทุกอย่าง ที่เหลือจากนั้นใส่ลงในถาดสังกะสีขนาดใหญ่ที่มีขอบสีแดง

บางวันจะมีทั้งแกงเผ็ด พะโล้ ไข่ต้ม หมูทอด บางวันอาจมีขนมเพิ่มเติม อาจเป็นขนมกล้วย ขนมใส่ไส้ ขนมเหนียว

แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรและอย่างไร ทุกอย่างที่อยู่ในถาดนั้นเป็นของที่ผมและเพื่อนร่วมกุฏิมองมันด้วยความหิวกระหาย

ในวัยเด็ก อาหารมื้อเช้าเป็นอาหารมื้อที่เรารอคอย แม้ว่าตอนเย็นแม่ครัวประจำวัดจะทำข้าวผัดให้เราอิ่มท้องอยู่เสมอ

แต่การได้เห็นหน้าตาอาหารใหม่ๆ ที่หลวงตาได้มาล้วนเป็นความตื่นเต้น

หลวงตาเลี้ยงนกขุนทองไว้ตัวหนึ่ง และเป็นนกขุนทองที่พูดภาษาคนได้เหมือนมากตัวหนึ่ง

เมื่อเราทั้งหมดเริ่มต้นขัดสมาธิรอบถาดสังกะสีพร้อมกับคดข้าวใส่จาน นกขุนทองตัวนั้นจะเอ่ยคำพูดว่าขอข้าวๆ ซ้ำไปซ้ำมาจนในที่สุดใครสักคนที่อดรนทนไม่ได้จะต้องลุกออกจากวงพร้อมกับเศษข้าวสุกในมือ

และเมื่อข้าวสุกถูกสอดผ่านช้อนสังกะสีเข้าไปในกรง เจ้านกขุนทองจะจิกข้าวอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอ่ยว่า ข้าวมาแล้ว ข้าวมาแล้ว จนกว่าจะหมดแรง

การที่ตากับยายเป็นคนพื้นเพจากบางนาและเป็นคนประเภทใกล้วัด ทำให้ผมพบว่าอาหารที่ถูกใส่บาตรนั้นเป็นอาหารชั้นดีที่เราหาซื้อได้ยากเย็น

ผมรู้จักอาหารหลายอย่างที่หลวงตารับบาตรแต่ไม่ยอมขบฉันและปล่อยให้พวกเราจัดการแทน

โดยเฉพาะอาหารที่มีความแปลกพิสดาร อาทิ แกงเผ็ดปลาไหล แกงตะพาบ ผัดเผ็ดนก ไม่นับของที่ต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของฟันอย่างเนื้อทุบกับข้าวเหนียวนึ่ง

อาหารจานโปรดของหลวงตาน่าจะเป็นขนมจีน แกงเขียวหวานไก่และน้ำพริก ผักลวก ซึ่งเหมาะสมกับวัยของท่านมากกว่า

ดังนั้น ทุกครั้งที่พวกเราเปิดบาตรและย่ามของหลวงตาขึ้นและพบอาหารที่ไม่คุ้นชิน เราทุกคนจะเริ่มต้นการเล่น โอ น้อย ออก คนที่อยู่เป็นคนสุดท้ายจะได้เป็นคนเปิบข้าวและอาหารแปลกๆ นั้นเป็นคนแรก

เขาจะเป็นคนบอกว่าเราควรเดินหน้าต่อหรือถอยหลัง

และในขณะเดียวกัน เขาจะเป็นคนที่เหมาเอาทั้งหมดในการกินเพียงครั้งเดียวก็ได้ และนั่นก็ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทอยู่เสมอเมื่อบุคคลที่เหลือรู้สึกว่าพวกเราถูกเอาเปรียบจนเกินไปแม้เราจะใช้กฎเกณฑ์ในการยอมรับลำดับขั้นแห่งการกินแล้วก็ตาม

การทะเลาะวิวาทครั้งใหญ่ในหมู่พวกเรานั้นเกิดขึ้นพร้อมกับอาหารมื้อที่น่าจดจำ

ในวันนั้นหลวงตาบิณฑบาตได้อาหารฝรั่งที่เป็นขนมปังกลมสองแผ่นประกบกัน มีผักกาดเขียว ไส้กรอก และชีส เป็นไส้กลาง

สำหรับถิ่นที่ห่างไกลเช่นนั้น แม้แซนด์วิชไส้กรอกธรรมดาก็ดูหรูหราเอาเต็มที

ดังนั้น การที่มีแฮมเบอร์เกอร์ปรากฏตัวขึ้นจึงเป็นมากกว่าสิ่งมหัศจรรย์

พวกเราลงมือ โอ น้อย ออก ด้วยใจตุ๊มๆ ต้อมๆ หวังว่าตนเองจะเป็นผู้ชนะ จากสี่เป็นสาม จากสามเป็นสอง และจากสองคือระหว่างผมกับเด็กอีกคน (ซึ่งน่าเศร้าที่ผมลืมชื่อของเขาไปแล้ว) ก็เป่ายิงฉุบเพื่อการตัดสิน

ผมเป็นผู้แพ้

เด็กคนนั้นเอื้อมมือของเขาหยิบแฮมเบอร์เกอร์จากถาด และแทนการกัดชิมเพื่อลิ้มรสเหมือนที่เคย เขากัดมันไปครึ่งหนึ่งด้วยความโหยหิว ก่อนจะยื่นแฮมเบอร์เกอร์ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งให้ผมกับเพื่อนอีกสองคนแบ่งกัน

ความรู้สึกแรกหลังจากการรับแฮมเบอร์เกอร์ก้อนนั้นมาอยู่ในมือและกัดกลืนมันไปเพียงเล็กน้อย ผมก็รู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง เขาอาจชนะเป็นบุคคลลำดับแรกที่จะได้ชิมมัน แต่เขาไม่มีสิทธิกินมันไปกว่าครึ่ง

ผมวางแฮมเบอร์เกอร์ลงในถาดและใช้มือน้อยๆ ต่อยไปที่ปากของเขาซึ่งกำลังเคี้ยวแฮมเบอร์เกอร์ครึ่งนั้นอย่างเพลิดเพลิน

หลังหมัดแรก เราก็เข้าสู่การตะลุมบอน เสียงจานชามกระทบกันในครัวหลังกุฏิของหลวงตาดังสนั่นหวั่นไหว สลับกับเสียงร้องของเจ้านกขุนทอง

หลวงตาออกจากกุฏิของท่านแทบจะทันที แต่กว่าจะหย่าศึกลงได้ พวกเราแต่ละคนล้วนได้แผลติดตัวกันไปไม่มากก็น้อย

รางวัลจากการวิวาทวันนั้นคือการโดนไม้เรียวที่ทำจากก้านมะยมตีไปที่น่องคนละหลายที

แนวก้านมะยมปรากฏบนน่องเล็กๆ ของผม เจ็บกายนั้นพอทน แต่เจ็บใจนั้นมากกว่า

หลวงตาส่งคนไปตามยาย และก่อนจะถึงเวลาเย็น ผมก็ต้องเก็บข้าวของอันได้แก่สมุด หนังสือ และต้องเดินตามยายกลับบ้าน

ฤดูร้อนของผมจบลงพร้อมกับแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นนั้น

ผมเดินตามยายไปอย่างเงียบๆ พร้อมกับคราบน้ำตา

ภาพของยายที่ใส่ผ้าถุงสีเข้มเดินนำหน้าผมบนสะพานไม้ที่พาเราออกจากวัดเป็นภาพที่ติดตาผมพอๆ กับรสชาติของแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นนั้นที่ผมรู้สึกว่ามันเอร็ดอร่อยอย่างไม่มีสิ่งใดเทียม

มื้ออาหารที่มีแฮมเบอร์เกอร์มื้ออื่นถัดมาในชีวิตผมมักนำพาความทรงจำในครั้งนั้นกลับมาด้วย แม้ว่าในปัจจุบันผมจะสามารถซื้อแฮมเบอร์เกอร์มากินได้มากชิ้นเท่าที่ต้องการ

แต่รสชาติของแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นนั้นที่ผ่านการช่วงชิง ต่อสู้ ยังอยู่ในความทรงจำของผม ห้าปี สิบปี ผ่านไป มันไม่เคยจางหาย

และผมพบว่าผมเลือกจดจำอาหารมื้อนั้นผ่านทางเหตุการณ์

รสชาติของอาหารในมื้อนั้นผูกพันกับสิ่งที่ผมเรียกว่าการต่อสู้ เป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงในสิ่งที่มีอยู่จำกัดและควรได้รับการจัดสรรอย่างยุติธรรม

หลายปีผ่านไป การจัดสรรและเลือกสรรความทรงจำต่ออาหารของผมเกิดขึ้นอีกครั้ง

ช่วงเวลานั้นเป็นเดือนกันยายน สถานที่เป็นลอนดอน และวันเวลาเป็นปี 2001 ช่วงเวลาตอนนั้นผมผ่านการรู้จักกับ ฮัน ฮี จุน เพื่อนนักกฎหมายหญิงชาวเกาหลีมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

ฮัน ฮี จุน ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเพื่อนของเธอที่ร้านอาหาร MJU ของผมในค่ำวันหนึ่ง

ผมจำได้ว่าวันนั้น หลังเซ็ตอาหารของเราที่ประกอบไปด้วย Sea Brass และซอสอาร์ติโชค และราวิโอลี่ในซอสมะเขือเทศ รวมถึงกั้งที่โรยด้วยชาลังกาแล้ว เธอร้องขอกาแฟโบราณแบบเอเชียหนึ่งแก้ว

พนักงานที่บาร์เข้ามาสอบถามในครัวของเราว่าใครรู้วิธีปรุงกาแฟแบบนั้นบ้าง ลูกค้าอ้างว่าเธอเคยทานมันหลายที่ในเอเชียและอยากทานมันเป็นการปิดคอร์สอาหารแทนการกินของหวานอย่างครีมบูเล่ที่ขึ้นชื่อของร้านเรา

ผมชะโงกหน้าโผล่พ้นประตูครัวและเห็นหญิงสาวผมสีดำบ่งบอกความเป็นเอเชียคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกับเพื่อนอีกคนของเธอ

ใช้เวลาไม่นานและอาศัยนมข้นหวานสองช้อนชา ผมปรุงกาแฟแก้วนั้นให้เธอ

แต่มิตรภาพของเราไม่จบลงตรงนั้น เธอส่งข้อความผ่านพนักงานบาร์มาให้ผมในครัวเป็นคำว่าขอบคุณ

หลังจากนั้นเธอมาที่ร้าน MJU ของเราอีกสองหรือสามครั้ง ในครานี้ผมได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอ ได้โทรศัพท์หาเธอ ได้ออกไปเที่ยวกับเธอ ได้ชมภาพยนตร์กับเธอ ได้ตระเวนดูงานศิลปะกับเธอ

เราชื่นชมงานของ Mark Rothko ที่จัดแสดงที่ Tate Gallery

ผมได้รู้ว่าเธอเรียนศิลปะในระดับปริญญาตรีก่อนจะพลิกผันตนเองมาทำงานด้านกฎหมาย

“ทำไมคุณถึงเปลี่ยนมาสนใจวิชากฎหมาย มันแตกต่างจากวิชาศิลปะมากทีเดียว” ผมถามเธอในครั้งหนึ่งขณะที่เรานั่งจิบเบียร์ด้วยกันที่บาร์ในเมือง

“มันเป็นสิ่งที่มีตรรกะแน่นอน” เธอกล่าว

“ในทางกฏหมาย มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนอยู่ระดับหนึ่ง แต่นั่นแหละทุกกฎเกณฑ์มีช่องโหว่ มีช่องว่าง และในพื้นที่นั้นเองที่มันเปิดโอกาสให้เราใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้ ฉันอาจเบื่อความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขอบเขต และอยากใช้ความคิดที่ว่าในพื้นที่อันจำกัด ในทางกฎหมายมีบางสิ่งที่น่าสนใจ คุณสามารถใช้มันสร้างหรือทำลายบางสิ่ง ไม่นับกฎหมายอาญาที่คุณต้องข้องเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ มีรายละเอียดมากมายเหลือเกินในการเป็นนักกฎหมาย แม้ว่ากฎเกณฑ์ของมันที่ถูกเขียนขึ้นจะมีอยู่เพียงจำกัดก็ตามที”

ผมรับฟังเหตุผลของเธออย่างเชื่อฟัง นอกเหนือจากศาสตร์ทางการแพทย์แล้ว ศาสตร์ทางกฎหมายหรือนิติศาสตร์เป็นอีกสิ่งที่พ้นจากความสนใจของผม แม้ว่าจะเคยอ่านนวนิยายทางกฎหมายของ John Grisham หรือชมภาพยนตร์ที่สร้างจากงานของเขาบ้างก็ตาม

แต่การเห็นการเดินแต้มชิงไหวชิงพริบในโลกกฎหมายดูซับซ้อนเกินไป การเลือกคณะลูกขุน การเลือกประเด็นการต่อสู้ ดูเป็นสิ่งที่พ้นจากความสามารถของคนนอก

แน่นอน เฉกเช่นกับศาสตร์ด้านอื่นที่มีทั้งส่วนที่เป็นศาสตร์และศิลป์ แต่ศิลปะแห่งกฎหมายเป็นสิ่งที่แลดูเป็นนามธรรมมากทีเดียว

แต่กระนั้น มิตรภาพของเราก็งอกงาม

ผมชอบฟังการเล่าเรื่องราวต่างๆ ทางกฎหมายของเธอ

ผมชอบการเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนังสือ เกี่ยวกับภาพยนตร์ เกี่ยวกับอาหารของเธอ

ฮัน ฮี จุน หลงใหลในการเดินทาง ในอาหาร และสำหรับอาหารไทยแล้ว เธอชอบผัดไทยอันเป็นอาหารที่เกิดใหม่ของไทยเป็นพิเศษ

และในช่วงเที่ยงวันหนึ่ง ผมโทร.หาป๋อม-เสนียพงศ์ ที่มาทำงานเป็นพ่อครัวในร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งแถวกลางเมืองว่าผมอยากให้เขาปรุงผัดไทยสักจานในเที่ยงวันนั้นเพื่อผม และเพื่อเพื่อนของผม และเขาตอบรับด้วยความยินดี

เมื่อได้เวลาเที่ยง ผมไปรับ ฮัน ฮี จุน ใต้ตึกทำงานของเธอ เราทั้งคู่เดินเคียงกันไปที่ร้านที่ป๋อมทำงานอยู่ เลือกโต๊ะริมหน้าต่าง

ผมส่งข้อความบอกพนักงานว่าผมจองผัดไทยจากฝีมือของพ่อครัวไว้แล้วสองที่

และในเวลาไม่ช้า ผัดไทยที่มีครบทุกอย่างที่เราคิดว่ามันควรเป็นไม่เว้นแม้แต่เครื่องเคียงอย่างหัวปลีและต้นหอมก็ถูกวางลงเบื้องหน้าเรา

ฮัน ฮี จุน ทานอาหารมื้อนั้นด้วยความเอร็ดอร่อย เหมือนมีบางสิ่งที่เธออยากสนทนา แต่ผัดไทยจานนั้นสร้างความสุขให้กับเธอจนได้เวลาที่เธอต้องกลับไปทำงาน ผมลุกออกจากร้านพร้อมเธอ จ่ายค่าอาหารและส่งคำขอบคุณกลับไปให้ป๋อมที่ออกจากครัวมาทักทายเราได้เพียงครู่เดียว

ผมเดินกลับมาส่งเธอที่อาคาร Tower 42 กลางกรุงลอนดอน “ฉันต้องกลับไปทำธุระที่นิวยอร์กสักอาทิตย์หนึ่ง และช่วงเวลานั้นฉันคิดว่าฉันจะเรียบเรียงถ้อยคำบางอย่างที่พร้อมจะพูดคุยกับคุณได้ บอกเพื่อนคุณด้วยอีกครั้งว่านี่เป็นผัดไทยจานที่ฉันชอบมากเหลือเกิน และเราจะกลับไปกินมันอีกครั้งเมื่อฉันกลับมา สัญญา” ฮัน ฮี จุน กล่าวเช่นนั้น

ก่อนที่เธอจะสัมผัสมือของผมเบาๆ แล้วเดินหายไปตามทางเลื่อนที่ถูกหุ้มด้วยผนังกระจกโค้งเข้าสู่อาคาร

ผมมองตามร่างของเธอในชุดสีดำอันเป็นสีโปรดของชาวลอนดอน

ไม่เคยคิดว่านั่นจะเป็นดังลางร้าย

ไม่เคยคิดว่าเธอจะไม่กลับมา

ไม่เคยคิดว่าเธอไม่อาจทำตามสัญญาได้

ไม่มีบทสนทนาอื่นอีกต่อไปสำหรับเรา ว่าไปแล้วไม่มีร่างของเธอให้ผมพบเห็นอีกต่อไปด้วยซ้ำ

เธอหายเข้าไปในอาคารนั้นและหายไปตลอดกาล

เธอไม่ได้กลับมา ไม่เคยกลับมาอีกเลย

เว้นเพียงแต่ในความทรงจำของผม

เป็นความทรงจำต่อมื้อ