ชื่นมื่น ‘นายกฯ นิด-บิ๊กอ๊อบ’ ฟุตบอล คอนเน็กชั่น ย้อนอดีต ‘พ่อตุ๋ย’ ไอดอล

ชื่นมื่น ‘นายกฯ นิด-บิ๊กอ๊อบ’ ฟุตบอล คอนเน็กชั่น ย้อนอดีต ‘พ่อตุ๋ย’ ไอดอล จับตา ทร.ยุค ‘บิ๊กดุง’ เป๊ะ! หัวจรดเท้า ส่งซิกทายาท

 

กองทัพผลัดใบ เปลี่ยนผู้บัญชาการเหล่าทัพคนใหม่ มีพิธีส่งมอบหน้าที่พร้อมกัน 29 กันยายน 2566 แต่มีผล 1 ตุลาคม 2566

คงมีแต่ ทบ. ที่มีการส่งมอบหน้าที่กันเงียบๆ ตั้งแต่ 20 กันยายน 2566 หลังจากมีคำสั่งโปรดเกล้าฯ ให้บิ๊กบึ้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ย้ายโอนจาก ผบ.ทบ. ไป เป็นผู้บัญชาการสำนักงานปฏิบัติการพิเศษในพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ตั้งแต่ 12 กันยายน 2566 แต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 14 กันยายน 2566

ทำให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ต้องปรับรูปแบบพิธีรับส่งหน้าที่ ผบ.ทบ.ใหม่ โดยไม่มีการสวนสนามเช่นที่เคย แต่แค่ลงนามในเอกสาร และส่งมอบธงการบังคับบัญชาเท่านั้น และไม่ออกสื่อด้วย ทั้งๆ ที่มันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ที่ได้รับมอบหน้าที่ ผบ.ทบ. แต่ด้วยเพราะสถานภาพการเป็นข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหารไปแล้ว

คาดว่าภายในเดือนกันยายนนี้ จะมีคำสั่งโปรดเกล้าฯ ที่เกี่ยวข้องกับทหาร เช่น การตั้งบิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ.คนใหม่ เป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภ รักษาพระองค์ (ทม.รอ.) ที่สามารถติดอาร์มดำที่เครื่องแบบได้ เพื่อทำหน้าที่ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904

แต่สำหรับ พล.อ.เจริญชัย แล้วถือว่าเป็น ผบ.ทบ.คนแรกในประวัติศาสตร์ ทบ. ที่ได้เป็น ผบ.ทบ.ก่อนเวลา และ รมว.กลาโหม ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นรักษาการ ผบ.ทบ. 12-30 กันยายน คือ ห้วงที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ โอนย้ายจาก ทบ.ไป นถปภ.รอ. แล้ว ที่สามารถลงนามประหนึ่ง ผบ.ทบ.ได้เลย ไม่ต้องรอจน 1 ตุลาคม 2566

พล.อ.เจริญชัย ถือเป็น ผบ.ทบ. ที่เป็นน้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ เพราะเติบโตใน ร.21 รอ. มาด้วยกัน และเป็นคนเดียวที่ขึ้นถึงดวงดาว ในบรรดาน้องๆ ทหารเสือราชินีฯ แต่มีอายุราชการแค่ 1 ปี ก็จะเกษียณแล้ว

พล.อ.เจริญชัย ถือเป็นพี่ใหญ่ใน ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่นี้ เพราะเป็น ตท.23 โดยมีแค่บิ๊กดุง พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร.คนใหม่เท่านั้น ที่เป็น ตท.23 และเกษียณกันยายน 2567 พร้อมกัน

ขณะที่ ผบ.ทอ.คนใหม่ บิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล และบิ๊กหนุ่ม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกลาโหม ก็เป็น ตท.24 ด้วยกัน และเกษียณกันยายน 2568 เช่นกัน

แม้จะเป็น ผบ.ทบ.ที่มีพลังอำนาจแฝงในทางการเมืองก็ตาม แต่ พล.อ.เจริญชัย ก็พยายามรักษาระยะห่างกับฝ่ายการเมือง โดยจะเห็นได้ว่า นอกจากมีภาพร่วมโต๊ะอาหารจีนกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหมพลเรือนแล้ว ก็ยังไม่ปรากฏภาพว่า ผบ.ทบ.มาต้อนรับนายกฯ

พล.อ.เจริญชัย ประกาศไว้ตั้งแต่วันปฏิบัติหน้าที่รักษาการ ผบ.ทบ. และลงไปชายแดนใต้ ว่า จากนี้ไป จะลงพื้นที่ภาคใต้ให้มากขึ้น เพราะให้ความสำคัญ และต้องการให้เหตุรุนแรงยุติโดยเร็วที่สุด

พร้อมให้ความสำคัญกับสื่อในเครือข่ายของ ทบ. มีข่าวว่าจะตั้งบิ๊กดอน พล.อ.นิรันดร ศรีคชา รอง เสธ.ทบ. ที่โผนี้ไม่ได้ขึ้นห้าเสือ ทบ. แต่เป็นพลเอก ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. ให้ไปเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 หรือ ผอ.ช่อง 5 นั่นเอง ขณะที่งานด้านกิจการพลเรือน ก็มีเจ้ากรมเอก พล.ท.อานุภาพ ศิริมณฑล เป็นเจ้ากรมกิจการพลเรือน ทบ.คนใหม่ มาดูแลในด้านนโยบาย

ส่วน ผบ.เหล่าทัพ ที่ดูจะใกล้ชิดนายเศรษฐามากที่สุด คือ บิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ว่าที่ ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ ถึงขั้นที่นายเศรษฐาเจาะจงเชิญให้ร่วมคณะไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ที่นิวยอร์ก สหรัฐ เมื่อ 18-24 กันยายนที่ผ่านมา

อีกทั้งในการแถลงข่าว นายเศรษฐา ก็พูดถึง พล.อ.ทรงวิทย์ ซึ่งเป็นฝ่ายความมั่นคง ที่มาร่วมคณะเจรจาในเรื่องความมั่นคง รวมทั้งการหารือนายกฯ มาเลเซีย โดยชื่นชม พล.อ.ทรงวิทย์ ที่เข้าใจ เพราะทำงานชายแดนใต้มาตลอด

ด้วยเพราะ พล.อ.ทรงวิทย์ เมื่อครั้งอยู่ ร.11 รอ. ที่ ทบ.ให้ลงไปปฏิบัติหน้าที่ชายแดนใต้ ในนาม ฉก.เพชราวุธ โดยเฉพาะ จ.นราธิวาส ที่ พล.อ.ทรงวิทย์ ไปฝังตัวอยู่กับชาวบ้าน ณ ดินแดนใต้สุดแดนสยาม อ.สุไหงโก-ลก โดยเฉพาะในพื้นที่ปาเสมัส จนถูกเรียกว่า “อ๊อบ ปาเสมัส” หรือ เสธ.ปาเสมัส ที่ทำการมวลชน ควบคู่งานยุทธการไปด้วย

แต่การที่นายเศรษฐาจะมาสนิทสนมไว้วางใจ พล.อ.ทรงวิทย์ ได้ก็ย่อมต้องมีที่มา ไม่ใช่เพราะเป็นนักเรียนนอก ที่มีแนวคิดแบบคนรุ่นใหม่คล้ายกันเท่านั้น

แต่เพราะทั้งคู่เป็นคอฟุตบอลด้วยกัน

พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ,พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์

เป็นที่รู้ดีว่า นายเศรษฐาชอบเล่นฟุตบอล และดูฟุตบอล เพราะเป็นนักกีฬาฟุตบอล และแฟนหงส์แดง ลิเวอร์พูล ก่อนมาเป็นนายกฯ จัดสรรเวลาไปเตะฟุตบอล สัปดาห์ละ 3 วัน

ขณะที่ พล.อ.ทรงวิทย์ ก็เป็นคอฟุตบอลเช่นกัน ชอบเตะบอลเป็นชีวิตจิตใจ ในทุกแมตช์ของบรรดาพี่น้องทหาร มักมี พล.อ.ทรงวิทย์ ร่วมฟาดแข้งด้วย

กล่าวกันว่า ได้รู้จักนายเศรษฐา ก็ในสนามฟุตบอลนี่เอง เพราะไปเล่นที่ราชกรีฑาสโมสรด้วยกัน คนที่เตะบอลด้วยกัน ก็จะสนิทสนมกันง่ายขึ้น และรู้ใจกันด้วย ที่สำคัญคือ เป็นแฟนหงส์แดงเหมือนกัน

จึงไม่แปลกที่เมื่อนายเศรษฐา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงเชิญ พล.อ.ทรงวิทย์มาหารือในเรื่องความมั่นคง โดย พล.อ.ทรงวิทย์ ชวนบิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ว่าที่ ผบ.ทอ.คนใหม่ เพื่อนเตรียมทหาร 24 มาด้วย

คาดว่า ด้วยสายสัมพันธ์เหล่านี้ ทำให้นายเศรษฐาตัดสินใจดูแลความมั่นคง ทั้งตำรวจ ทหาร คุมกลาโหมด้วยตัวเอง

จะเห็นได้ว่า พอมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ นายเศรษฐาก็จะเชิญ พล.อ.ทรงวิทย์มาพบ โดยไม่ต้องมี ผบ.เหล่าทัพมาก็ได้ แต่อาจเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ผบ.เหล่าทัพ จึงยังไม่อาจมาร่วมพบปะได้อย่างเต็มตัว

พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี,บิ๊กตุ๋ย พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี
บิ๊กตุ๋ย พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี,พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี

กีฬาฟุตบอลนี้ ถือเป็นกีฬาที่บิ๊กตุ๋ย พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี อดีต ผบ.ทบ. ผู้บิดา สอนตั้งแต่เด็กๆ เพราะ พล.อ.อิสระพงศ์ เป็นนักกีฬาฟุตบอล จึงมักสอน ถ่ายทอดเทคนิคการเล่นให้ลูกชายเสมอๆ โดยเฉพาะการสอนให้ “รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” ปฏิบัติตามกฎกติกามารยาท สอนให้เป็นนักกีฬาและเป็นสุภาพบุรุษ

“พ่อสอนใช้ชีวิตแบบลูกผู้ชาย ฝึกขับรถ ยิงปืน เดินป่า ใช้เข็มทิศ ทุกวันนี้ทุกครั้งที่เล่นกีฬา ผมจะนึกถึงคุณพ่อ ผู้เป็นครูกีฬาคนแรกของผมเสมอ” พล.อ.ทรงวิทย์ เคยเขียนไว้ในบันทึกถึงบิดา หนังสือที่ระลึก วันพระราชทานเพลิงศพ เมื่อปี 2560

จึงทำให้ พล.อ.ทรงวิทย์ เป็นเสมือนที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนายกฯ ไปด้วยในตัว

พล.อ.ทรงวิทย์ ถือเป็นนายทหารอีกคนที่ติดม่านประเพณี ไม่ได้จบ จปร. ไม่สามารถเป็น ผบ.ทบ.ได้ จึงถูกเบี่ยงเส้นทางจากรองแม่ทัพภาคที่ 1 ข้ามมาเป็นรอง เสธ.ทบ. แล้วขึ้นพลเอก หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ประจำผู้บังคับบัญชา ก่อนถูกส่งข้ามไป บก.ทัพไทย เป็นรอง ผบ.ทหารสูงสุด แล้วจะขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุด 1 ตุลาคม 2566 นี้

และนับได้ว่า เป็น ผบ.ทหารสูงสุดคอแดงคนที่ 2 และเป็นนายทหารโปรไฟล์ดี เป็น ตท.24 ก่อนไปเรียนโรงเรียนนายร้อย VMI สหรัฐอเมริกา

แม้ว่าตอนเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร อาจจะไม่ค่อยตั้งใจเรียนมากนัก ผลการเรียนตกต่ำ ความประพฤติน่าเป็นห่วง

จน พล.อ.อิสระพงศ์ บิดาเรียกไปอบรมสั่งสอน โดยย้ำว่า โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะต้องปรับปรุงตนเองให้ดี เพราะเป็นหลานชายคนเดียวของคุณปู่ฉัตร ที่ใช้นามสกุลหนุนภักดี ภาระหน้าที่ในการดำรงไว้ซึ่งชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล

ที่สุด พล.อ.ทรงวิทย์ จึงตัดสินใจกลับเข้ามาเรียน ตท.24 ก่อนที่จะขอรับทุนจากกองทัพบกไปเรียนที่นายร้อย VMI โดยที่บิดาและมารดาเดินทางไปส่ง พร้อมย้ำว่าเป็นตัวแทนของคนไทยที่ได้มาเรียนต่างประเทศ ต้องตั้งใจเรียนให้ดี ทั้งเรียนทั้งฝึก การประพฤติตน อย่าให้ชาวต่างชาติดูถูกเราได้ ซึ่ง พล.อ.ทรงวิทย์ รับปากว่าจะทำให้ดีที่สุด และจะไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ ในการเป็นทหาร

นั่นจึงทำให้ตระกูลหนุนภักดี หลานชายคนเดียวของ พล.ท.ฉัตร ได้มาเป็นทหาร และสร้างประวัติศาสตร์ใน ทบ. ที่เป็นนายทหารจบต่างประเทศ แต่ได้เป็นทั้งผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม เติบโตใน ร.11 รอ.มาตลอด จนที่สุด ขึ้นเป็น ผบ.พล.1 รอ. ทำแฮตทริก

เช่นเดียวกับ พล.ท.ประยูร หนุนภักดี และ พล.อ.อิสระพงศ์

อาจกล่าวได้ว่า พล.อ.อิสระพงศ์ คือกำลังใจ แรงบันดาลใจให้ พล.อ.ทรงวิทย์ ฮึดสู้ เรียน และฝึกหลักสูตรต่างๆ เช่นที่นักเรียนนายร้อย จปร.ฝึก หรือมากกว่า

ทั้งหลักสูตรกระโดดร่มส่งทางอากาศ Airborne, Pathfinder และ Ranger ของ ทบ.อเมริกัน เพราะถ้ากลับมาเมืองไทย แล้วไม่มีปีกร่ม และเสือคาบดาบ ก็อาจจะถูกค่อนแคะได้ แต่นี่จบของอเมริกันต้นตำรับเลยทีเดียว

โดยหลักสูตรเหล่านี้ ต้องผ่านการทดสอบแข่งขัน จึงจะได้เรียน พล.อ.ทรงวิทย์ จึงมุ่งมั่นวางแผนเตรียมตัว 4-6 เดือน ตั้งใจฝึกให้สำเร็จ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน โดยเฉพาะบิดาที่บอกว่า ห้ามยอมแพ้ และต้องสำเร็จเท่านั้น เพราะเป็นศักดิ์ศรีของตนเองและนายทหารแห่งกองทัพไทย โดยบิดาให้กำลังใจว่า โตขึ้นเยอะและภูมิใจที่ได้เห็นฝึกในหลักสูตรนี้

เรื่องประทับใจ พล.อ.ทรงวิทย์ ที่เขียนไว้คือ ตอนจบหลักสูตร Airbourne ที่บิดาไปเยี่ยม โดยทางฝ่ายสหรัฐเห็นว่า บิดาเป็นนายทหาร จึงเชิญให้ประดับปีกร่มให้ลูกชายเอง

โดยเป็นการประดับแบบ Blood Wing คือนำเครื่องหมายมาทาบกับอกแล้วใช้กำปั้นทุบเครื่องหมายแทงเข้าไปในเนื้อผ้าชุดฝึก และผิวหนังตรงบริเวณหน้าอก เลือดจะซึมๆ ออกมา ถือเป็นประสบการณ์ที่ลูกผู้ชายที่มีบิดาทหาร เป็นผู้มอบให้เลยทีเดียว

พร้อมบันทึกเรื่องราวที่ทำให้ พล.อ.ทรงวิทย์ เป็นคนรักเพื่อน เหมือนบิดา จนบ่อยครั้งที่ต้องมีเรื่องมีราวกับข้าราชการต่างสีต่างหน่วย หรือแม้แต่ครูฝึกก็ตาม จนถูกลงโทษ และนำมาสอนลูกว่า อย่าใจร้อน ต้องมีสติ รอบคอบ

รวมทั้งสถานการณ์ทางการเมือง ที่ทำให้บิดาต้องเข้าไปมีบทบาท ทั้งการต่อต้านรัฐประหาร และการรัฐประหาร ที่ทำให้ครอบครัวได้รับผลกระทบ

“ผมรู้สึกได้ว่าอาชีพทหารนั้นมีความผูกพันใกล้ชิดกับเหตุการณ์บ้านเมือง ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงได้เสมอ” พล.อ.ทรงวิทย์ เขียนในบันทึก ตั้งแต่ยังเป็นพันเอก

พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์,บิ๊กดุง พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร.

ขณะที่ ผบ.ทร.คนใหม่ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม มีเวลาเตรียมตัวเป็นเดือนก่อนรับหน้าที่ โดยให้แนวทางในการทำงาน เพื่อเตรียมตัวหลัง 1 ตุลาคมนี้

โดยให้ยึดหลักยุติธรรมในการพิจารณาการบรรจุกำลังพลตำแหน่งต่างๆ ด้วยความเสมอภาค ความดี ผลงานที่ผ่านมา, อาวุโส โดยเฉพาะคนที่ถูกรุ่นน้องเบียดหรือแซงในอดีต แบ่งตำแหน่ง และโอกาสดีๆ ให้คนอื่นเขาบ้าง กองทัพคงจะน่าอยู่กว่านี้

“หรือว่าใครได้อยู่ที่ไหนพอสมควรแล้ว ไปเรียนงานด้านอื่นๆ กันบ้าง ตอนเป็นนายพลจะได้มีที่เลือกลงหลายๆ แห่ง ทั้งนี้ ก็เพื่อผลประโยชน์ของกองทัพเรือเป็นหลัก แต่ก็คงทำยากมาก เพราะมีแต่เพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้อง เรามาร่วมกันทำกองทัพเรือให้น่าอยู่สำหรับทุกคน”

ที่สำคัญที่สุดคือ ขอให้ทำเพื่อ “เสด็จเตี่ย” ให้ท่านภูมิใจในลูกหลาน พร้อมแนะนำว่า ความเป็น ผบ.หน่วย ต้องให้ความยุติธรรมและโอกาสแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเท่าเทียม

นอกจากนี้ ยังให้ ผบ.หน่วย ตรวจสอบความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานของผู้ใต้บังคับบัญชา ว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุง ให้อยู่ในสภาพเหมาะสมพอสมควร เช่น ห้องส้วมแตก ประตูพัง

ที่สำคัญคือ ห้องส้วมต้องมีทั้งแบบนั่งยองๆ แบบเก่า ที่คนที่ยังยึดติดอยู่ และแบบชักโครก แต่เป็นแบบตักน้ำราด จะได้ไม่เปลืองน้ำ สายชำระ ตรวจให้ดี อย่าให้น้ำรั่วไหล

ส่วนห้องรับประทานอาหารร้อน ต้องติดพัดลม หรือแอร์เพิ่ม โต๊ะเก้าอี้ห้องอาหาร ชุดนั่งเล่นพักผ่อนทั้งสำหรับนอกอาคาร และในอาคาร

ส่วนห้องนอนของพลทหาร ฟูกที่นอน ที่ตากผ้าเช็ดตัว ราวตากผ้าที่ซักเปียก เครื่องซักผ้าที่พัง ชำรุด ตู้เย็น กาต้มน้ำ ขอให้ปรับปรุงในทันที

พร้อมระบุว่า การดูแลสวัสดิการพวกนี้ ต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนในเดือนตุลาคม ให้ถ่ายรูป before & after เปรียบเทียบมาเสนอ

พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล,พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์,พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี,พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์

ที่สำคัญ พล.ร.อ.อะดุง แสดงให้เห็นชัดใน ทร. ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่า สัญญาใจระหว่างอดีต ผบ.ทร. กับอดีตนายกฯ ไม่มีอยู่จริง เพราะต่างกลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว

จากที่เคยมีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อครั้งเป็นนายกฯ และ รมว.กลาโหม พบกันครึ่งทางกับบิ๊กจ๊อด พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผบ.ทร. ด้วยการยอมให้ พล.ร.อ.อะดุง เป็น ผบ.ทร.ก่อน 1 ปี แล้วค่อยให้ พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข ผช.ผบ.ทร. ขึ้นเป็น ผบ.ทร.ต่ออีก 1 ปี แม้ พล.ร.อ.สุวิน จะอาวุโสที่สุดก็ตาม เพราะเป็นรุ่นน้อง ตท.25

เพราะสัญญาณชัดตั้งแต่ พล.ร.อ.เชิงชาย แต่งตั้งบิ๊กน้อย พล.ร.อ.วรวุธ พฤกษารุ่งเรือง (ตท.24) มาเป็น เสธ.ทร. จากโผเดิมที่จะให้เป็น ผบ.กองเรือยุทธการ เพื่อให้มาเป็น เสธ.คู่ใจบิ๊กดุง และเป็นการส่งสัญญาณว่า ได้วางตัว พล.ร.อ.วรวุธ เป็น ผบ.ทร. คนต่อจาก พล.ร.อ.อะดุง ที่จะเกษียณกันยายน 2567

อีกทั้งท่าทีของ พล.ร.อ.อะดุง ก็แสดงออกเป็นการภายในว่า ใครจะเป็น ผบ.ทร.คนต่อไป รวมทั้งมอบหมายงานให้ พล.ร.อ.วรวุธ มีบทบาทมากขึ้น

พร้อมๆ กับพลังของ ตท.24 ที่ขึ้นมาคุมกองทัพเกือบครบแผง ทั้ง พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกลาโหม พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ และ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ.คนใหม่ และล้วนแต่ทำงานสนิทสนมใกล้ชิดนายกฯ เศรษฐาด้วย จึงเป็นรุ่นที่น่าจับตามองยิ่ง

หากโยกย้ายกันยายนปีหน้า 2567 สามารถผลักดันเพื่อน ตท.24 คนใดคนหนึ่งใน ทบ. ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.คนต่อไปได้ เพราะมีถึง 3 คน ทั้งบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ ผช.ผบ.ทบ. บิ๊กหยอย พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผช.ผบ.ทบ. และบิ๊กต้น พล.อ.ณัฐวุฒิ นาคะนคร ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. ที่ต้องสู้กับบิ๊กปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ เสธ.ทบ. จาก ตท.26

นายเศรษฐา คุมความมั่นคง คุมกลาโหม จะรับมือไหวหรือไม่ เมื่อฤดูกาลนั้นมาถึง