เสฐียรพงษ์ วรรณปก : พระมหากรุณาของพระพุทธองค์ (2)

พระมหากรุณาของพระพุทธองค์ (2)

สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งเจ้าชายศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ 6 พระองค์ออกบวช มี นายภูษามาลา หรือ บาร์เบอร์ คนหนึ่งชื่ออุบาลีบวชด้วย เจ้าชายทั้งหลายอนุญาตให้นายภูษามาลาบวชก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อจะ ถอดทิฐิมานะ ให้ลูกน้องบวชก่อน อายุพรรษามากกว่า พวกตนจะได้กราบไหว้

ยิ่งไปกว่านี้ บวชแล้วถือว่าตัดขาดจากตระกูลวงศ์ เป็นคนของพระศาสนา ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป ไปมีสกุลวงศ์ใหม่คือ “ศากยปุตติวงศ์” วงศ์แห่งสมณะศากยบุตร มีพระบรมศาสดาเป็นพ่อ

มีเพื่อนพระภิกษุด้วยกันเป็นพี่เป็นน้อง คอยช่วยเหลือดูแลกัน

นี้ว่าโดยหลักการ แต่โดยปฏิบัติก็อาจย่อหย่อนไปบ้าง ดังเกิดกรณีพระปูติคัตตะขึ้น นามเดิมท่าน ติสสะ ต่อมาได้สมญานามว่า ปูติคัตตะ (แปลว่า ผู้มีกายเน่าเหม็น) สาเหตุที่ท่านได้นามอันไม่พึงปรารถนาเช่นนี้ เนื่องมาจากท่านป่วยเป็นโรคผิวหนัง

แรกๆ ก็ไม่เป็นอะไรมาก แต่เนื่องจากไม่ได้รับการเยียวยาอย่างถูกต้อง ร่างกายก็เกิดตุ่มขึ้นเต็มตัว คันยุบยิบ ยิ่งเกาก็ยิ่งแสบยิ่งคัน หนักเข้าก็เป็นหนองแตกไหลเยิ้มไปทั่วร่าง ส่งกลิ่นไม่พึงปรารถนา

เพื่อนสหธัมมิกด้วยกันต่างก็รังเกียจเดียดฉันท์ ปล่อยให้เธอดูแลตัวเองตามบุญตามกรรม

ท้ายสุด เธอถูกเพื่อนพระด้วยกันทอดทิ้ง นอนแซ่วอยู่บนแคร่รอความตายอย่างน่าสงสาร

พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณจึงทรงชักชวนพระอานนท์เสด็จไปยังสถานที่อยู่ของท่านติสสะ ไปถึงก็รับสั่งให้อานนท์ก่อไฟตั้งน้ำ น้ำเดือดแล้วก็ทรงผสมน้ำอุ่นด้วยพระองค์เอง ทรงยกถังน้ำอุ่นไปเช็ดตัวให้ท่านติสสะ โดยมิได้ทรงรังเกียจในกลิ่นเน่าเหม็นแต่ประการใด

ภิกษุทั้งหลายเห็นพระพุทธองค์ทรงลงมือทำด้วยพระองค์เองดังนั้น ก็รู้สึกสำนึกผิด มารับอาสาทำเอง พระองค์ตรัสว่า ไม่ต้อง ตถาคตทำเอง

หลังจากพระพุทธองค์ทรงเช็ดร่างกายสักพัก ภิกษุหนุ่มก็มีร่างกายเบา เธอรู้สึกปลื้มปีติล้นพ้นที่พระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาต่อตน ทั้งๆ ที่เพื่อนภิกษุด้วยกันไม่เหลียวแล แล้วเมื่อร่างกายเบา จิตใจก็สงบรำงับขึ้น พระพุทธองค์ตรัสพระคาถาเตือนสติสั้นๆ ว่า

มานานหนอ ร่างกายจะนอนทับแผ่นดิน ปราศจากวิญญาณ ดุจท่อนไม้ไร้ค่า ที่ถูกทิ้งในป่า ฉะนั้น

เธอพิจารณาไปตามกระแสพระพุทธดำรัส ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมกับสิ้นชีวิต เป็นพระอรหัตที่ตำราเรียกว่า “สมสีสี” (อ่านว่า “สะ-มะ-สี-สี” แปลว่า ผู้ดับกิเลสและดับชีวิตพร้อมกัน)

เป็นอันว่าเธอได้พ้นทุกข์แล้ว เป็นการพ้นทุกข์จากสังสารวัฏอย่างถาวร ก็ยังเหลือแต่ภิกษุทั้งหลายซึ่งเป็นเพื่อนสหธัมมิกของติสสะนั้นแหละ จะต้องเวียนว่ายต่อไป

พระผู้มีพระภาคทรงหันมายังภิกษุทั้งหลายที่ยืนอยู่ข้างๆ ตรัสสอนว่า

“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอละบ้านเรือนมา ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง พวกเธอพึงดูกันและกัน ถ้าพวกเธอไม่ดูแลกันเองแล้วใครเล่าจะมาดูแล”

แล้วตรัสต่อไปว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้าใครพึงหวังอุปฐากตถาคต ก็พึงอุปฐากดูแลภิกษุไข้เถิด ความหมายของพระองค์ก็คืออย่ามามัวเอาใจพระพุทธเจ้าเลย จงไปดูแลภิกษุไข้เถิด การดูแลภิกษุไข้ มีอานิสงส์เท่ากับดูแลพระพุทธทีเดียว

ถึงตอนนี้ก็ทำให้นึกถึงข้าราชการชั้นผู้น้อย ที่ทิ้งหน้าที่การงานไปคอยตามตูดเจ้านาย สารพัดจะเอาใจเขา ข่าวว่าบางรายถึงขั้นให้ขี่คอข้ามน้ำก็มี เพื่อให้เจ้านายเมตตาปรานี ถ้าเจ้านายที่มีสำนึก ก็คงจะสอนลูกน้อง ดุจดังสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ รับสั่งว่า “ถ้าอยากเอาใจฉัน จงเอาใจใส่หน้าที่การงานให้ดี”

น่าตำหนิทั้งเจ้านายและลูกน้องนั่นแหละ แต่ผู้ที่ควรตำหนิมากกว่าก็คือข้าราชการผู้น้อย ไอ้พวกลิ้นทาชะแล็กทั้งหลายอยากได้ใคร่ดีมากจนลืมความเป็นคน ทำตนเป็นวัวควายให้เขาขี่เชียวหรือ ดูถูกศักยภาพของมนุษย์เช่นนี้ไม่ควรมาเป็นข้าราชการแล้วครับ

ส่วนจะไปเป็นอะไร เด็กๆ ก็ตอบได้