เพื่อไทยเปลี่ยนจุดยืน-หรือไม่เคยเปลี่ยน | วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

กล่าวสำหรับประชาชนที่คาดหวังว่าการเมืองไทยจะยกระดับครั้งใหญ่ คงยากที่จะทำใจยอมรับรัฐบาลเศรษฐา ที่เต็มไปด้วยพรรคการเมืองจากขั้วรัฐบาลเดิม รวมทั้งมองว่าพรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคในขั้วประชาธิปไตยอีกต่อไป แต่เป็นพรรคของฝ่ายขุนศึกขุนนางไปเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น กระแสโจมตีรัฐบาลที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ และกระแสต่อต้านพรรคเพื่อไทย จากประชาชนที่ผิดหวังเมื่อการเมืองไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผลการเลือกตั้ง ยังคงไม่ลดระดับลงไปอย่างแน่นอน

จนกล่าวกันว่า สำหรับรัฐบาลเศรษฐา ในทางการเมืองคงจะถูกโจมตีไปไม่สิ้นสุด

แต่ในทางเศรษฐกิจ มีแนวโน้มจะตรงกันข้าม เพราะสไตล์การทำงานแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของนายกฯ เศรษฐา และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อไทย ดูจะได้รับเสียงชื่นชมตอบรับจากภาคธุรกิจมาขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงประชาชนในวงกว้าง ที่มีความหวังกับชีวิตความเป็นอยู่และปากท้อง เริ่มรู้สึกว่ารัฐบาลเศรษฐาน่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ประชาชนที่เคยชื่นชมอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กับแนวทางการบริหารประเทศ ที่ทำให้อยู่ดีกินดี เงินทองสะพัด

กำลังรู้สึกว่านายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ช่างเหมือนกับทักษิณอย่างมาก คิดเร็วทำเร็ว เข้าใจจุดพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้รวดเร็ว

จึงอาจจะกล่าวได้ว่า กระแสต้อนรับนายกฯ เศรษฐา เริ่มดีวันดีคืน จากกลุ่มธุรกิจนักลงทุน และประชาชนที่เห็นความสำคัญของธุรกิจการค้า การอยู่ดีกินดี

แน่นอนว่า ประชาชน คนรุ่นใหม่ ที่ผิดหวังแนวทางการเมืองของเพื่อไทย คงยากจะหันมายอมรับสนับสนุนได้อีก แต่ประชาชนที่ให้ความสำคัญกับปากท้อง และภาคธุรกิจต่างๆ พากันมีความหวังในนายกฯ เศรษฐา

จากนี้ไป เมื่อรัฐบาลเศรษฐา เข้าบริหารประเทศชาติอย่างเต็มตัว เริ่มเดินหน้านโยบายด้านเศรษฐกิจต่างๆ เช่น การลดค่าไฟฟ้า ลดราคาน้ำมัน การพักหนี้ให้เกษตรกร อันเป็นการลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนครั้งใหญ่

รวมไปถึงการฟื้นท่องเที่ยว เพื่อดึงเงินรายได้เข้าประเทศ ด้วยการเปิดฟรีวีซ่า รับนักท่องเที่ยวชาวจีน การสร้างสนามบินเพิ่ม เพื่อรับเที่ยวบินนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งน่าจะนำเงินมหาศาลเข้าสู่ภาคธุรกิจของบ้านเรา อย่างรวดเร็ว

แล้วนโยบายสำคัญสุดที่รัฐบาลเศรษฐาและพรรคเพื่อไทยมั่นใจอย่างมากว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ รวดเร็วรุนแรง ประดุจพายุหมุน นั่นคือ โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล แจก 10,000 บาท ให้คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป รวมแล้วกว่า 50 ล้านคน ให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน ในรัศมีพื้นที่ชุมชนรอบที่พักอาศัย

น่าจะเริ่มแจกได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อปลุกเศรษฐกิจช่วงสงกรานต์

กำลังเป็นที่ติดปากของประชาชนและจดจ่อรอคอย

 

มีคำถามว่า ทำไมพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย จึงกลับกลายเป็นพรรคในฝั่งอนุรักษนิยมการเมืองไปได้ กลายเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลที่แวดล้อมด้วยพรรคการเมืองในขั้วรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำไมจึงเปลี่ยนแปลงไปได้มากเพียงนี้

มีคำตอบว่า จริงๆ แล้วเพื่อไทย ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย เป็นเช่นนี้มาตลอด นับตั้งแต่ยุคไทยรักไทย

ที่เรียกกันมาตลอดว่าพรรคประชาธิปไตย เป็นเพราะเป็นพรรคที่เติบโตมาจากการเลือกตั้งด้วยมือประชาชน ขายนโยบายทำให้ประชาธิปไตยกินได้ จนมีมวลชนสนับสนุนอย่างกว้างขวาง

ในทางกลับกัน ทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองมองการขยายตัวของไทยรักไทยและเพื่อไทย อย่างไม่สบายใจ เพราะไม่เคยมีพรรคการเมืองไหน หรือไม่เคยมีนายกฯ คนไหน จนกระทั่งมีทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้ประชาชนให้ความนิยมมากมายขนาดนี้

ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคไทยรักไทย มาจนถึงเพื่อไทย จึงถูกอำนาจฝ่ายอนุรักษนิยมทำลายมาตลอด ทั้งด้วยองค์กรอิสระ และด้วยการรัฐประหาร

จึงทำให้กลายเป็นพรรคที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ยืนอยู่ตรงข้ามฝ่ายอำนาจนอกระบบที่หวาดกลัว และทำลายทุกวิถีทาง

แต่การต่อสู้ของไทยรักไทย มาจนถึงเพื่อไทย ก็คือ ทำทุกอย่างเพื่อให้ฝ่ายอำนาจอนุรักษนิยมยอมรับ เลิกหวาดระแวง

สิ่งที่ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ต้องการมาตลอดคือ ทำให้ฝ่ายอำนาจนอกระบบไว้วางใจ ขอโอกาสให้พรรคเพื่อไทยได้เข้ามาเป็นรัฐบาล เพื่อจะได้ทำงานด้านเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้อง อันเป็นนโยบายที่ถนัดและเชี่ยวชาญ

จนกระทั่งรัฐบาลลุงๆ ที่บริหารประเทศมา 9 ปี เศรษฐกิจตกต่ำ เป็นความเสื่อมอย่างมากในสายตาประชาชน

ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด คาดกันมาตลอดว่า พรรคฝ่ายลุงจะไม่ประสบความสำเร็จ ขณะที่เครือข่ายอนุรักษนิยมการเมือง เชื่อว่าเพื่อไทยจะชนะเป็นอันดับ 1 เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล โดยเริ่มมองเพื่อไทยด้วยสายตาเป็นมิตรและไว้วางใจ

นั่นเพราะ เมื่อการเมืองไทยมีพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งปี 2562 และสืบต่อมาเป็นพรรคก้าวไกล ด้วยความเป็นพรรคที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ด้วยแนวทางอันแหลมคม

เมื่อมีอนาคตใหม่ มีก้าวไกล จึงทำให้ฝ่ายอำนาจนอกระบบ มองเพื่อไทยด้วยสายตาที่ดีขึ้น

เพียงแต่ผลการเลือกตั้งพลิกล็อก เมื่อก้าวไกลเป็นที่ 1 โดยเพื่อไทยมาเป็นที่ 2 เครือข่ายขุนศึกขุนนาง จึงสกัดกั้นพรรคก้าวไกลทุกวิถีทาง จนไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

เมื่อโอกาสตกมาที่พรรคเพื่อไทย จึงเปิดไฟเขียวผ่านตลอด สนับสนุนให้เพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล

 

ถ้ามองการจัดตั้งรัฐบาลของเพื่อไทย ด้วยสายตาอันสลับซับซ้อน หรือมองด้วยสายตาที่คาดหวังสูง ก็จะเกิดข้อสงสัยว่า เพื่อไทยหักหลังก้าวไกล ผลักไสพรรคร่วมแนวทางประชาธิปไตย แล้วไปรวมขั้วกับฝ่ายรัฐบาลเดิม

ถ้ามองด้วยสายตาที่มองการเมืองแบบปกติ จะพบว่า เมื่อก้าวไกลตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะ ส.ว.ไม่ยอมให้ผ่านเด็ดขาด รวมทั้งพรรคฝ่ายขั้วรัฐบาลเดิมไม่มีทางยกมือให้ สูตรรัฐบาล 312 เสียง โดย 8 พรรคการเมือง ไม่มีทางจะตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ แนวคิดจะให้ยื้อต่อไปอีก 10 เดือนจนกว่า ส.ว.จะหมดอำนาจ ก็ดูจะยากเกินไป

ดังนั้น เมื่อโอกาสมาตกที่เพื่อไทย เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ภายใต้เงื่อนไขที่ ส.ว.และพรรคการเมืองอื่นๆ ไม่มีทางเข้ามาร่วมหากยังมีก้าวไกล และมีนโยบายแก้ไข 112 อยู่

เพื่อไทยเหลือทางเดียว คือ ต้องทิ้งก้าวไกล แล้วไปร่วมกับพรรคอื่นๆ แบบข้ามขั้ว หรือสลายขั้ว

ที่สำคัญ เพื่อไทยไม่มีแนวนโยบายการเมืองที่แหลมคมเหมือนกับก้าวไกล ไม่เคยมี และยากจะมี เพื่อไทยเน้นการประนีประนอมกับเครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยมการเมืองมาตลอด

จนเมื่อได้โอกาส เพราะเริ่มไว้วางใจ ทำให้เพื่อไทยพร้อมจะตั้งรัฐบาลทันที โดยพร้อมผสมกับพรรคขั้วเดิม เพราะต้องการเป็นรัฐบาล โชว์ผลงานด้านเศรษฐกิจ

รวมทั้งเป็นโอกาสที่ทำให้เพื่อไทยมั่นใจได้ว่า จากนี้ไป จะไม่โดนร้องแล้วโดนยุบพรรคง่ายๆ อีก

บัดนี้เพื่อไทยเป็นรัฐบาลสำเร็จแล้ว ได้กุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจเต็มที่ กำลังเร่งงัดฝีมือความถนัดออกมาฟื้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพื่อหวังเรียกศรัทธาจากประชาชนคืนมา

พูดถึงที่สุด เพื่อไทย ไม่ได้เปลี่ยนจุดยืน แต่มีจุดยืนเช่นนี้มาตลอด พร้อมจะประนีประนอมกับผู้มีอำนาจ เพื่อจะได้ทำงาน สร้างความนิยมในหมู่ประชาชน ด้วยการแก้ปัญหาปากท้องให้ได้

เพื่อไทยก็จะต้องพิสูจน์ต้องทำผลงานให้สำเร็จให้ได้ แล้วไปวัดความนิยมของประชาชนในอีก 4 ปีข้างหน้า

ถึงเวลานั้นจะได้รู้กันว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการแบบไหนกันแน่ แบบเพื่อไทยหรือแบบก้าวไกล!!