33 ปี ชีวิตสีกากี (34) | ชันสูตรศพ : ย้อนคิดถึงปี ’53 ถ้าทำจริงๆ จะลากคนเข้าคุกเป็นร้อยๆ คน

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

เวลานั้นยังมีอาจารย์มาสอนเรื่องอาวุธของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งคอมมิวนิสต์นำมาใช้ในประเทศไทย คือ ปืน A.K 47 หรืออาก้า

ได้ศึกษาประวัติปืนชนิดนี้เป็นของอิตาลี ชื่อ วิลลา ไอเอซีก ต่อมาเยอรมนีพบว่า สามารถยิงได้ทั้งอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติ จึงนำมาดัดแปลงเป็น SGT.44 เป็นปืนที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น

เมื่อรัสเซียยึดเยอรมนีได้ จึงยึดโรงงานที่ตั้งอยู่ในเยอรมนีตะวันออกไว้ด้วย เห็นว่าเป็นปืนขนาดเล็ก จึงนำมาดัดแปลงใหม่ โดย ส.อ.มิกเฮล ที คาลาซินอฟ สังกัด กองทัพรถถัง ได้ดัดแปลงปากลำกล้องกว้างกว่าเดิมเป็น 7.62 ม.ม. และมีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมกว่าเดิม

การดัดแปลงนั้นได้ชื่อใหม่ว่า A.K.47 หรือ แอสซอล ไรเฟิล คาลาซินอฟ (อาก้า)

รวมความแล้ว ปืนไรเฟิลจู่โจมของคาลาซินอฟ และได้ส่งปืนชนิดนี้เข้าไปในเครือประเทศคอมมิวนิสต์ รวมทั้งไทยด้วย

ปืนอาก้ามีอยู่ 4 ชนิด

1. ปืนอาก้าแบบพับฐาน นิยมใช้ในหน่วยพลร่มหรือหน่วยจู่โจม สามารถประทับยิงได้

2. ปืนอาก้าแบบชนิดธรรมดา ใช้กับหน่วยทหารราบ ไม่ติดดาบปลายปืน

3. ปืนอาก้าแบบติดดาบ สามารถใช้ประจัญบานในระยะกระชั้นชิดได้ ในหน่วยทหารราบ มีใช้มากในเขมร

4. ปืนอาก้าชนิดพิเศษ สามารถใช้ยิงกับลูกระเบิดได้ ด้านขวามือมีท่อปรับแก๊สได้ มีรัชเชอร์สำหรับใส่ลูกระเบิด

ดาบปลายปืน แข็งมาก แต่เบา มีลักษณะเป็นเหล็กขูดชาร์ฟ

ขีปนวิธี;

กว้างปากลำกล้อง 7.62 มม หรือ .30 นิ้ว

ปืนหนัก 4.3 ก.ก. หรือ 9.48 lbs.

สามารถยิงได้แบบทั้งอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติ

ซองกระสุนปืนบรรจุได้ 30 นัด ใหญ่กว่ากระสุน M 16 ซองกระสุนปืนแบบโค้ง

อัตรายิงสูงสุด 600 นัด/นาที M 16 ยิงได้ 750-800 นัด/นาที

ยิงไกลสุด 2,500 เมตร หรือ 2,750 หลา หวังผล 400 เมตรลงมาหรือ 440 หลา

M 16 ยิงไกลสุด 2,653 เมตร หรือ 3,500 หลา หวังผล 460 เมตรลงมาหรือ 500 หลา

 

หน้าที่ของผมต้องพยายามจดตามคำบอกของอาจารย์เอาไว้ และจดให้ทันแล้วจำให้ได้แม่นยำ จะเรียนแบบเพลินๆ ไม่สนใจไม่ได้ เพราะต้องนำไปใช้ในเวลาสอบ

ใครละเลยเกี่ยวกับข้อมูลตัวเลขเหล่านี้ พาลจะสอบตกเอาได้ หรือแม้คนที่ไม่อยากสนใจก็จำใจต้องรับรู้เพราะบางโอกาสเมื่อไปทำงาน อาจจะต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้ มันเป็นประโยชน์ในการรักษาชีวิตตัวเองและป้องกันชีวิตผู้อื่น

ถ้าคนร้ายมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในครอบครอง และกำลังทำร้ายประชาชน เช่น กรณีกราดยิงที่โคราช เมื่อเราเป็นเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ จะต้องรอบรู้ว่าอาวุธของคนร้ายมีขีปนวิธี ขนาดไหน ยิงได้ไกลแค่ไหน

วิชาอาวุธศึกษา ที่นักเรียนนายร้อยตำรวจศึกษาจึงค่อนข้างมาก พร้อมกับการฝึกยิงอาวุธปืนพก ที่สนามยิงปืนพกโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เกือบทุกสัปดาห์อยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความชำนาญ และคุ้นเคย

 

เล่าแต่เรื่องวิชาการที่เรียนในโรงเรียนนายร้อยตำรวจอย่างรัวๆ จนอาจจะลืมไปว่า ช่วงระยะเวลาที่พวกผมกำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 เมื่อปี พ.ศ.2523 นั้น แต่ละคนก็จะลุ้นตั้งใจเรียนจะได้คะแนนผลการสอบออกมาสูงๆ เวลาเลือกสถานีตำรวจเพื่อไปทำงานหรือหน่วยที่ต้องการจะไป จะได้มีสิทธิเลือกก่อนคนอื่น

คือใครคะแนนดีกว่าจะได้เลือกก่อน ปฏิบัติกันมาเช่นนี้ทุกปี

ในขณะเดียวกันก็มีข่าวที่ได้รับฟังมาหลายทาง บ้างก็บอกว่า นรต.รุ่น 35 อาจจะต้องถูกส่งไปเป็นตำรวจตระเวนชายแดนทั้งรุ่น เพราะเหตุการณ์การปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ยังคงมีข่าวอยู่ตลอด ทำให้พวกผมบางคนสับสน

จนบางครั้งไม่คิดจะตั้งใจเรียนกันเท่าไหร่นัก คือจะเน้นเรียนทางด้านกฎหมายแล้วไม่ได้ใช้ เมื่อจบแล้วต้องไปจับปืน เป็นผู้หมวด ตชด. ความสนใจทางวิชาการบางคนก็ลดลงไป

เป็นสถานการณ์ที่อิหลักอิเหลื่อ ว่าจะเอายังไงกันแน่ และมีข้อถกเถียงให้พูดคุยกันตลอดตั้งแต่ปลายปีชั้นปีที่ 3 แล้ว

 

ถึงจะเป็นเช่นนั้นการเรียนทางด้านกฎหมายที่ชั้นเรียนของโรงเรียนนายร้อยตำรวจก็ยังเรียนไปตามหลักสูตรไม่น้อยกว่าการเรียนในมหาวิทยาลัย

โดยเฉพาะประมวลกฎหมายอาญา และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมทั้งระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ซึ่งระเบียบนี้ก็เป็นการล้อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่เพิ่มเติมขั้นตอนการปฏิบัติที่ละเอียดและสอดรับกับวิธีการทำงานของตำรวจ

พ.ต.อ.สุพาสน์ จีระพันธุ์ รองหัวหน้ากองคดี กรมตำรวจ ได้มาสอนเรื่องการชันสูตรพลิกศพ หลักใหญ่ก็นำมาจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกำหนดให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ถ้าหากไม่ปฏิบัติตาม จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เนื้อหาสาระของระเบียบนี้สำคัญมาก เหตุที่ต้องทำการชันสูตรพลิกศพ เพราะอะไร เพราะต้องการทราบว่า การตายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากความผิดทางอาญาหรือไม่

และกฎหมายกำหนดให้ทำการชันสูตรพลิกศพ ดังนี้คือ

1. เมื่อการตายนั้นเป็นการตายโดยผิดธรรมชาติ ซึ่งกำหนดไว้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 148

1) ตายโดยมีผู้อื่นทำให้ตาย

2) ฆ่าตัวตาย

3) ถูกสัตว์ทำร้ายตาย

4) ตายโดยอุบัติเหตุ

5) ตายโดยยังมิปรากฏเหตุ

2. ตายอยู่ในระหว่างควบคุมของเจ้าพนักงาน เพื่อทำให้เป็นที่สิ้นสงสัยว่าการตายนั้นไม่ได้เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงาน แม้จะเป็นการตายโดยธรรมชาติ ก็ต้องทำการชันสูตรพลิกศพ

หน้าที่ของผู้ที่ต้องทำการชันสูตรพลิกศพ

กฎหมายกำหนดให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ ทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่ต้องแจ้งให้แพทย์มาร่วมทำการชันสูตรพลิกศพร่วมกัน แพทย์ที่จะต้องแจ้ง กฎหมายกำหนดให้แจ้งต่อแพทย์ลำดับที่ 1 ได้แก่

– แพทย์โรงพยาบาล หมายถึงแพทย์โรงพยาบาลของรัฐไม่ใช่เอกชน

– อนามัยจังหวัด หรือ

– แพทย์ประจำสุขศาลา

การแจ้งนี้ไม่จำเป็นต้องแจ้งตามลำดับ ถ้าพบใครก่อนก็แจ้งผู้นั้นก่อน ถ้าหากว่าไม่สามารถหาหรือตามพบได้ ก็แจ้งต่อแพทย์ลำดับที่ 2 ซึ่งต้องบันทึกให้ปรากฏในสำนวนการสอบสวน ซึ่งมีดังนี้

– แพทย์ประจำตำบล

– เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข

วิชากฎหมายก็เรียนกันทั่วไปเกือบทุกมหาวิทยาลัย แต่ตำรวจจะต้องแม่นและไม่พลาดเพราะเป็นผู้ปฏิบัติโดยตรง

เมื่อผมเข้าเวรสอบสวนคดีอาญา ผมยังต้องงัดตำราของอาจารย์ออกมาดูออกมาอ่านในช่วงแรกๆ เพราะมันยังไม่ชำนาญ ยังติดๆ ขัดๆ

แต่พอมีตำราของอาจารย์มาอยู่ใกล้ตัว ความผิดพลาดจะต้องไม่มี จนเกิดความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ในเวลาต่อมา

 

การชันสูตรพลิกศพนี้สำคัญมากนะครับ แม้แต่ในปี พ.ศ.2553 มีการยิงคนกลางกรุงเทพฯ ถ่ายทอดทีวีไปทั่ว ตำรวจในเวลานั้น ยังไม่มีความกล้าหาญในการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพอย่างตรงไปตรงมาเลย

ถ้าทำจริงๆ จะลากคนเข้าคุกเป็นร้อยๆ คนเลย เพราะพวกที่รับคำสั่งไปปฏิบัติ คุณเป็นเจ้าหน้าที่เอาอาวุธราชการที่ประชาชนเสียภาษีซื้อให้ มาใช้ยิงประชาชนในที่สาธารณะและเผยแพร่ไปทั่วโลก

คนที่มีอำนาจและหน้าที่ในเวลานั้น ทั้งคนสั่งและคนที่รับคำสั่ง ผิดกฎหมายอาญาแผ่นดิน ซึ่งเป็นวิชากฎหมายที่สอนพวกผมในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สอนผมมาจนจำได้แม่นยำ จะต้องติดคุกและบางคนถึงโทษประหารชีวิต ไม่มีสิทธิมาลอยหน้าลอยตาออกสังคม แสดงความคิดเห็นออกสื่อได้อย่างทุกวันนี้

ที่รอดเพราะคนที่เรียนเก่งเป็นศรีธนญชัย ใช้กฎหมายแบบพิสดารและไม่มีคุณธรรม ดันเป็นคนใช้อำนาจ

วันหนึ่งหมดอำนาจ จะต้องลากพวกนี้ ดำเนินคดีตามกฎหมายที่เป็นปกติ

อย่าแหกปากร้องขอชีวิตนะครับ เพราะประเทศชาติคงไม่เสียเวลาให้กับคนพวกนี้อีกต่อไป

และต้องช่วยกันฝังวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวลให้จมดิน

อย่าได้โผล่มาให้เห็นอีกในผืนแผ่นดินไทย ต้องให้สูญพันธุ์