“ชนชั้นเขา” ไม่ใช่”ชนชาวบ้าน” | สถานีคิดเลขที่12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

“ชนชั้นเขา”

ไม่ใช่”ชนชาวบ้าน”

 

งานเขียนสุดท้ายของ ปราชญ์ ผู้พิทักษ์”ชนชาวบ้าน” นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในมติชนสุดสัปดาห์

คือบทความเรื่อง “วันชาติ” ตีพิมพ์ฉบับวันที่ 7-13 กรกฎาคม 2566

ผู้ใกล้ชิดอาจารย์นิธิ เล่าให้ฟังว่าบทความดังกล่าวอาจารย์นิธิเขียนอย่างอดทนในท่ามกลางวิกฤตมะเร็งระยะสุดท้าย

เดิมตั้งใจจะเขียน 3 ตอนจบ

แต่สามารถเขียนได้เพียง 1 ตอน ร่างกายก็ไม่เอื้ออำนวยเสียแล้ว

แม้บทความ”วันชาติ”จะไม่จบ

กระนั้น อาจารย์นิธิ ได้ยืนยัน ความเป็น”ชาติ” อย่างแจ้งชัดว่า

ชาติ คือรัฐ ที่ต้องยอมรับ “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย”

และด้วยเหตุนี้ “พลเมืองทุกคนจึงมีความเท่าเทียมกัน”

อย่างไรก็ตาม แม้อาจารย์นิธิ จะแจ่มชัดและตอกย้ำเรื่องความเป็นชาติ ดังกล่าว

แต่เมื่อเรามองความเป็นไปของชาติ ในตอนนี้

เราอันหมายถึง ราษฏร

ถูกทำให้ห่างจาก การมี “อำนาจสูงสุด” และ “ความเท่าเทียม” มากยิ่งขึ้นทุกที

ด้วยเพราะ รัฐบาลใหม่ นายกรัฐมนตรีใหม่ ที่เหล่านักการเมือง พยายามดิ้นรนจัดตั้งขึ้น มิได้คำนึงถึงอำนาจสูงสุดของราษฏร ที่แสดงออกในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม อย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้ ยังมีความพยายามยกเหตุข้างๆคูๆ

เช่น เพื่อความสามัคคี เพื่อความสมานฉันท์ พวกนักเลือกตั้งอย่างพวกเขา จึงสมควรที่จะได้สิทธิในการผสมขั้ว ผสมพันธุ์ จัดตั้งรัฐบาล และแบ่งสรรอำนาจเข้าไปบริหารกระทรวงต่างๆ

โดยลืมจุดยืน คำมั่นสัญญา และเจตนารมณ์ของราษฏร ที่ต้องการให้ ฝ่ายที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศ ไม่ใช่ให้ นั่งร้านหรือฝ่ายที่สืบทอดเผด็จการที่มาจากรัฐประหาร ฉวยโอกาส ใช้กลไกอันบิดเบี้ยว กลับเข้ามามีบทบาท ในการขับเคลื่อนประเทศต่อไปอีก

โดยอาศัย”ความไม่เท่าเทียม” ที่เสียง 250 สว. มีเสียงเหนือกว่าเสียงส่วนใหญ่ 14 ล้านเสียง เป็นเครื่องมือขัดขวาง ไม่ให้ บุคคลที่”ชนราษฏร”ได้แสดงเจตจำนงเลือกตั้งเข้ามา ดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้

แถมยังสร้างความยืดเยื้อในการจัดตั้งรัฐบาล

เพื่อเปิดช่องและโอกาสให้ฝ่ายขั้วอำนาจเดิมเข้ามาแทรกแซงและกำหนดเกมในการตั้งนายกฯและรัฐบาลเองจนเกือบจะสำเร็จแล้วในตอนนี้

เกมแห่งอำนาจ จึงมิได้มาจากอำนาจของราษฏร

ตรงกันข้ามนับวัน จะห่างออกจากราษฏรไปสู่เวทีของ”ชนชั้นเขา”ซึ่งหมายถึงนักเลือกตั้ง ที่พร้อมจะพลิกพลิ้ว แปรเปลี่ยนจุดยืน ได้อย่างง่ายดาย จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้

ราษฏร ที่เคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในห้วงเวลาการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ถูกกันออกไปเป็นคนนอก

ได้เพียงแต่ยืนมองตาปริบๆ ว่าพวกเขากำลังจะเล่น”ละคร”ฉากไหนให้เราดู

อย่างสิ่งที่เกิดขึ้นที่ มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 อันเป็นวันครบรอบวันเกิด 78 ปีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นเรื่องของ”ชนชั้นเขา”โดยแท้

ลุงป้อม อบอุ่นภายใต้การแวดล้อม ของลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพรรคภูมิใจไทย รวมถึงเหล่านักเลือกตั้งหนาตา

แม้กระทั่งทั้ง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ที่เป็นประมุขของ 250 ส.ว. ที่มีสิทธิชี้เป็นชี้ตายว่าใครจะมาเป็นผู้นำประเทศ ก็ยังมาปรากฏกายด้วย

จึงไม่น่าแปลกใจกระแส “มีเรา ไม่มีลุง”ถูกลดระดับจนเรี่ยพื้น

ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยอยู่ในปีกประชาธิปไตย ก็พร้อมทิ้งทุกอย่าง เพื่อถูกกลืนเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนเข้าไปกอดของ 2ลุงในไม่กี่อึดใจนี้

เรื่องการตั้งนายกฯตั้งรัฐบาล จึงเป็นเรื่องของ”ชนชั้นเขา”

ไม่ใช่เรื่องของ”ชนชาวบ้าน” และถูกบังคับให้เสพสม”สมานฉันท์การละคร”โดยขมขื่นอีกต่อไป

—————