ศึกนอก ศึกใน ขั้ว ‘3 ป.’ ว.5 ‘บิ๊กแดง’ เอฟเฟ็กต์ ดีล ปลายด้ามขวาน? เช็กลิสต์ ทหารเก่า จ่อยึด กห.

ศึกนอก ศึกใน ขั้ว ‘3 ป.’ ว.5 ‘บิ๊กแดง’ เอฟเฟ็กต์ ดีล ปลายด้ามขวาน? เช็กลิสต์ ทหารเก่า จ่อยึด กห. โค้งสุดท้าย โผทหาร

 

 

การเมืองยังลึกลับซับซ้อน และเข้มข้น จนบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เจอเอฟเฟ็กต์เข้าไปด้วย เพราะเป็นคีย์แมนสำคัญ ที่ถูกจับจ้อง และตกเป็นเป้ามาตลอด ตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ. จนมาเป็นรองเลขาธิการสำนักพระราชวัง (สนว.)

แถมตกอยู่ในกระแสข่าวลือในทางการเมืองอยู่เสมอๆ เพราะด้วยความเป็นน้องรักของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และถูกเชื่อมโยงกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะเป็นเพื่อนรุ่นน้องของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และเลขาธิการนายกฯ ข้างกาย พล.อ.ประยุทธ์

อีกทั้งยังเป็นอดีต ผบ.ทบ. ที่ยังมีเพาเวอร์ในกองทัพ เพราะน้องๆ ผบ.เหล่าทัพ ทั้งบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด และบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ที่ พล.อ.อภิรัชต์สนับสนุน และดำรงตำแหน่งมา 3 ปี ขณะที่น้องๆ ผบ.เหล่าทัพ ที่เป็นสายเลือดเตรียมทหาร ก็ให้ความเคารพนับถือ

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.อภิรัชต์ จะกลายเป็นเป้า เพราะทั้งในทางการเมือง ฝ่ายนักการเมืองก็ต้องการยึดคืนอำนาจจากทหาร ที่ครอบครองอำนาจรัฐมา 9 ปี ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ “พี่ตู่” ที่เคารพรักของ พล.อ.อภิรัชต์

จนมีวาทกรรมว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่มีแค่พี่ใหญ่อย่างบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ทำให้เป็นนายกฯ ได้นานถึง 9 ปี แต่เพราะยังมี พล.อ.อภิรัชต์ เคียงข้างด้วยอีกคน

ขณะที่กองทัพก็มีหลายกลุ่ม หลายสาย ที่ต้องการจะแชร์อำนาจในกองทัพ หลังจากที่ทั้ง บก.ทัพไทย และ ทบ. ตกอยู่ในมือของ “ทหารคอแดง” ที่ พล.อ.อภิรัชต์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการตั้ง ฉก.ทม.รอ.904 และทหารคอแดงในกองทัพในช่วงเปลี่ยนผ่าน

แต่เมื่อพลาดพลั้งจากกรณีเดินทางไปลังกาวีของมาเลเซีย จนมีภาพหลุด และนำมาซึ่งกระแสข่าวการถูก สนว.ทำโทษ พล.อ.อภิรัชต์ ก็ถูกโฟกัสอีกครั้ง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนชัดว่า พล.อ.อภิรัชต์ เป็นเป้าหมายต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่ประกาศวางมือทางการเมืองไปแล้ว

และสะท้อนสถานการณ์ข้างในได้เป็นอย่างดี จากการที่เอกสารการทำโทษ หลุดออกมาว่อนไลน์ จนถูกเชื่อมโยงกับการเมือง

พล.อ.อภิรัชต์ รับโทษวินัยขั้นเบา คือการให้อยู่เวรโทษ 30 วัน โดยไม่ได้มีวันลาพัก หรือการดองเวร จึงยังเห็นปฏิบัติหน้าที่ติดตามเสด็จ แต่ไม่ได้ไปฝึกหนักในพื้นที่พิเศษ หรือถูกตัดการติดต่อสื่อสารอย่างที่ร่ำลือกัน แต่ปฏิบัติการนี้ ทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ ตระหนักดีว่าใครเป็นใคร

แม้จะมีรายงานข่าวว่า การเดินทางไปลังกาวี จะไม่ได้ไปพบกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร แต่กระแสข่าวที่ออกมาก่อนหน้านั้น และการเปิดประเด็น “ดีลลับลังกาวี” ของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ทำให้สังคมเชื่อไปแล้วว่า ดีลลับลังกาวี มีจริง

ยิ่งเมื่อ พล.อ.อภิรัชต์ ถูกทำโทษ ก็เสมือนเป็นการตอกย้ำ จนทำให้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำ นปช. นำไปเชื่อมโยงว่า นายทักษิณ ชินวัตร ยกเลิกกลับไทยแล้ว เพราะคนที่ดีลด้วย ไม่สามารถติดต่อได้ สำทับด้วยนายชูวิทย์อีกคน

แต่มีรายงานว่า เหตุผลที่ พล.อ.อภิรัชต์ ถูกเวรโทษ เพราะเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่ได้รายงาน และไม่ใช่ขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบ แต่ไม่ใช่เพราะไปพบนายทักษิณอย่างที่มีการตีความเชื่อมโยงกัน อีกทั้งเป็นช่วง 5-7 พฤษภาคม 2566 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง หากจะดีล ก็ควรจะดีลกันหลังรู้ผลเลือกตั้งแล้ว แม้สังคมจะเชื่อไปแล้วก็ตาม

 

ภารกิจ ว.5 ของ พล.อ.อภิรัชต์ มีกระแสข่าวว่าเริ่มต้นจากการได้รับรายงานจากสายข่าวทั้งในชายแดนใต้ และฝั่งมาเลเซีย ถึงความเคลื่อนไหวของนักการเมือง และกลุ่มการเมือง ในการปลุกระดมเรื่องแบ่งแยกดินแดน และหนักข้อขึ้นในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

แม้จะไม่ใช่หน้าที่โดยตรง แต่ในฐานะที่เป็นทหารเก่า ที่เคยลงไปปฏิบัติหน้าที่ในชายแดนภาคใต้ และเป็นอดีต ผบ.ทบ.ที่เดินทางไปอาเจะห์ เอาโมเดลการแก้ปัญหามาใช้ โดยมี ผบ.ทบ.อินโดนีเซียประสานให้ และยังเคยขึ้นเวทีทอล์กฉะพวกชังชาติ ที่คิดจะแก้รัฐธรรมนูญ และหนุนการแบ่งแยกดินแดนมาแล้ว

ไม่แค่นั้น พล.อ.อภิรัชต์ ยังมีคอนเน็กชั่นพิเศษ ในฐานะดาโต๊ะ ที่สุลต่านรัฐยะโฮร์ บารู แต่งตั้ง เมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ. เพราะรู้จักกันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยบิ๊กจ๊อด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ผู้บิดา ที่ทำให้มีช่องทางในการติดต่อสายข่าว แหล่งข่าว มายาวนานจนปัจจุบัน

อีกทั้งการพูดคุยสันติสุขกับขบวนการบีอาร์เอ็น ที่มีผู้อำนวยความสะดวกที่รัฐบาลมาเลเซียแต่งตั้งนั้น ยังไม่อาจทำให้เหตุความรุนแรงยุติลง อีกทั้งแกนนำบีอาร์เอ็นตั้งเงื่อนไขไม่ยอมเจรจา จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ และมีความเคลื่อนไหวที่สอดรับกับบางพรรคการเมือง

แม้จะไม่ได้รับผิดชอบด้านความมั่นคงก็ตาม แต่เมื่อรู้ว่าภัยความมั่นคงที่ปลายด้ามขวานเป็นอันตราย พล.อ.อภิรัชต์ จึงชวนบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด ร่วมมิสชั่นนี้ เดินทางไปด้วยกัน เพื่อเปิดช่องทางในการติดต่อสื่อสารให้ทางกองทัพ เพื่อเสริมการแก้ปัญหาอีกทางหนึ่ง แต่ก็ต้องเป็น ว.5 เพราะต้องไปที่ลังกาวี มาเลเซีย พื้นที่นัดหมาย ที่เหมาะกว่ากลันตัน และสะดวกในการเดินทางด้วยเครื่องบิน

แต่ภารกิจนี้ อาจไม่มีใครเชื่อ เพราะเชื่อในกระแสข่าว ดีลลับลังกาวี ที่ปูพื้นมาก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้น หากนายทักษิณกลับไทย ไม่ว่าวันไหน หรือจะเลื่อนเพราะรอการเลือกนายกฯ และตั้งรัฐบาลก็ตาม ก็จะสะท้อนว่าไม่เกี่ยวข้องกับการที่ พล.อ.อภิรัชต์ โดนเวรโทษ

แต่ที่ยังถูกจับตามองคือ อนาคตของ พล.อ.อภิรัชต์ หลังมีกระแสข่าวลือว่า จะเป็นรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นหลักประกันจะไม่มีเหตุอันไม่พึงประสงค์

แต่นายทหารสายตรงปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง

 

กองทัพยังคงถูกมองเป็นฐานอำนาจสำคัญของรัฐบาล แม้ว่าจะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุค คสช. และขั้วอำนาจ 3 ป. ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกฯ และ รมว.กลาโหมรักษาการ ยังคงได้ร่วมจัดโผทหาร ที่มีการแต่งตั้งทั้ง ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.ทบ. ผบ.ทร. และ ผบ.ทอ.คนใหม่ รวมถึง ผบ.ตร.ด้วย

แต่บทบาทและการแสดงออกทางการเมืองของ ผบ.เหล่าทัพที่ผ่านมา ก็ไม่ได้แสดงออกถึงการเป็นฐานอำนาจ 3 ป.เท่าใดนัก แต่จะเป็นบทบาททหารที่ปกป้องสถาบัน และดูแลความมั่นคง

นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พรรคเพื่อไทยคิดที่จะจัดตั้งรัฐบาลแบบไม่มี “ลุง” ไม่มีพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ เพราะกลัวกระแสโจมตี

แต่การที่นายทักษิณเปิดดีลกลับประเทศได้ ก็ย่อมหมายถึงการเคลียร์ทุกมิติแล้ว เพราะก็รู้กันดีว่า นายทักษิณมีคอนเน็กชั่นพิเศษหลายสาย แต่กระนั้น คอการเมืองก็เชื่อว่า พล.อ.อภิรัชต์ คือคีย์แมนคนหนึ่งที่ต้องเคลียร์ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะต้องไปพบหน้ากันก็เป็นได้

ยิ่งในสถานการณ์ที่ฝ่ายอนุรักษนิยมต้องการให้พรรคเพื่อไทยนำทัพการเมือง เพื่อสกัดกั้นพรรคก้าวไกล เช่นนี้ด้วยแล้ว นายทักษิณอาจไม่ต้องหวั่นอะไร จึงมีกระแสข่าวว่า มีการต่อสายตรงถึงอดีตคีย์แมนสำคัญในการรัฐประหารปี 2549 แล้ว ทั้งที่เปิดเผยตัวได้ และไม่อาจเปิดเผยตัว เพราะอาจมีอดีตบิ๊กทหารบางคนที่นายทักษิณอาจต้องเคลียร์ใจเป็นพิเศษ

รวมทั้งบิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตหัวหน้า คมช. ที่นำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็ยังเห็นว่า ควรแก่เวลาที่นายทักษิณจะได้กลับบ้าน กลับมาสู้คดี แถมทั้งยังการันตีนายทักษิณ สายเลือดเตรียมทหาร มีความจงรักภักดี

ดังนั้น ครั้งนี้นายทักษิณและพรรคเพื่อไทยจะต้องเดินเกมกับกองทัพให้ถูกต้อง ไม่พลาดเหมือนยุคตนเอง และอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว ที่ควบ รมว.กลาโหมหญิงคนแรก แต่ถูกรัฐประหาร

 

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า นายทหารในสายชินวัตรสนับสนุน หากอุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ให้ควบ รมว.กลาโหมหญิงคนที่ 2 แบบไม่ต้องกลัวจะถูกรัฐประหารแบบอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โดยเล็งทหารเก่าที่นายทักษิณและขั้วอนุรักษนิยมไว้วางใจ มาเป็น รมช.กลาโหม โดยไม่ต้องง้อ พล.อ.ประวิตร ให้มาร่วมรัฐบาล หรือมาเป็น รมว.กลาโหม

แต่การที่นายทักษิณจะกลับประเทศอย่างปลอดภัย ย่อมต้องมีทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ การันตี แถมมี ส.ว.ช่วยโหวตเลือกนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยให้ จึงยากที่นายทักษิณจะปฏิเสธพรรค 2 ลุง ไม่ว่าจะแบบมี พล.อ.ประวิตร ร่วม ครม.หรือไม่ก็ตาม

เพราะการที่ พล.อ.ประวิตร ตั้งบิ๊กป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องรักเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค พปชร. ก็ถูกจับตามองว่าจะให้รับตำแหน่งใน ครม.แทน

ท่ามกลางกระแสข่าวจากบ้านป่ารอยต่อฯ ว่า ในขั้ว 2 ป. ก็เดินเกมสกัด ไม่ให้พรรค รทสช.ร่วมรัฐบาล แม้ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์แล้วก็ตาม เพื่อลดภาพลักษณ์ของพรรค 2 ลุง เพราะลำพัง พล.อ.ประวิตรคนเดียวอาจไม่ถูกต่อต้านมากนัก เพราะได้ประกาศมาตลอดว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร แต่นายทักษิณก็จำเป็นที่จะต้องเอา พรรค รทสช. สร้างสัมพันธ์กับขั้วของ พล.อ.ประยุทธ์

ถึงขั้นที่มีข่าวว่า หาก น.ส.แพทองธารไม่ยอมรับทั้งพรรค รทสช. และพรรค พปชร. ทาง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ที่บินไปพบนายทักษิณที่ฮ่องกงมาแล้ว ก็จะแยกตัวจาก พปชร. ไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แล้วให้ พล.อ.ประวิตรดูแลพรรค พปชร.ต่อไป เพราะไม่ยอมประกาศวางมือทางการเมือง

 

ในขณะเดียวกัน หากเกมพลิก จนพรรคเพื่อไทยต้องยอมให้พรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพื่อลดการตกเป็นเป้าจากการกลับไทยของนายทักษิณ และลดปัญหากับพรรคก้าวไกล และรักษาฐานเสียง ยอมให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ

นายอนุทินไม่ห่วงเรื่องกองทัพ เรื่องรัฐประหาร เพราะมีพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นนายทหารมากมาย ที่เชื่อว่าทุกคนจะพร้อมต้อนรับ แม้แต่จะควบ รมว.กลาโหมเองก็ตาม อีกทั้งในการเลือกตั้งปี 2562 นายอนุทินเคยให้สัมภาษณ์ว่า พรรคเพื่อไทยจะยอมให้เป็นนายกฯ มาแล้ว แต่ตนเองไม่รับ เพราะพิจารณาแล้วว่า ยังเป็นเวลาของ พล.อ.ประยุทธ์ ตอนนั้นจึงไม่รับข้อเสนอนั้น

แต่วันนี้ นายอนุทินพร้อมที่จะเป็นนายกฯ เองแล้ว ส่วนเก้าอี้ รมว.กลาโหม พรรคแกนนำรัฐบาลก็ต้องการที่จะคุมเอง เพื่อความมั่นใจ เพราะก็มีการเล็งอดีตบิ๊กทหารหลายคนมาช่วยดูกลาโหม

ส่วน ผบ.เหล่าทัพชุดนี้ที่กำลังจะเกษียณ ไม่สามารถรับตำแหน่งการเมืองได้ เพราะต้องเว้นวรรค 2 ปี หลังพ้นจาก ส.ว. แต่ยังมีบิ๊กเกรียง พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ ผช.ผบ.ทบ. เพื่อน วปอ.61 ที่ไปมาหาสู่สนิทสนมกันดี และอดีต ผบ.ทหารสูงสุดหลายคน ที่นายอนุทินเคารพนับถือ

ขณะที่มีกระแสข่าว พล.อ.ประวิตร ต้องการโควต้า รมว.กลาโหม ให้บิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกลาโหม ลูกรักที่เกษียณพ้นจาก ส.ว.จะครบ 2 ปีในเดือนกันยายนนี้แล้ว แต่หากการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้นก่อน พล.อ.ณัฐ ก็อาจยังเว้นวรรคไม่ครบกำหนด ก็อาจจะเป็นบิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีต ผช.ผบ.ทบ. น้องรักอีกคน

 

แต่ตอนนี้ เข้าสู่เดือนสิงหาคมแล้ว เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายโผทหาร ที่คาดว่าสัปดาห์หน้า โผทหารที่ผ่านการหารือของ ผบ.เหล่าทัพ กับ พล.อ.ประยุทธ์ และบิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม และปรับแก้แล้ว จะส่งถึงกลาโหม และนัดประชุม 7 เสือกลาโหม ลงนามเคาะโผ และส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนนายกฯ และเปลี่ยนรัฐบาล เป็นโผสุดท้าย และส่งท้าย พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะถอยไปอยู่ฉากหลังการเมืองในไม่ช้า

เพราะกองหนุน 3 ป. ต้องการให้พี่น้อง 3 ป. กลับมาจับมือกันอีกครั้ง รวม พปชร. และ รทสช.เข้าด้วยกัน โดยมี 3 ป.ไปอยู่เบื้องหลัง เพราะหากไม่แย่งคะแนนกันเอง หลายพื้นที่ก็จะชนะพรรคก้าวไกลด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความรู้สึกแตกกันไปแล้ว จากความขัดแย้งต่างๆ รวมทั้งคนรอบข้าง

แต่กระนั้น 3 ป.ก็ยังจะอยู่หลังฉาก เป็นกองหนุน สู้ศึกกลเกมการเมืองไทยที่ไม่มีวันจบ และไม่มีวันสงบ เพียงแต่ขั้วอนุรักษนิยม จำเป็นต้องเปลี่ยนแม่ทัพ เปลี่ยนหมาก เปลี่ยนขุน มาสู้ศึกแทน พี่น้อง 3 ป.ที่พ่ายศึกแล้ว ยากที่จะกลับมานำทัพสู้ได้ใหม่