‘บังไพร’ | ปริญญากร วรวรรณ

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ
ช้างป่า - การซ่อนตัวอย่างมิดชิดในซุ้มบังไพร คือการขออนุญาตแบบหนึ่ง หลายครั้งที่สัตว์จะเข้ามาใกล้ชิดโดยไม่ระแวง

นอกจากกล้องและเลนส์ เครื่องที่สำคัญมากอีกสิ่งหนึ่งซึ่งผมจำเป็นต้องใช้คือ ซุ้มบังไพร หรือที่เรียกกันอย่างคุ้นชินว่า “blind”

อันเป็นเครื่องมือสำหรับการเข้าไปซ่อนตัวเพื่อไม่ให้สัตว์ป่าเห็น และรู้ว่าผมอยู่ที่นั่น

ชื่นชมกับสิ่งสวยงามที่อยู่ใกล้ๆ หลายครั้งใกล้ขนาดเอื้อมมือถึง แต่ไม่สามารถให้สิ่งสวยงาม ความมีชีวิต รู้ได้ว่าผมอยู่ตรงนั้น คล้ายเป็นเรื่องเศร้าแบบหนึ่ง

ภาพสัตว์ป่าส่วนใหญ่ของผมได้มาจากการซ่อนตัวอยู่ในซุ้มบังไพร ถึงแม้ประสบการณ์จะสอนให้รู้ว่า ไม่ว่าจะซ่อนตัวอย่างมิดชิดเพียงไร ซุ้มบังไพรแนบเนียนเพียงไหน เหล่าสัตว์ป่าก็สัมผัสได้ว่าผมอยู่ที่นั่น

การซ่อนตัว คล้ายเป็นการขออนุญาตอย่างหนึ่ง และพวกมันอนุญาตให้พบ

 

ว่าตามจริงการใช้ blind ก็เป็นวิธีเดียวกับคนล่าสัตว์ใช้เวลาล่าสัตว์ป่า พวกเขาเรียกซุ้มที่เข้าไปแอบซ่อนไม่ให้สัตว์ป่าเห็นว่า บังไพร

บังไพรที่ทำอยู่บนต้นไม้ถูกเรียกว่าห้าง ที่มักทำใกล้โป่ง หรือไม่ก็บริเวณที่สัตว์ผู้ล่าอย่างเสือฆ่าเหยื่อได้ คนล่าสัตว์จะใช้เชือกผูกซากไว้กับต้นไม้ด้วย ไม่เช่นนั้น เสือ จะลากเหยื่อไปจากบริเวณนี้

ในการล่า คนล่าสัตว์จะใช้ห้างในเวลากลางคืน เพราะสัตว์นักล่านั้น กลางคืนคือเวลาของพวกมัน

ในวัยเด็ก ผมเคยมีประสบการณ์นั่งห้างกับลุงพวง อดีตพรานล่าสัตว์ผู้ล่วงลับ

ชั่วโมงแรก มันคือความตื่นเต้น มีเสียงอะไรนิดหน่อยก็สะดุ้ง กวาดสายตามองหา ชั่วโมงต่อมา และตลอดคืนนั้น คงเรียกได้ว่า เป็นความทรมาน ไม่ว่าจะต้องนั่งบนพื้นลูกระนาดแข็งๆ ผจญกับกองทัพยุงในช่วงหัวค่ำ รวมทั้งต้องขยับตัวช้าๆ ไม่ให้เกิดเสียงดัง ใจเต้นระทึกเมื่อลุงพวงบอกว่า มีกระทิงกำลังจะลงโป่ง ทั้งๆ ที่ผมไม่เห็น หรือได้ยินอะไรอันเป็นสัญญาณว่ามีกระทิงใกล้ๆ

ผ่านพ้นคืนนั้นมาได้ เด็กชายคนหนึ่งก็ได้รับรู้ว่า การจะเป็นพราน และการนั่งห้างนั่น ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลย

ผมไม่เคยคิดหรอกว่า ต่อมา จะได้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบังไพร

 

หากไม่ทำห้างบนต้นไม้ คนล่าสัตว์จะใช้บังไพรบนพื้นในช่วงกลางวัน บริเวณที่มีต้นมะกอก มะขามป้อม หรือต้นส้าน และต้นไทรสุก ผลไม้เหล่านี้จะเรียกให้สัตว์ป่าเข้ามา

กิ่งไม้ที่จะเอามาทำซุ้ม ต้องไปตัดมาจากที่ไกลๆ ถ้าจำเป็นต้องตัดใกล้ๆ ตัดแล้วต้องหาดินมาป้ายตรงแผลที่ตัดไว้ด้วย

คนล่าสัตว์รู้เรื่องความพิเศษในการสัมผัสกลิ่นแปลกปลอมของสัตว์ป่าดี

“เวลาทำซุ้มต้องดูด้วยว่า ด่านทางเข้าออกของสัตว์อยู่ตรงไหน” ลุงพวงเคยสอน

“ข้อสำคัญดูให้ดีว่าลมพัดไปทางไหน เพราะจมูกสัตว์ป่ามันไวได้กลิ่นคนง่ายมาก”

ข้อความเหล่านี้ ลุงพวงสอนเด็กชายที่เดินตามแก ซึ่งหวังว่าโตขึ้นเด็กชายจะเป็นพรานที่ดี

คำสอนของลุงพวง คล้ายติดแน่นอยู่กับความทรงจำ

 

ผมไม่ค่อยใช้คำว่า blind นัก แต่จะเรียกที่ซ่อนตัวที่ใช้ว่า บังไพร

ไม่ใช้เพราะขณะทำงาน ผมใช้วิชาความรู้ที่ “พราน” เคยสอน

บางทีผมรู้สึกเสมอว่า มันห่างไกลกับคำว่า ช่างภาพ อันเป็นอาชีพไม่น้อย

ผมใช้วิชาที่ลุงพวงสอน แต่บนห้าง และในบังไพร ผมใช้กล้องแทนปืน

ช้างป่า – การซ่อนตัวอย่างมิดชิดในซุ้มบังไพร คือการขออนุญาตแบบหนึ่ง หลายครั้งที่สัตว์จะเข้ามาใกล้ชิดโดยไม่ระแวง

ในช่วงเริ่มต้น บังไพรที่ผมใช้ คือซุ้มบังไพรแท้ๆ แบบเดียวกับที่คนล่าสัตว์ใช้ หากิ่งไม้ใบโตๆ มาบังเสริมกับพุ่มไม้ที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ส่วนหลังคาไม่มี หากฝนตกก็ใช้ผ้าปันโจคลุมกล้องและตัว

ปันโจ คือ เสื้อกันฝนที่ทหารใช้ ช่วงเวลานั้น มีขายมากมาย ในราคาไม่แพง

บทเรียนสำคัญจากในยุคเริ่มต้นของผม คือ ผิดอย่างยิ่ง

ในการทำซุ้มบังไพรง่ายๆ เพราะหลังคาเปิดโล่งนั่น ทำให้ผมไม่รอดพ้นจากยามประจำป่า ไม่ว่าจะเป็นกระรอก นกจาบคา นกอีกหลายชนิด พวกมันเห็น และส่งสัญญาณเตือนสัตว์อื่นๆ ว่าผมอยู่ที่นั่น

เป็นบทเรียนอันทำให้ผมรู้ว่า พวกมันอยู่กันแบบสังคมที่พึ่งพากันและกัน

 

ต่อมาผมพัฒนาขึ้น โดยใช้ซุ้มบังไพรสำเร็จรูป เป็นบังไพรทำจากผ้าลายพรางมีช่องหน้าต่างที่ปิดเปิดได้ ด้านบนมีห่วงสี่มุม ตอนทำงานผมใช้ห่วงนี้คล้องหรือยึดไว้กับกิ่งไม้ ด้านนอกผมใช้กิ่งไม้มาปิดทับไว้อีกชั้น ด้านบนคลุมด้วยผ้ายางกันฝน

ข้างในไม่กว้างหรอก มันมีพื้นที่ราวสามตารางเมตร แต่ก็เพียงพอสำหรับการวางเป้ ขาตั้ง เก้าอี้พับ

เป็นบังไพรที่แนบเนียนพอควร มีหลายวิธีที่ผมใช้ลดกลิ่น ไม่ว่าจะเอาขี้ช้าง ขี้กระทิงมาโรยรอบๆ ปิดช่องทุกช่อง และหลายครั้ง สัตว์ป่าอนุญาต บางทีพวกมันเข้ามาใกล้แบบเอื้อมมือถึง เสือดาวตัวหนึ่งมานอนหมอบติดบังไพร

แต่กระนั้นก็เถอะ เวลาส่วนใหญ่ผมมักต้องรออยู่กับความว่างเปล่า

การอยู่ในซุ้มบังไพรนั้น ผมใช้วิธีซึ่งได้รับการสอนมาตั้งแต่เด็ก ขยับตัวช้าๆ ระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง

เวลาในบังไพร คือการนั่งนิ่งๆ

นั่งนิ่งๆ แต่ “ข้างใน” เดินทางไปไกล

 

ซุ้มบังไพรกันสายตาสัตว์ป่าได้บ้าง แต่สิ่งที่กันไม่ได้เลยคือ แมลง และสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ยุง และริ้น ที่เป็นเจ้าประจำ จิ้งเหลน แย้ แมงป่อง ตะขาบ รวมทั้งงูที่มักโผล่มาเยี่ยมเยือน

มดผมกันได้บ้าง โดยโยนข้าวสักหยิบมือไว้ที่มุมหนึ่งให้มดไปสนใจที่นั่น ส่วนยุงใช้เสื้อแขนยาว และสวมหมวกไอ้โม่ง

จิ้งเหลน แย้ ไม่ใช่ปัญหา ส่วนตะขาบ แมงป่อง มีบ้าง แต่ใช้ไม้เขี่ยๆ ก็เปลี่ยนเส้นทาง งูป้องกันยาก แต่ใบไม้แห้งที่ผมโรยไว้รอบ ช่วยได้บ้าง เพราะจะได้ยินเสียงแกรกกราก ทำให้รู้ตัวก่อนหากมีงูเลื้อยเข้ามา

ว่าไปแล้ว หลายครั้งขณะเฝ้ารอ ผมคิดถึงซุ้มบังไพรที่มิดชิด ให้กันได้ทั้งยุง มด หรือแม้แต่งู

กลับออกไปจากป่าครั้งนี้แหละ จะจัดหามา

ผ่านไปหลายปี ผมยังใช้ซุ้มบังไพรเดิม

 

ซุ้มบังไพร ว่าไปแล้วก็เหมือนโลกแคบๆ ของผม

เป็นโลกแคบซึ่งเป็นที่รับบทเรียน มีครูผลัดเปลี่ยนเวียนกันเข้ามาสอน

โลกแคบ อันทำให้ผมรู้และเข้าใจดีว่า โลกกว้างใหญ่ข้างนอกนั่น ไม่ใช่สถานที่ซึ่งสร้างมาเพียงเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์

 

เช้ามืด จากแคมป์ผมใช้เวลาเดินราว 50 นาทีขึ้นเนินชัน ข้ามลำห้วยสองครั้ง ลุยดงหญ้าสูงที่ใบเปียกชุ่มเสื้อผ้าเปียก ผมเข้าประจำที่ในโลกแคบๆ อีกครั้ง ยุงเข้าตอม รองเท้าเปียกดูเป็นที่ชื่นชอบของมดคันไฟที่กัดเจ็บแปลบ ยุงก็ดุเสียจริง ผมคิดถึงซุ้มบังไพรที่มิดชิด

หรือคิดอีกที มันอาจไม่ใช่เรื่องน่าสนุกอันใด หากมองไปยังโลกกว้างข้างนอก ขณะที่ผมอยู่ในโลกแคบที่มิดชิด ไม่มีชีวิตใดเข้ามาได้

ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ผมใช้ซุ้มบังไพรอันเดิม

บางทีอาจไม่ใช่เรื่องน่ารื่นรมย์นักหรอกเมื่อต้องอยู่ใน “บังไพร” อันเป็นโลกแคบแค่ 3 ตารางเมตร เพียงลำพัง •

 

หลังเลนส์ในดงลึก | ปริญญากร วรวรรณ