รัฐบาลผสมใหม่! | สุรชาติ บำรุงสุข

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

นักวิเคราะห์การเมืองไทยทุกคนรู้ดีว่า หากพรรคฝ่ายค้านก่อนการเลือกตั้ง 2566 เป็นผู้ชนะแล้ว การจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นปัญหาในตัวเองอย่างมาก และอาจจะต้องสะดุดลงจนสามารถกลายเป็น “วิกฤตใหญ่” ได้ไม่ยาก เนื่องจาก รัฐธรรมนูญ 2560 นั้น ถือกำเนิดขึ้นเพื่อการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร 2557 และปูทางไปสู่การจัดตั้ง “ระบอบไฮบริด” ที่เป็นการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองแบบ “ครึ่งๆ กลางๆ” เพราะไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มรูป เท่าๆ กับที่ไม่เป็นเผด็จการเต็มตัวในแบบรัฐบาลทหาร

ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบโดยรัฐบาลทหาร จะเป็นหลักประกันว่า ถ้ารัฐบาลสืบทอดอำนาจต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้ง แต่ฝ่ายค้านที่เป็นผู้ชนะแล้ว พวกเขาจะไม่มีทางที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เลย ด้วยการให้อำนาจแก่วุฒิสภาในการเป็นผู้ลงเสียงร่วมกับสภาล่างในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งโอกาสที่พรรคการเมืองจะ “ชนะขาด” ในสภาล่าง โดยไม่ต้องพึ่งเสียงของสภาสูงนั้น เป็นไปไม่ได้เลย … ไม่ว่าจะอย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะเสียงวุฒิสภา โดยเฉพาะเมื่อผนวกกับประเด็นกฎหมายมาตรา 112 อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า วุฒิสภาก็คือ หนึ่งใน “แกนกลาง” ของการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารที่เห็นได้ชัดเจน ไม่ต่างจากรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการจัดตั้งพรรคทหาร

ฉะนั้นในภาพรวมแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกออกแบบเพื่อให้เกิดการ “ชลอตัว” ของกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ที่ชัยชนะในการเลือกตั้งจะไม่ให้ผลตอบแทน ที่นำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลได้ตามเสียงจากการเลือกตั้งนั้น ในสภาพเช่นนี้ ผลการเลือกตั้งที่เป็นชันชนะของฝ่ายค้าน จึงเป็นดัง “จุดเริ่มต้น” ของวิกฤตการเมืองที่จะเกิดตามมา เพราะไม่เพียงพรรคที่ชนะอันดับ 1 ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ด้วยกลไกรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจวุฒิสภาในการลงเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีเท่านั้น หากยังเกิดคดีทางการเมืองที่จะให้ผู้นำพรรคฝ่ายค้านต้องหลุดออกไปจากกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภาด้วย อันส่งผลให้ “รัฐบาลผสมพรรคฝ่ายค้าน” ต้องเผชิญกับอุปสรรค และทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปได้ยาก และเปิดโอกาสให้ผู้นำเก่าอยู่ในอำนาจได้ต่อไปอีก

สภาวะที่เกิดขึ้นเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของระบอบไฮบริด ที่เป็นผลสืบเนื่องจากการรัฐประหาร 2557 และเมื่อกลไกรัฐธรรมนูญและวุฒิสมาชิกได้ทำภารกิจในการชลอการเปลี่ยนผ่าน และทำให้ “รัฐบาลผสมของพรรคฝ่ายค้าน” ต้องประสบปัญหาอย่างมาก ดังเช่นที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว

ต่อจากนั้น กลไกอีกส่วนที่จะทำหน้าที่ต่อมาคือ “พรรคทหาร” ที่มีทั้งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จะต้องก้าวเข้ามามีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้ได้ โดยอาจจะชักจูงให้วุฒิสภายอมรับการจัดตั้ง “รัฐบาลผสมฝ่ายค้าน/ฝ่ายรัฐบาล” หรือด้วยการรวมเสียงในสภาล่างให้ได้มากพอ โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยของความเป็นพรรคทหาร ที่เป็นเส้นแบ่งทางการเมืองในแบบเดิม

อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคฝ่ายค้านคือ พรรคเพื่อไทยที่เข้ามาเป็น “แกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาลจากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ได้พิจารณาโดยให้น้ำหนักกับเวลาของการเป็นรัฐบาลให้ได้เร็วที่สุด เพื่อ “เป็นโอกาส” ของประเทศ ที่จะต้องมีรัฐบาล แต่การกระทำเช่นนี้อาจมีราคาแพงที่ต้องจ่ายอย่างมาก เพราะการกำเนิดของ “รัฐบาลผสมพรรคฝ่ายค้าน/พรรคทหาร” จะกลายเป็นปัญหาในตัวเองกับพรรคเพื่อไทยในอีกแบบ และอาจเป็นปัจจัยที่ทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคเพื่อไทยในการเป็นพรรคใน “สายประชาธิปไตย”

เนื่องจาก การเมืองที่ถูกแบ่งฝ่ายในบริบทของสังคมไทยนั้น เห็นถึงความชัดเจนในการต่อสู้ระหว่าง “พรรคฝ่ายค้าน vs พรรคทหาร” และพรรคฝ่ายค้านหาเสียงบนความเชื่อมโยงกับการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ขณะเดียวกันก็ต่อต้านรัฐบาลทหารที่สืบทอดอำนาจ และการสืบทอดอำนาจเช่นนี้ มีพรรคทหารเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ หรืออาจกล่าวได้ว่า พรรคทหารคือ “เสาค้ำ” ของ “ระบอบประยุทธ์” ที่ทำให้ผู้นำรัฐประหารเดิมยังคงมีอำนาจได้ต่อไปอีกหลังการเลือกตั้ง 2562 จนถึงปัจจุบันนั่นเอง

ดังนั้น 4 ปีของการต่อสู้ในระบบรัฐสภา จึงเป็นภาพของการต่อสู้ระหว่างพันธมิตรของพรรคที่ประกาศตัวอยู่ในสายของ “ปีกประชาธิปไตย” กับพรรคอีกส่วนที่รวมกัน โดยมี “พรรคทหาร” เป็นแกนกลาง ซึ่งการต่อสู้เช่นนี้ทำให้เกิด “พันธมิตรพรรคฝ่ายค้าน” ตั้งแต่ก่อน จนมาถึงหลังเลือกตั้ง และเป็นความคาดหวังของผู้คนในสังคมที่ไม่ตอบรับกับรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจว่า พรรคในปีกนี้จะเป็นทางเลือกของการสร้าง “การเมืองใหม่” ที่จะทำให้ระบอบไฮบริดที่ทำหน้าที่สืบทอดอำนาจรัฐประหารนั้น ถึงจุดสิ้นสุด… แน่นอนว่า ผู้คนที่ไม่ตอบรับกับ “ระบอบประยุทธ์” ไม่ว่าจะอยู่ใน “สีการเมือง” อะไรก็ตาม มีความหวังในเรื่องนี้อย่างมาก

ความพยายามในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งที่ 2 ของทางพรรคเพื่อไทย ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดที่พยายามจะดึงพรรคต่างๆ เพราะในเงื่อนไขของความเป็นรัฐบาลผสม จะต้องหาทางดึงพรรคการเมืองอื่นให้เข้ามาร่วมให้ได้ เพื่อเอาชนะอุปสรรคจากการออกเสียงของวุฒิสภา แต่เมื่อเกิด “ภาพสุดขั้ว” ที่เห็นการเปิดตัวของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของสูตร “รัฐบาลผสมพรรคฝ่ายค้าน/พรรคทหาร” แล้ว หลายฝ่ายที่ต่อสู้กับ “ระบอบประยุทธ์” มา ย่อมรู้สึกว่า ทางเลือกของการจัดตั้ง “รัฐบาลผสมใหม่” เช่นนี้ อาจเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ โดยเฉพาะ ผู้นำของพรรคทหารคือ ผู้นำการทำรัฐประหารในการล้มรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในปี 2557

อย่างน้อย หลายฝ่ายที่ร่วมในการต่อต้าน “ระบอบรัฐประหาร” ที่แปรรูปเป็น “ระบอบประยุทธ์” หลังการเลือกตั้ง 2562 นั้น ย่อมไม่ต้องการเห็นการ “ผสมพันธ์ุใหม่” ที่ทำให้ระบอบนี้อยู่ต่อไปได้ แม้จะไม่มีการอยู่ของตัวบุคคลที่เป็นผู้นำรัฐประหารแล้ว แต่พรรคทหารก็คือ ตัวสัญลักษณ์ของความเป็นตัวแทนระบอบนี้ที่ชัดเจน

ถ้าคำตอบของ “รัฐบาลผสมใหม่” คือ การเข้าร่วมของพรรคทหารแล้ว ก็จะกลายเป็นการสืบทอดระบอบไฮบริดในอีกแบบ อีกทั้ง หากคิดในทางกลับกัน จึงเป็นเสมือนหนึ่ง “ระบอบประยุทธ์” ได้เชิญพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งหลายคนที่เคยร่วมต่อสู้กันมาย่อมอดคิดเป็นห่วงไม่ได้ว่า การตัดสินใจเช่นนี้คือ การ “ทำลายความน่าเชื่อถือ” จนอาจกลายเป็น “วิกฤต” ของพรรคเพื่อไทยในอนาคตหรือไม่ เพราะสังคมยังต้องการเห็นพรรคเพื่อไทยเป็น “เสาประชาธิปไตย” หนึ่งของการเมืองไทย… การตั้งรัฐบาลผสมครั้งนี้ จึงเป็นความท้าทายต่อพรรคเพื่อไทย และต่อการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของไทยอย่างยิ่ง !