ฟุนซินเปก-โลกใบใหญ่ ในมือ ‘องค์จักราวุธ’

อัญเจียแขมร์ | อภิญญา ตะวันออก

 

ฟุนซินเปก-โลกใบใหญ่

ในมือ ‘องค์จักราวุธ’

 

เมื่อบิดายังคงพระชนม์ชีพ “สามพี่น้องนโรดม” อันมี รัตนาเทวีน้องนุช สีหฤทธิ์พี่ชายคนกลาง และจักราวุธ-พี่ชายองค์โตในจำนวนพี่น้อง 3 คนของสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์

พวกเธอและเขา ต่างไม่เคยรู้สึกมีความสุขกับชีวิตการเมืองของพ่อและแม่ในประเทศกัมพูชา

โดยเฉพาะการประสบอุบัติเหตุทางการเมืองหลายต่อหลายครั้ง และล่าสุดคือ เมื่อสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะออกหาเสียงเมื่อ 5 ปีก่อน

จนพระองค์ไม่สามารถจะคืนกลับมาเป็นปกติได้

ในที่สุด ก็สิ้น “ชีพิตักษัย”

รัตนาเทวีลูกสาวที่เฝ้าเห็นบิดาสูญเสียมากมายในการเมืองหลายต่อหลายครั้ง ทรงทุกข์ตรอมจิตใจไปมาก โดยเฉพาะครั้งสุดท้าย ในการสูญเสียเนียะมะเนียง/หม่อมพอลลา-ภรรยาคนที่ 2 ที่อยู่กินกันมา และ 2 โอรสกำพร้าที่องค์รัตนาและมารีอุปการะ

ในระยะเวลาอดีตคู่ชีวิตสมเด็จกรมพระรณฤทธิ์ที่กลับมาในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และท่านหญิงนโรดม มารีที่ได้ปรนนิบัติจนวาระสุดท้าย ท่ามกลางอ้อมกอดผู้เป็นที่รักของอดีตภรรยา

นั่นคือ ความสะเทือนใจอันลึกซึ้งของสมาชิกครอบครัวรณฤทธิ์ที่มีต่อกันเป็นวาระสุดท้าย ก่อนองค์รณฤทธิ์จะถึงชีพิตักษัยในปลายปี 2021

โดยทิ้งสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่นั่นคือ พรรคฟุนซินเปกให้แก่ทายาท!

ตอนที่ตรุงรณฤทธิ์ รับภารกิจการเมืองจากสมเด็จพ่อ (สีหนุ) และบินกลับประเทศนั้น นโรดม จักราวุธเพิ่งอายุเพียง 21 ปี ส่วนหญิงรัตนาเทวีนั้น ยังไม่จบไฮสกูล

จักราวุธกับสีหฤทธิ์น้องชาย ดูจะเหมือนเด็กฝรั่งเศสทั่วไปที่ใช้ชีวิตอิสระ และเลือกที่จะเป็นตัวเอง

ขณะที่หญิงรัตน์ (รัตนาเทวี) นั้นอยู่ภายใต้กฎของแม่ที่ยังเคร่งครัดทางจารีตแบบชาวราชสำนัก (แม้จะยุคหลัง) และนั่นทำให้รัตนาเทวีกลายเป็นตัวแทนของมารดาออกงานสังคมซึ่งเป็นทั้งแขกเหรื่อของสมเด็จปู่/อัยกา, สมเด็จป้า และบิดาของเธอเอง

นัยทีเหล่านั้น มันมีหลายอย่างที่อยู่ในจิตใจอันยากจะเยียวยาหรือหาคำอธิบายสำหรับท่านหญิงรัตนา โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ยากลำบากของบิดาทั้งเรื่องส่วนตัวและการเมือง

กระนั้น วันเวลาที่คล้อยผ่าน ในที่สุด พันธกิจของชีวิตที่จะเป็นนักการเมืองของทายาทรณฤทธิ์ก็เวียนมาบรรจบ และเป็นองค์นโรดม จักราวุธที่รับมรดกนี้ ด้วยการเป็นประธานพรรคฟุนซินเปกอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปีกลายที่ผ่านมา

นโรดม จักราวุธ (53) เป็นผู้ไม่สนใจการเมืองและใช้เวลากว่าค่อนชีวิตไปกับประเทศอื่นซึ่งพูดภาษาฝรั่งเศส ขณะที่ภาษาแม่ของเขานั้น ก็ไม่สู้แข็งแรงเหมือนราชนิกุลหลายคนของกัมพูชา อาทิ สมเด็จพระบรมรัตนโกศนโรดม สีหนุ ผู้มีบทบาทสำคัญของกัมพูชา

จักราวุธไม่คิดเจริญรอยตามกรมพระรณฤทธิ์ผู้เป็นพ่อและสมเด็จปู่สีหนุแต่อย่างใด

ความประดังประเดรันทดใจมากมายในครอบครัวที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า โอรส-ธิดารณฤทธิ์ ต่างมีภาพจำการเมืองของพ่อแม่ที่ปวดร้าวจากวิถีชีวิตทางการเมืองนั้น มันไม่ใช่ความสุขอะไร ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

ตัวอย่าง อุบัติเหตุรถยนต์ของพ่อและหม่อมพอลลาที่จังหวัดกำโปดขณะตระเวนหาเสียงเลือกตั้งปี 2018 การเสียสละทั้งชีวิตในฐานะภรรยานักการเมืองของมารดาผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระองค์มจะสตรีแห่งกัมพูชา ที่ถูกสวามีทอดทิ้ง ผลพวงจากรัฐประหาร

ตลอดจนการแย่งชิงไปมาในพรรคการเมืองระหว่างพ่อกับญาติวงศ์บางคนในราชนิกุล และอื่นๆ

แต่ชะตากรรมก็เหมือนกำหนดว่า นโรดม จักราวุธ ต้องรื้อฟื้น “ฟุนซินเปก!”

และมันถูกทำให้จบไปแล้วสำหรับความขมขื่นใจตั้งแต่สมัยสมเด็จปู่สีหนุ, บิดา มารดา และน้องสาวของตน เช่นเดียวกับความร้าวรานเก่าๆ ในอดีต

นโรดม จักราวุธตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นนักบริหารที่สามารถสวมหมวกหลายใบในการบริหารกิจการของตน โดยเฉพาะธุรกิจการเมืองที่พ่อฝากฝัง

โชคไม่ดีที่ “ฟุนซินเปก” ถูกมองว่าเป็นเหมือน “วิบัติ” หรือของแสลงสำหรับใครก็ตามที่เผลอไปรับมา นั่นคือเรื่องร้ายๆ มากมายในพรรคนี้ ตั้งแต่กรณีหม่อมพอลลาตั้งท้องกับบิดา และกลายเป็นปมหย่าร้างกับท่านหญิงนโรดม มารีมารดาของเขาที่ฟ้องร้องสมเด็จกรมพระรณฤทธิ์จนถูกขับจากการเมืองในที่สุด

ใครจะรู้ว่า นี่คือการละเมิดกฎหมายที่ร้ายแรงของสมเด็จฮุน เซน ในการ “ห้าม” นักการเมืองมีเมียน้อยโดยเด็ดขาด!

องค์รณฤทธิ์ก็ไม่ยอม ทรงสร้างครอบครัวใหม่ที่เสียมเรียบ แต่นานไปสมาชิกนโรดมทุกฝ่ายก็กลับมาเห็นแก่สมบัติการเมืองชิ้นสุดท้ายของกษัตริย์นโรดม สีหนุ

ในที่สุด รณฤทธิ์ก็กลับมาฟุนซินเปกและเป็นครั้งสุดท้าย!

ก่อนที่นโรดม จักราวุธจะแบกตราโล่นี้ไว้บนบ่า ทว่าถึงวันนี้ ฟุนซินเปกกลายเป็นพรรคที่ผู้คนชาวกัมพูชาแทบจะไม่รู้จัก!

และนโรดม จักราวุธ ซึ่งบัดนี้ไม่เหลือใครในราชสำนัก ในเครือข่ายสมเด็จพ่อผู้ล่วงลับ ญาติทั้งฝ่ายบิดาและมารดาผู้พร้อมจะแย่งทำการเมืองในนามของพรรคนี้ตลอดเวลา ช่างเป็นเรื่องจริงที่น่ารันทดจนแม้แต่หญิงรัตนาในวันที่บิดาของคนทั้งสองยังนอนป่วย

อย่างไรก็ตาม ดูหมือนนโรดม จักราวุธกลับมีดุลยภาพในการทำงานการเมืองอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยและเกินกว่าที่ใครคิด นั่นคือ วันที่เขายืนต้อนรับสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาแนต อย่างเจียมเนื้อเจียมตน

ซึ่งบางครั้งดูจะมากกว่า “สมเด็จพระปิตุลา” หรือกษัตริย์นโรดม สีหมุนี นั่นเสียอีก!

แตกต่างกันขณะที่ฮุน มาแนต ทายาทสมเด็จฮุน เซน ซึ่งเป็นทั้งนายทหาร ทำธุรกิจ ซ้ำบิดายังมีอำนาจสูงสุดของประเทศนั้น แต่เหลือจะประมาณ นโรดม จักราวุธกลับโดดเดี่ยว ทำการเมืองแบบพอเพียง ไม่มีทั้งอำนาจบารมีและเงินทองที่จะสร้างเครือข่าย

หมายความว่า เขาจะต้องแย่งชิงผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในธุรกิจการเมืองเยี่ยงสมัยของบิดา

น่าประหลาดใจกว่านั้น

ภาพความอ่อนน้อมถ่อมตนของนโรดม จักราวุธที่มีต่อสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชฮุน เซน ในหลายๆ วาระโอกาส ด้วยภาษากายการทูตที่น่าชื่นชมต่อหน้าสาธารณชน

มันยังบ่งบอกว่า ผู้นำฟุนซินเปกหน้าใหม่รายนี้ ไม่ประดักประเดิดใจในการลำดับชั้นความสำคัญ และสำหรับภาพจำที่น่าคับแค้นในอดีต ฟุนซินเปกสมัยพ่อ ต่อการเผชิญหน้าบุรุษกล้าผู้นี้

ซึ่งเท่ากับว่า มันจบแล้วอดีตและความหลัง และยุคใหม่การเมืองเขมรอาจจะเกิดขึ้นแล้วระหว่างมาแนต-จักราวุธ ที่ครั้งหนึ่งใครเลยจะรู้ว่าสมเด็จฮุน เซน นั้นถึงกับหวังดองลูกชายของตนกับองค์หญิงรัตนาเทวีเลยด้วยซ้ำ

ช่างเป็นเรื่องราวทำนองย้อนยุคแบบ “ขมิ้นกับปูน” ที่ชาวเขมรนำมารีเมกเป็นละครโทรทัศน์ฉบับของตน ใช้ตำหนักพ่อเมืองพระตะบองที่สยามเคยสร้างไว้ ถ่ายทำเลยทีเดียว และนี่ไม่ใช่พ้องเรื่องราวระหว่างสายสกุลนโรดม-ตระกูลฮุนแต่อย่างใด

หากองค์จักราวุธดูเหมือนจะปรับตัวให้เข้ากับชีวิตการเป็นนักการเมืองได้ดีกว่าที่คิดกว่ารุ่นสมเด็จอัยกา บิดา ตลอดจนวงศาคณะญาติอื่นๆ ซึ่งต่างจากเจเนอเรชั่นสมัยตน

ถ้อยทีระหว่างตรุงกับฮุน มาแนต จึงเป็นท่าทีแห่งความเป็นมิตรมากกว่าคู่ประกวดประแจง/แข่งขัน!

อีกการที่ฟุนซินเปกยุคใหม่ต่างไปจากอดีตนั่น ยังช่วยให้จักราวุธบินได้สูงกว่าเพดานที่ถูกจำกัด จนบ่อยครั้งต้องร่วงหล่นลงมาบาดเจ็บ

บางทีการเป็นลูกไม้ไกล-ไกลต้น! ก็ก่อผล-เอาตัวรอด!