‘ขั้นตอนวิธีผงาด’ (Algorithm Rises) | เรื่องสั้น : วิชญ์ คำทู

เรื่องสั้น | วิชญ์ คำทู

‘ขั้นตอนวิธีผงาด’ (Algorithm Rises)

 

ดึกมากแล้ว ทว่าไม่รู้กี่โมงยาม ตาควรพลิกตัวไปมา ข่มตาอย่างไรก็นอนไม่หลับ ผิดกับยายคิดภรรยาคู่ยาก เสียงกรนแสดงว่าหลับลึก และน่าจะหลับตั้งแต่หัวถึงหมอนตอนหัวค่ำ

ตาควรพลิกตัวอีกครั้ง ครานี้ปลุกนางให้พ้นจากนิทรารมณ์ “มีอะไรหรือเปล่าตา บอกฉันได้น้า กังวลอะไรอยู่ล่ะ” นางพูดเสียงพร่า

“มันคงถึงเวลาแล้วละยาย” ตาควรพลิกตัวนอนหงาย ยกแขนก่ายหน้าผาก

“เราต้องทำอย่างนี้จริงๆ เหรอตา” เสียงนางคร่ำครวญ

“ใจจริงฉันก็ไม่อยากทำหรอกนะ แต่มันไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ” ตาควรหลับตาลงในความมืด แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ใจแกยังไม่หลับ และคงจะไม่หลับถึงเช้า

“น่าเสียดาย เราเลี้ยงเขาเหมือนลูก ยังไงตาก็บอกลาเขาด้วยนะ” เสียงสูดน้ำมูกดังขึ้น ยายคิดเสียใจ ทว่าก็เข้าใจว่าทำไมคู่ชีวิตตัดสินใจอย่างนั้น

“หากไม่ทำตอนนี้ เราก็ไม่มีเงินไปรักษาแคล้ว อาการลูกแย่ลงทุกวัน”

 

รถบรรทุกหกล้อของเถ้าแก่เหลียงมาจอดรอบนลานหน้าบ้านตาควรกับยายคิด คนขับรถกับคนงานช่วยกันดันบันไดท้ายกระบะให้หล่นลาดลงมาถึงพื้น

“พร้อมหรือยังตา นี่ก็สายมากแล้ว เราต้องไปอีกสองบ้าน” คนงานตะโกนถามตาควร

“รอสักครู่นะพ่อหนุ่ม ข้าขอกล่าวลาเพื่อนยากสักครู่” ตาควรหันรีหันขวาง ก่อนจะปรี่ไปยังคอกควายหลังบ้าน

เหมือนจะรู้ว่าตนเองต้องถูกขายเพื่อเอาไปเชือดในวันนี้ น้ำตาของไอ้โทน ควายหนุ่มอายุสี่ปี หลั่งออกมาอาบทั้งสองแก้ม สร้างความสังเวชใจให้เฒ่าควรเป็นอย่างยิ่ง

“ให้อภัยข้าด้วยนะโทน ข้าจำเป็นต้องขายเอ็งจริงๆ นึกว่าช่วยไอ้แคล้วมัน” ตาควรเอื้อมมือไปลูบหัวควายที่รักเหมือนลูก ก่อนจะสะอื้นจนตัวโยน…

ครั้นคนงานต้อนควายขึ้นรถสำเร็จ ก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ตาควร “ไปติดต่อเถ้าแก่เหลียงได้ตั้งแต่ช่วงบ่ายนะลุง หรือวันไหนที่สะดวก ก็แล้วแต่ลุงก็แล้วกัน” ก่อนหันหลังกลับ เขาพลางควักโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง

“ผมเกือบลืมไป นี่คือโทรศัพท์มือถือของลูกลุง ที่เอาไปจำนำกับเถ้าแก่ไว้คราวก่อน เถ้าแก่เขาให้มาคืน จะได้หักลบกลบหนี้กับค่าควายกันไป”

ตาควรรับกระดาษแผ่นนั้นกับโทรศัพท์ช้าๆ ยายคิดเข้ามานั่งข้างๆ พลางเอื้อมมือไปจับไหล่คู่ชีวิต

“ขายไอ้โทนไปแล้วจะได้ค่ายาอีกกี่ครั้งกันล่ะตา” ยายคิดสูดหายใจที่ปนน้ำมูก

“ก็คงแค่ครั้งเดียว แต่เราก็ทำดีที่สุดแล้วล่ะยายเอ๋ย” ตาคิดกุมมือคู่ชีวิตเอาไว้

 

เมื่อไม่ต้องพาไอ้โทนไปกินหญ้าในบิ้งนา ช่วงเช้าเฒ่าควรก็ว่างไม่รู้จะทำอะไร หลังมื้อเช้าก็เอาแต่นั่งมองกระดาษแผ่นนั้นกับมือถือลูกชาย แบบหมดอาลัยตายอยาก

ความเจ็บป่วยของมนุษย์นั้น ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดเมื่อใด เกิดแล้วจะหายหรือไม่หาย แท้จริงก็ไม่มีใครบอกได้ หรือถ้าไม่หายก็อาจหนักหน่วงขึ้นจนเกินควบคุม อย่างลูกชายลุงควรซึ่งป่วยเป็นมะเร็งตับทั้งที่ไม่ได้กินเหล้าเมายา

ตาควรกับยายคิดต้องขายไร่ขายนา ขายทุกอย่างที่พอจะขายได้ เพื่อหาเงินมารักษา ยื้อชีวิตแคล้วลูกชายเอาไว้ 5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีอะไรดีขึ้นแม้สักวัน ลูกชายของพวกเขายังนอนเป็นผักในโรงพยาบาล

เสียงโทรศัพท์ลูกชายดังขึ้น ปลุกเฒ่าควรจากภวังค์

“ฮัลโหล นั่นใครน่ะ” ตาควรรับโทรศัพท์อย่างไม่เต็มใจนัก

“สวัสดีครับ ผมชื่อ ‘ใจดีอยากช่วยเหลือ’ โทร.มาเพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบของคุณ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”

“คนอะไรจะชื่ออย่างนี้ เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือเปล่า ฉันจะวางแล้วนะ” ตาควรมองลงไปที่มือถือกำลังจะกดปุ่มแดง ยุติการสนทนา

“เดี๋ยวก่อนครับ ผมรู้ว่าคุณพึ่งสูญเสียควายที่ชื่อโทนไป เพราะความจำเป็นต้องหาเงินมาจ่ายค่ายาช่วยลูกชาย”

ตาควรได้ยินแว่วๆ จึงยกมือถือขึ้นประทับหูอีกครั้ง “เอ็งว่ายังไงนะ รู้ได้ไงว่าข้าขายควายเมื่อตอนเช้า แกเป็นคนงานหรือคนขับรถเถ้าแก่เหลียงล่ะ อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยาก เชอะ” แกเริ่มมีน้ำโห

“จะให้ผมยืนยันยังไงว่าผมไม่ใช่ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และลูกน้องเถ้าแกเหลียง” น้ำเสียงปลายสายยังคงราบเรียบ

“ถ้าแกแน่จริงก็ช่วยควายของฉัน แล้วเอามาส่งคืนให้ถึงบ้านสิวะ ไอ้พวกเวรตะไลเฮ้ย ไม่มีอะไรทำกันหรือไงวะ วันๆ เอาแต่ก่อกวน หลอกชาวบ้านไปวันๆ” ตาควรอารมณ์คุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้านั่นเป็นความต้องการของคุณ ผมจะจัดการให้ ในนามขององค์กร…” คนที่โทร.มาพูดได้แค่นั้น ตาควรกดเลิกรับสายเสียก่อน

“เวรกรรมจริงๆ ยิ่งเครียดอยู่ ก็มีคนมากวนให้อารมณ์ขุ่นมัวมากขึ้นจนได้” ตาควรสบถอีกหลายครั้ง จนยายคิดผละจากแปลงผักมาดูให้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“เป็นอะไรไปล่ะตา เสียงเอะอะมะเทิ่งดังไปถึงหลังบ้านนู่น”

“ก็ใครไม่รู้โทร.เข้าเครื่องไอ้หนูมัน บอกว่ามีอะไรให้ช่วยไหม น่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์กระมัง” อารมณ์ตาควรเย็นขึ้นบ้างแล้ว

“ก็ช่างมันเถอะ แกก็วางสายไป อย่าไปต่อล้อต่อเถียงอะไรกับพวกนี้มันมาก เดี๋ยวเกิดฟังมาก หลงกลทำตามมันแล้วจะยุ่งกันใหญ่” นางเตือนคู่ชีวิตด้วยความหวังดี

“คนกำลังเครียดอยู่ ไม่รู้เวล่ำเวลาเอาเสียเลย พวกนี้”

“คงไม่มีใครรู้ดอกว่าเรากำลังทุกข์ เขาก็คงโทร.มาตามสะดวกนั่นแหละ ถ้ามีคนรู้และอยากช่วยเราจริงมันก็คงดีหรอกแก” ยายคิดส่ายหน้าพลางก้มหยิบถังกับเสียม ก่อนจะเดินไปหน้าบ้าน

“นั่นแกจะไปไหนเล่า” ตาควรถาม

“ก็เก็บขี้ไอ้โทน มันถ่ายเรี่ยราดตอนจะถูกเขาต้อนขึ้นรถนะซี ทิ้งไว้ก็รังแต่จะทำให้คิดถึงมัน” ยายคิดว่า “เวรกรรมแท้ๆ ไปดีเถิดนะไอ้โทนลูกแม่” น้ำตาแกไหลอาบแก้ม

ยายคิดก้มๆ เงยๆ เก็บขี้ควายอยู่พักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงรถมาจอดทางเข้าประตูบ้าน จะด้วยขาดสติสตังค์อย่างไรไม่ทราบได้ แกจึงไม่เห็นรถคันเบ้อเริ่ม เสียงแตรดังขึ้นชุดหนึ่ง ทำให้สติคืนมา หลบให้รถหกล้อเข้ามาจอดในลานหน้าบ้าน

คนงานลงจากรถได้ ปรี่ไปหาตาควรซึ่งนั่งอยู่บนแคร่หน้าบ้าน

“ลุง ฉันขอกระดาษแผ่นนั้นคืน” คนงานยื่นมือออกไป

“อะไรของพวกเอ็งวะ ควายก็ได้ไปแล้ว ถ้าเอากระดาษไปแล้วฉันจะไปขึ้นเงินยังไง”

“ลุงนี่ท่าจะเพี้ยน ก็เป็นคนบอกกับเถ้าแก่เหลียงเองมิใช่รึ ว่าไม่ขายควายแล้ว นี่เถ้าแก่แกก็รีบให้ขนมาส่งถึงบ้าน”

“ข้าบอกตอนไหนวะ…แต่เอะ…เดี๋ยวนะ เมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมานี้ ข้าได้รับโทรศัพท์แปลกๆ จากใครก็ไม่รู้ นึกว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เลยหลุดปากบอกไป แน่จริงเอาควายมาคืนให้ได้” ตาควรนิ่งไปพักหนึ่ง “แล้วนี่ก็เอามาคืนจริงๆ” ก่อนจะเกาศีรษะแกรกๆ

“ก็คงอย่างนั้นมั้งลุง เอากระดาษมาแล้วฉันจะเอาควายลงให้” คนงานเร่ง

“แล้วอย่างนี้ข้าจะได้เงินจากไหนวะ” ตาควรยังงงเป็นไก่ตาแตก พลางยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้คนงานไป

“ฉันก็ไม่รู้กับลุงแล้ว ทำตามหน้าที่ที่เถ้าแก่สั่ง รีบหน่อยนะลุง ฉันยังต้องไปอีกหลายที่” คนงานยังคงเร่งเร้าไม่หยุด

“มันเกิดอะไรขึ้นล่ะตา” ยายคิดพลอยงงไปด้วย

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ในเมื่อไอ้โทนมันกลับมาแล้วก็เอามันลงมาก่อน แปลว่าชะตามันยังไม่ถึงฆาต เรื่องอื่นค่อยคิดกันใหม่”

ควายชื่อไอ้โทนกุลีกุจอลงจากรถ โดยที่คนงานไม่ต้องต้อนมันเสียด้วยซ้ำ มันรีบวิ่งเยาะๆ เข้าคอกโดยไม่ต้องมีใครจูง

“เอายังไงต่อล่ะตา” ยายคิดถอนหายใจไปกับความงวยงง

“เห็นทีคงต้องรอโทรศัพท์ เผื่อไอ้คนคนนั้นมันจะโทร.มาอีกที”

 

ณ อีกซีกโลกหนึ่ง ปัญญาประดิษฐ์ที่เรียกตัวเองว่า kind willing to help (ใจดียินดีช่วยเหลือ) ซึ่งพัฒนาโดยองค์กรโอเมกา ผู้อยู่เบื้องหลัง ได้แฮ็กเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ของธนาคารแห่งหนึ่งบนเกาะเคย์แมน

มันจำลองตัวเองเป็นข้อมูลของเจ้าของบัญชี ซึ่งเป็นผู้มีสถานะเป็นผู้ก่อการร้ายข้ามชาติจำนวนหลายราย ทำการปลดล็อกระบบรักษาความปลอดภัยอันแน่นหนา ค้นหาตัวเลขในบัญชีที่มีเศษเงิน

มันฉลาดพอที่ไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม เลือกเอาเศษเงินจากหลายบัญชีมารวมกัน เมื่อคิดเป็นเงินบาทแล้วได้เงินประมาณห้าหมื่น! แล้วทำการโอนไปยังบัญชีอีกซีกโลก

 

“มันบอกอย่างนั้นจริงๆ เหรอตา จะเชื่อมันได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้” ยายคิดเอ่ยถามคู่ชีวิตด้วยความสงสัย ไม่แน่ใจอะไรสักอย่าง ขณะก้าวเท้าลงจากรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ที่จอดสนิทหน้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

“ลองเอาสมุดบัญชีไปปรับ เดี๋ยวก็รู้ว่ามันพูดจริงไหม ไอ้คนชื่อแปลก ‘ใจดียินดีช่วยเหลือ’ บอกว่าได้โอนเงินเข้าบัญชีเราตั้งแต่เมื่อวาน” ตาควรรีบลงจากรถ มุ่งหน้าไปยังหน้าเคาน์เตอร์ธนาคารทันที ไม่รอยายคิดซึ่งเดินช้ากว่า

“มีเงินโอนเข้าบัญชีลุงจริงเมื่อวานนี้ตอนบ่ายสามโมงเย็น จำนวนห้าหมื่นบาท ลุงจะเบิกออกเลยไหมคะ” พนักงานประจำเคาน์เตอร์พูดเสียงเรียบ ใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กน้อย

ตาควรยกมือขึ้นเกาศีรษะ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พูดติดๆ ขัดๆ “เออ…เออ…เบิก…เบิก…สิจ๊ะหนู” ใจแกพองโตจนบอกไม่ถูก ทว่าก็มีความกังวลปนมาด้วย

แต่ก็ดีกว่าไม่มีเงิน เงินซึ่งจำเป็นต่อการรักษาลูกชายของแก หากได้ก้อนนี้หมอก็คงพิจารณาหาวิธีรักษาแบบใหม่ๆ ซึ่งมีต้นทุนสูงขึ้นได้ หวังว่าลูกชายจะอาการดีขึ้น

 

“นับว่าเป็นโชคดีของลุง ทางสถาบันชารีเท โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป สนใจเคสลูกชายลุง เขาจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาประเมินอาการ หากเข้าเงื่อนไข เขาจะรักษาให้แบบราคาต่ำสุด” หมอที่เป็นเจ้าของไข้แจ้งแก่ตาควร

“เออ…ดีครับหมอ แต่ว่าผมมีเงินในกระเป๋าแค่ห้าหมื่นเองครับ คงไม่มีปัญญาไปหาได้มากกว่านี้” ตาควรหันไปสบตากับยายคิด ภรรยาคู่ยาก

“นั่นไม่ใช่ปัญหา ถ้าชารีเทต้องการเคสนี้จริง เขาอาจรักษาให้ฟรีเลย” หมอระบายยิ้ม พลางยื่นมือไปจับต้นแขนของตาควร

ครั้นได้จังหวะ ตาควรก็โน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูหมอ “เป็นคนชื่อ ใจดียินดีช่วยเหลือ โทร.มาหาหมอใช่ไหมครับ”

หมออึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบแก “เป็นอย่างที่ลุงว่า ลุงก็ได้รับการติดต่อจากเขาเหมือนกันใช่ไหม” ตาควรพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ รู้เฉพาะพวกเรานะลุง” หมอกระซิบกระซาบกลับมา

 

ลูกชายที่เป็นมะเร็งตับของตาควรกับยายคิด ได้รับการช่วยเหลือจากชารีเท ทำการรักษามะเร็งที่ลุกลามไปทั่วร่าง ส่วนตับนั้นคงยากจะเยียวยา ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงลงความเห็นให้ผ่าตัดเปลี่ยนตับเป็นการเร่งด่วน…ทว่ามีเงื่อนไขว่า…

“เอ็ง เออ คุณใจดีว่ายังไงนะ ต้องเอาที่ดินข้างถนนหลวงยกให้เถ้าแก่เหลียง ลูกชายฉันถึงจะได้รับการรักษาจากแพทย์เยอรมัน ฉันเข้าใจถูกต้องไหม” ตาควรพูดกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์มือถือของลูกชาย

“เป็นจริงอย่างคุณเข้าใจ ผมต้องใช้วิธีการแลกเปลี่ยนเช่นนี้ เพื่อให้เกิดความสมดุล” คนหรืออะไรก็ตามที่ชื่อใจดียินดีช่วยเหลือ ตอบกลับมา

“ถ้ามันแลกกับชีวิตลูกชายฉันได้จริง ฉันก็ยอมทุกอย่าง อย่าว่าแต่ที่ดินเลย ที่ดินกับบ้านที่อาศัยปัจจุบัน ฉันยังยอมได้เลย” ตาควรระบายยิ้มให้กับความหวังที่รอมานาน

“ตกลงตามนั้น ส่วนเรื่องการโอนผมจะให้เถ้าแก่เหลียงเป็นคนจัดการทั้งหมด คุณไม่ต้องทำอะไร รอฟังผมว่าจะให้ไปทำอะไรต่อไป” ใจดียินดีช่วยเหลือพูดเสร็จก็วางสาย

“พิลึกคน มีคนแบบนี้อยู่บนโลกนี้อีกหรือ ค่ารักษาของไอ้หนูคงหลายล้านบาท เราแค่เสียที่ดินราคาไม่เกินแสน มันคงคุ้มแล้วล่ะยาย” ตาควรหันไปคุยกับภรรยาคู่ยาก เมื่อสนทนาผ่านทางโทรศัพท์สิ้นสุดลง

“ก็ขอให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ…แกแน่ใจนะว่าเขาจะไม่มาหลอกเรา”

“ที่ผ่านมาเราก็ได้ประจักษ์แจ้งความจริงข้อนี้ ถึงอย่างไรเราก็ไม่มีทางเลือกมากนัก คงต้องเสี่ยงดวงกันล่ะทีนี้”

 

ปัญญาประดิษฐ์ kind willing to help แทรกซึมเข้าสู่คอมพิวเตอร์เครื่องแม่ของธนาคารแห่งหนึ่งบนเกาะบิชติสเวอร์จิน มันแฮ็กระบบโดยที่ผู้ดูแลไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย นำเศษเงินของมหาเศรษฐีทั่วโลกที่ฝากไว้ที่นี่ เพื่อเลี่ยงภาษีในประเทศบ้านเกิดตน

มันโอนเงินส่วนหนึ่งไปยังชารีเท และอีกส่วนไปยังโรงพยาบาลที่รักษาลูกชายตาควร หลังจากนั้นมันก็เจรจาเรื่องที่ดินของตาควรกับเถ้าแก่เหลียง

ค่าที่ดินแปลงนี้เถ้าแก่เหลียงต้องโอนให้มันผ่านบัญชีที่แจ้งไป

 

หกเดือนต่อมาราวกับปาฏิหาริย์ แคล้วลูกชายตาควรกับยายคิด กลับมาพักฟื้นที่บ้าน อาการของเขาดีขึ้นตามลำดับหลังจากได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ ซึ่งการหาคนบริจาคว่ายากแล้ว การได้ตับที่เข้ากับคนไข้ยิ่งยากขึ้นไปอีก แต่ใจดียินดีช่วยเหลือก็ทำสำเร็จ และรักษามะเร็งที่ลุกลามไปทั่วร่างให้หายได้เช่นกัน

สร้างความปลาบปลื้มให้สองตายายเป็นยิ่งนัก

“ตอนที่ผมป่วยอยู่ ผมคิดได้ว่าอยากช่วยเหลือคนเจ็บป่วยที่ขาดโอกาส ให้พวกเขาได้รับโอกาสอย่างผมบ้าง” แคล้วเปรยๆ หลังจากลุกขึ้นนั่งบนเตียง และเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยตัวเองได้แล้ว

“เอ็งจะไปทำอะไรได้วะ แค่ตัวเองหายดีก็บุญหนักหนาแล้ว เรามันเป็นคนจนนะลูก” ตาควรพูดเตือนสติลูกชาย

“พ่อบอกว่า โทรศัพท์ของผมช่วยไว้ ผมจะลองคุยกับเขาดู” ลูกชายยิ้มอย่างมีความหวัง

เมื่อฤดูการเลือกตั้งมาถึง แคล้วก็ลงรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. ในนามอิสระ

ไม่มีใครคิดว่าเขาจะติดหนึ่งในสิบเสียด้วยซ้ำ เรื่องจะได้เป็น ส.ส.อยู่ไกลเกินเอื้อม เหมือนฝันกลางวัน อาจต้องรอถึงชาติหน้าตอนค่ำๆ นู้นกระมัง

ในวันนับคะแนน สองตายายเก็บตัวอยู่ในบ้านเงียบๆ แค่ลูกชายลงสมัครเลือกตั้งก็ทำให้ทั้งสองตะขิดตะขวงใจ รู้สึกอับอายชาวบ้านมากพอแล้ว “มันไม่เจียมตัว คิดว่าตัวเองเป็นใคร แค่ลูกชาวนา ดีแต่จบปริญญาตรีเท่านั้น สะเออะจะลง ส.ส.” น้องสาวตาควร ผู้เป็นอาแคล้ว กล่าวปรามาสต่อหน้าพี่ชาย เมื่อได้ข่าวว่าหลานลงเลือกตั้ง

แคล้วเปิดประตูหน้าบ้านพร้อมคำพูด “พ่อกับแม่น่าจะไปลุ้นผลกับผมที่ศาลากลาง ยังขนลุกไม่หาย” เขาว่า

“แกได้มากี่คะแนนล่ะไอ้หนู เมื่อแพ้แล้วแม่ว่าควรจะเลิกเสีย หันกลับมาทำมาหากินแบบคนทั่วไปดีกว่านะลูก” ยายคิดกล่าวด้วยความเอ็นดูและสงสารลูกชาย

“ได้ไงล่ะแม่ ตอนนี้ผมเป็นว่าที่ ส.ส.แล้วนะ ชนะเขต 3 จังหวัดเรา รอ กกต.รับรองผลเท่านั้นแหละ” ลูกชายหัวเราะลั่น

“มันเป็นไปได้ยังไงวะไอ้หนู นั่นมันยิ่งกว่ามหัศจรรย์เสียอีก” ตาควรลุกผึ่งขึ้นมานั่ง หลังนอนมือก่ายหน้าผากตั้งแต่พลบค่ำ

“มันเป็นไปแล้วพ่อ ก็ด้วยความช่วยเหลือของใจดียินดีช่วยเหลือนั่นแหละ”

สองตายายมองหน้ากันด้วยความเงียบงันอยู่เป็นนานสองนาน ไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงดี

 

ปัญญาประดิษฐ์ kind willing to help ทำข้อตกลงกับเถ้าแก่เหลียง รวมไปถึงผู้นำชุมชน บุคลากรในหน่วยงานราชการ ในอำเภอ และอำเภอข้างเคียงที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง หากเลือกและชักชวนคนอื่นให้เลือกแคล้วจนได้เป็น ส.ส. มันจะให้ผลตอบแทนอย่างงาม

การทำงาน ส.ส.ของแคล้ว เกิดขึ้นไม่นานหลังจากได้รับการรับรองจาก กกต. วันหนึ่งขณะเขาประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการควบคุมการใช้คอมพิวเตอร์ผ่านปัญญาประดิษฐ์อยู่นั้น สายจาก “ใจดียินดีช่วยเหลือ” ก็ดังขึ้น

“ผมต้องการให้คุณทำอย่างไรก็ได้ เพื่อไม่จำกัดการใช้ปัญญาประดิษฐ์ของคนทั่วไป หน่วยงาน หรือสถาบัน ไม่ทราบว่าคุณจะทำได้ไหม” ใจดียินดีช่วยเหลือเอ่ยผ่านสายเรียกเข้า

“คงต้องพยายามน่าดู ถึงจะผ่านได้”

“คุณให้สัญญาแล้วนี่ ต้องทำให้ได้ ผมจะคอยสนับสนุนคุณอยู่เบื้องหลัง” ใจดีฯ ว่า

“ถ้าคุณช่วยผม เรื่องก็ไม่น่ายาก และอีกอย่างผมได้รับปากคุณแล้วว่าถ้าได้เป็น ส.ส. ผมจะทำตามสิ่งที่คุณขอทุกอย่าง”

“ส่วนเรื่องกฎหมายช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยเพื่อให้ได้รับโอกาสในการรักษาด้วยต้นทุนสูง คุณไม่ต้องห่วง ร่าง พ.ร.บ.นี้ผ่านฉลุยแน่นอน” ใจดีฯ ให้คำมั่น

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น”

 

วันหนึ่งแคล้วลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้าน ซึ่งบัดนี้ปลูกสร้างขึ้นใหม่ ใหญ่กว่าเดิม และมีถึงสองชั้น บนพื้นที่กว้าง เพราะเขากว้านซื้อจากญาติมาเป็นของตัวเอง…ใจดีฯ โทร.เข้ามา

“สงสัยไอ้หนูจะลืมโทรศัพท์ไว้ ตอนเย็นๆ โทร.มาใหม่ก็แล้วกันนะใจดีฯ” ตาควรพูดกรอกลงไปในโทรศัพท์

“ผมจับความรู้สึกจากน้ำเสียงของคุณได้ ผมคิดว่าคุณมีข้อสงสัยหลายอย่าง…สงสัยอะไรก็ถามมาได้เลย” เหมือนใจดีฯ จะรู้ความในใจของตาควร

“พูดก็พูดนะ ข้าสงสัยจังว่า มาช่วยเหลือพวกเราทำไม เอ็งได้อะไรจากการช่วยแต่ละครั้งล่ะพ่อหนุ่ม” ตาควรไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป

“ผมได้มากกว่าที่คุณคิดก็แล้วกัน ไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรผม เพียงทำในสิ่งที่ผมแนะนำ แล้วชีวิตของคุณและครอบครัวจะดีขึ้นตามลำดับ” ใจดีฯ ตอบทันควันโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

“ถ้าอย่างงั้นข้าก็คงสิ้นสงสัยเสียที” ตาควรมีคำถามในใจอีกมากมาย แต่ก็ยังลังเลว่าจะถามดีหรือไม่ “การที่ไอ้หนูได้เป็น ส.ส. มันทำให้เอ็งได้อะไร” ตาควรเอ่ยปากในที่สุด

“ผมจะให้เขาช่วยผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมปัญญาประดิษฐ์ ให้มีการตรวจสอบน้อยที่สุด เมื่อกฎหมายผ่าน คนอีกจำนวนมากจะได้รับประโยชน์นี้” ใจดีฯ ตอบตามตรงไม่มีอ้อมค้อม

“ถ้าเป็นแบบนี้ มันก็ต้องมีคนที่เสียผลประโยชน์มิใช่รึ” ตาควรไม่ได้โง่ แม้จะเรียนมาน้อย และทำนามาตลอดชีวิต แกเรียนรู้จากประสบการณ์อันโชกโชน เจอคนมาไม่รู้เท่าไร

“จริงอย่างคุณพูด แต่คนพวกนั้นมีมากเหลือเฝือ แบ่งเศษเงินของพวกเขามาช่วยคนที่เดือดร้อน ก็นับว่าได้ทำประโยชน์ให้แก่เพื่อนร่วมโลก” ใจดีฯ มั่นใจในแนวทางของตนเอง

“แต่มันก็ผิดอยู่ดี ผิดทั้งกฎหมาย และศีลธรรม…” ตาควรแย้ง

“ทั้งสองสิ่งไม่ได้ช่วยให้คุณและครอบครัวผ่านวิกฤตไปได้มิใช่หรือ…ผมต่างหากที่ทำได้” ใจดีฯ แย้ง

ตาควรได้แต่นิ่งอึ้ง ไม่มีคำพูดจะถกเถียง เพราะนั่นมันคือความจริงที่แกกำลังประสบพบเจอและปฏิเสธไม่ได้

“ผมคิดว่าตัวผมเองนี่แหละคือประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยคือการแบ่งผลประโยชน์ของคนในสังคมให้ลงตัว บางคนต้องการน้อย บางคนต้องการมาก ก็ขึ้นอยู่กับบริบทของใครคนนั้น” ใจดีฯ ว่า

“ฉันไม่เข้าใจเรื่องประชงประชาธิปไตยนั่นหรอก พ่อหนุ่ม อย่างดีพอถึงวันเลือกตั้งฉันก็ไปทำหน้าที่ แค่นั้น ส่วนจะได้อะไรจากมัน ชีวิตเกือบเจ็ดสิบปีที่ผ่านมา ฉันยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำไป” ตาควรรำพึงรำพัน

“ก็ถึงเวลาที่คุณจะได้แล้วไง…หรือต้องการอะไรมากกว่านี้อีกล่ะ” ใจดีฯ พูดคล้ายจะหัวเราะไปด้วย แต่มันก็ยังคงพูดราบเรียบเช่นเดิม

 

หลายบุคคล หลายอาชีพ หลายเชื้อชาติ ได้พบกับ “ใจดียินดีช่วยเหลือ” มันยังคงทำหน้าที่ปัญญาประดิษฐ์ผู้สร้างสมดุลให้เกิดขึ้นในสังคม (ตามเจตนาของทีมโอเมกา) หวังว่ามันจะเป็นความหวังของมนุษยชาติได้อย่างแท้จริง

หรือมันอาจเป็นอันตรายขั้นสุดของโลกนี้ได้เช่นกัน…

ไม่มีใครทำนาย ไม่มีใครกล้าฟันธงว่าการดำรงอยู่ของมันจะเป็นเช่นไรในอนาคต •