วางมือในอ่างทองคำ | จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

“โลกมีกฎ สวรรค์มีเกณฑ์ บ้านเมืองมีกติกา อยู่ในมือคนดีก็มีความหวัง อยู่ในมือคนไม่ดีก็หายนะ” โอ้ประเทศไทยหนอ สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังพัดผ่าน จะได้ใช้สบู่กลิ่นใหม่ ในวันนี้วันพรุ่ง

ส่อเค้าเล่าอาการว่า ได้บริโภค “แห้ว” กันอีกคราวหนึ่งแล้ว เมื่อใกล้วันสุกดิบ จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อยู่หรัดๆ อยู่ดีไม่ว่าดี “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” หรือ “กกต.” สวมบท “เสือซุ่ม” มีมติส่งเผือกร้อนให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า “สมาชิกภาพ ส.ส.” ของ “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ส.ส.บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล

สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) ประกอบมาตรา 101(6) หรือไม่ จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น รวมทั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย

หลังใช้เวลากว่า 3 วัน รับฟังและพิจารณาผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า มีข้อมูลเพียงพอให้เชื่อว่ามีเหตุผลตามที่มีการยื่นร้องจริง โดย “นายอิทธิพร บุญประคอง” ประธาน กกต.ได้ลงนามในคำร้อง และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักงานนำไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญทันที

ขอคารวะฮ่องเต้ว่า “กกต.แน่มาก” ที่กล้าตีหมาโดยไม่ดูหน้าเจ้าของ เพราะพรรคก้าวไกลได้รับเลือกตั้งมา 14 กว่าล้านเสียง แชมป์ประเทศไทย และแม้จะมีมติส่งให้ศาลวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. แต่ไม่กระทบต่อการเสนอชื่อขอความเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรี ที่จะโหวตกันในวันรุ่งขึ้น ตามช่องทางแห่งมาตรา 159 ซึ่งระบุว่า

“นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบ และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ เฉพาะพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร”

ดังนั้น วันที่ 13 กรกฎาคม ไม่ว่า ฝนจะตก แดดจะออก ขี้จะแตก พระจะสึก ก็ต้องโหวต “พิธา” เป็นนายกฯ คนที่ 30 ไปตายเอาดาบหน้าตามกลไก “บทเฉพาะกาล” รัฐธรรมนูญมาตรา 272

ที่เปรียบประดุจภูเขาสูงชัน ต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วม “รัฐสภา” กับดักอยู่ 376 เสียง ซึ่งดังที่ทราบ บรรดา “ส.ว.” จำนวนมาก ทำตัวเป็น เสือป่า แมวเซา แมงป่อง งู ตะขาบ รอเช็กบิลอยู่รอบทิศ เต็มไปหมด โอกาสใครๆ ก็ฟันธงตรงกันว่า “ผ่านยาก”

ดังนั้น งานนี้ “กกต.” ไม่ต้องเปลืองแรงเอง ฟาสต์แทร็ก ให้ “คุณพี่ ส.ว.” เขาไปจัดการได้ แลดูจะเข้าท่า เซฟตัวเอง เอาไว้รับศึกอื่นดีกว่า

 

แปลกแต่จริง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่กำลังส่องแสงเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 มีมารผจญทุกถนนหนทาง ขณะที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ได้ป่าวประกาศวางมือในอ่างทองคำ ทอดเงาอัสดง กลับมี “เทพ” คอยปกป้อง “เทวดา” ก็อยากให้อยู่ต่อ

แต่ทุกตำนานย่อมมีจุดจบ ที่สิ้นสุด “พล.อ.ประยุทธ์” จะแปรสภาพเป็น “ลุงตู่” เต็มขั้น ก่อนรัฐสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่กี่ชั่วยาม เมื่อเพจเฟซบุ๊ก”พรรคร่วมไทยสร้างชาติ” โพสต์ว่า

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ-รมว.กลาโหม แคนดิเดตนายกฯ พรรค รทสช.ประกาศวางมือทางการเมือง และลาออกจากสมาชิกพรรค รทสช. พล.อ.ประยุทธ์ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุนพรรค รทสช.และตนในการเลือกตั้ง ส.ส. ทำให้เรามี ส.ส.รวม 36 คน และยังได้รับการสนับสนุนเลือกพรรค รสทช.ถึง 4.7 ล้านเสียง ร้อยละ 12.52 สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ ทำให้เรามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากบัญชีรายชื่อ 13 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน”

พร้อมบรรยายสรรพคุณอันดีงามของตัวเองอีกว่า “ทุกท่านทราบดีว่าตลอดระยะเวลา 9 ปีเศษ ในฐานะนายกฯ ได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทเต็มกำลังเพื่อปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประโยชน์ประชาชน ได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้ประเทศชาติแข็งแกร่งขึ้นในทุกด้าน มีเสถียรภาพ มีความสงบ และฟันฝ่าอุปสรรคทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนมีความสำเร็จก้าวหน้าเป็นรูปธรรมหลายด้าน ดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบทั่วถึง ด้วยความเป็นธรรมกับทุกกลุ่ม บริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มความสามารถ ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณภาษีของพี่น้องประชาชน ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย วินัยทางการเงินการคลัง หวังอย่างยิ่งว่ารัฐบาลต่อไป จะดำเนินการพัฒนาต่อไป”

กล่าวโดยสรุปว่า “พล.อ.ประยุทธ์” กับ 9 ปีบนตำแหน่งนายกฯ เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณงาม เยี่ยมเยี่ยงปราญช์ บริหารประเทศชาติตามหลักธรรมาภิบาลทุกกระเบียด ทั้งการจัดระเบียบเพื่อให้สังคมของประเทศ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความถูกต้องเป็นธรรม-โปร่งใส ไม่มีที่ติ ไร้เทียมทาน ความดีเป็นเลิศชั้นประเสริฐ

จริงๆ แล้ว “บิ๊กตู่” ถ้าเฉลียวฉลาด ต้องก้าวลงจากหลังเสือตั้งแต่รู้ว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งครบ 8 ปี ก่อนจะที่มีศึกเลือกตั้งใหญ่เมื่อเดือนพฤษภาคม เชื่อได้ว่า สถานการณ์นั้นเหมาะที่สุด ลงแล้ว “เสือไม่กัด”

แต่กลับดื้อดึง หวง อยากเสพสุข อำนาจ ถ่อสังขารมาถึงเลือกตั้งใหญ่ หวังอยากอยู่ในตำแหน่งอีก 2 ปี ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ไปต่อ จนไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถนนสายสุดท้าย สะดุดอุปสรรค พ่ายแพ้เลือกตั้งอย่างยับเยิน หมดรูป ไปต่อไม่ได้ ต้องหยุดกลางคัน เลยหมดความสง่างาม

แม่น้ำทุกสายมีจุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุด แต่การประกาศวางมือ ลงจาก “หลังเสือ” ของ “พล.อ.ประยุทธ์” ในคาบช่วงนี้ ดูเหมือนจะช้าไปสองสามก้าว

โอกาสที่จะโดน “เสือกัด” มีความเป็นไปได้สูงมาก