วันนอร์จากMVP ประชาธิปไตย สู่ข้อกล่าวหาแบ่งแยกดินแดน?

“อาจารย์วันนอร์” หรือชื่อเต็ม นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ถือว่าเป็น MVP (ผู้เล่นทรงคุณค่า) ประชาธิปไตยไทยจริงๆ เพราะมีวาทะเด็ดหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ยังไม่วายโดนกล่าวหาว่าแบ่งแยกดินแดนจากผู้อาวุโสด้านสื่อมวลชน

สำหรับวาทะเด็ดต่างๆ ที่ออกมาอย่างต่อเนื่องจากอาจารย์วันนอร์ ล้วนแต่โดนใจใครหลายๆ คน ที่กำลังลุ้นว่า 8 พรรคการเมืองในขณะนี้จะจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่

เช่น กล่าวว่า “เราเลิกกลัวเรื่องเผด็จการเสียทีครับ มันควรจะหมดยุคของการฟังเผด็จการ ผมอยากให้เป็นเวลาของประชาชน เขาอยากจะได้รัฐบาลของประชาชน”

“ในเมื่อท่านให้โอกาสคนที่ยึดอำนาจมา 9 ปีโดยที่ไม่สามารถคัดค้านได้เลย แต่วันนี้ถ้าท่านไม่ให้โอกาสพวกเราที่มาจากอำนาจของประชาชน ซึ่งเราพร้อมที่จะทำงานเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน คืนความสุขให้กับประชาชน”

“ปัญหาของประชาชนไม่สามารถจะรอได้ แม้จะวันเดียว หรือสัปดาห์เดียว อยากให้สื่อมวลชนสะท้อนความรู้สึกของประชาชนมากกว่าความรู้สึกของ กกต. ซึ่งเป็นเรื่องเล็ก ศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องของคนไม่กี่คน ประชาชนกว่า 70 ล้านคน”

“…ผมไม่สนใจหรอกครับ กกต.ว่าไง แต่ผมอยากจะได้มีรัฐบาลที่ผมเลือกเข้ามา จัดตั้งรัฐบาลแก้ปัญหาของผมครับ อันนี้ผมอยากจะสะท้อนให้สื่อมวลชนได้ไปสะท้อนความรู้สึกของประชาชน มากกว่าเรื่องของ กกต.ซึ่งเป็นเรื่องเล็กครับ”

ล่าสุดท่านกล่าวในระหว่างแถลงข่าว 8 พรรคร่วม วันที่ 2 กรกฎาคม 2566 ที่พรรคก้าวไกล ว่า

“ประชาชาติไม่มีเงื่อนไขใด ขอให้ชัยชนะเป็นของประชาชน… ประชาชนรอคอยมา 8-9 ปี ถ้าเราทำพลาดครั้งนี้ไป ผมคิดว่าประชาชนเขาอาจจะไม่ให้อภัย ฉะนั้น พวกเราที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ต้องช่วยกันทำประชาธิปไตยและประชาชนให้สำเร็จ ต้องทำให้ได้ ถึงเวลาจะน้อยอย่างไร บางทีเช้าจะโหวตก่อนประชุมก็ตกลงด้วยดีได้ เวลาไม่ใช่เงื่อนไขครับ หัวใจ ความเสียสละเพื่อประชาธิปไตยต่อประชาชนมันสำคัญยิ่งยวดครับ”

เมื่อ 20 มิถุนายน 2566 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้ารับหนังสือรับรอง ส.ส.ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถึงประเด็นที่ถูกพาดพิงเรื่องนโยบายชายแดนใต้ ว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล พูดล่วงละเมิดตนเองและพรรคประชาชาติ ระบุว่าพรรคประชาชาติสนับสนุนการทำประชามติแบ่งแยกดินแดนของนักศึกษา จึงจำเป็นจะต้องฟ้องประชาชน เราเพียงแต่ได้รับเชิญให้ไปพูดคุยทางวิชาการในมหาวิทยาลัย ส่วนเรื่องการทำประชามติเป็นเรื่องกิจกรรมของนักศึกษา เราไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการทำประชามติแบ่งแยกดินแดน เพราะขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ เราเป็นพรรคการเมืองต้องเคารพและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ฉะนั้น จะสนับสนุนหรือส่งเสริมอย่างที่นายสนธิกล่าวไม่ได้

“ขออย่าพูดว่า ผมสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน และหากแบ่งแยกดินแดนได้สำเร็จ ผมจะเป็นผู้ปกครองสามจังหวัด เป็นการโกหกโดยสิ้นเชิง ผมตั้งพรรคการเมืองต้องการจะเล่นการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผมเป็นประธานรัฐสภาในสมัยที่มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน จะสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน เป็นขบถอย่างที่คุณสนธิว่าไม่ได้”

นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวต่อว่า ส่วนข้อกฎหมายจะดำเนินคดีหมิ่นประมาท หรือพูดเท็จ กำลังให้ทีมกฎหมายของพรรคพิจารณาก่อนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ขอความเป็นธรรมให้กับตนเองในฐานะเล่นการเมืองมา 44 ปี หากตนเองเป็นกบฏ เป็นคนแบ่งแยกดินแดน เป็นคนไม่จงรักภักดี คงไม่ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนฯ 11 สมัย ตนเองเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย บริหารประเทศทั้ง 77 จังหวัด ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปกครองสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งหมดเป็นการกล่าวหาให้ตนเองเสียหาย

อยากให้ประชาชนพิจารณาว่า ระหว่างคนที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานสภา นำรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตยมาสู่ประเทศ กับคนที่ยุยงผู้อื่นให้เดินประท้วงจนเป็นเหตุให้เกิดการยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตย ไม่ใช่กบฏมากกว่าหรือ

นายวันมูหะมัดนอร์ระบุว่า หากนายสนธิมีหลักฐานชัดเจนก็ขอให้ไปฟ้องร้อง ตนเองจะสู้ให้ถึงศาลฎีกา เพื่อให้รู้ว่าคนที่ทำการเมืองเพื่อประชาชน กับคนที่ใส่ร้ายคนอื่น ใครจะติดคุกก่อน อยากให้นายสนธิมองในแง่ของคุณธรรม เพราะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง นายสนธิบอกว่าเคร่งศาสนา แต่การกล่าวหาคนว่ากระทำความชั่ว กระทำความผิดโดยที่เขาไม่ได้ทำ มันบาปเท่ากับการฆ่าคน พระเจ้าจะไม่ให้อภัย หากกล่าวหาโดยไม่เป็นจริง

ในขณะที่ “สนธิ” ส่งความถึงอาจารย์วันนอร์ “บอก อย่า…อย่าช้า ฟ้องเลย ยินดีพร้อมสู้ ไปกันให้สุดถึงศาลฎีกา ในรายการสนธิทอล์ค

เมื่อวันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2566 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ ในฐานะพยานโจทก์ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปที่ศาลจังหวัดยะลา ในคดีหมายเลขดำที่ อ371/2565 ที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ในฐานะโจทก์ ได้ยื่นฟ้องนายอัยย์ เพชรทอง เป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาท

พ.ต.อ.ทวีเปิดเผยว่า “วันนี้ทางศาลได้นัดมาสืบพยานที่ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายอัยย์ เพชรทอง ข้อหาหมิ่นประมาท ที่เคยลงข้อความกล่าวหาตนเอง และอาจารย์วันนอร์ รวมทั้งคนในพรรค โดยสรุปคือ กล่าวหาว่าพรรคประชาชาติเป็นโจรแบ่งแยกดินแดน ซึ่งข้อความดังกล่าว มีการเผยแพร่ไปทั้งประเทศ มีผลกระทบต่อพรรคอย่างมาก”

“โดยปกติการฟ้องหมิ่นประมาทจะพยายามไม่ฟ้องใครอยู่แล้ว แต่พอเป็นผลกระทบ โดยเฉพาะพรรค ซึ่งมีสมาชิกทั้งที่เป็นพี่น้องมุสลิม และเป็นไทยพุทธ จำนวนมากทั้งประเทศ เราจึงต้องรักษาสิทธิ์ด้วยการฟ้อง”

“วันนี้คุณอัยย์ เพชรทอง ได้รับสารภาพ ยอมรับว่าสิ่งที่พูดไปไม่เป็นความจริง และขอโทษ ตอนนี้ติดคดีมา 5 เดือน สุขภาพของครอบครัวเป็นอย่างที่เราเห็น เมื่อเขาขอโทษ อยากกลับไปทำในฐานะพลเมืองดี เพื่อจะไปสร้างความเข้าใจ จึงได้ถอนฟ้อง ซึ่งศาลก็ได้ทำบันทึกกระบวนการพิจารณาถอนฟ้อง เป็นที่เรียบร้อย ในส่วนคดีที่ฟ้องไว้ คุณอัยย์ได้เขียนสารภาพขึ้นมาเอง ได้เขียนจดหมายอธิบายเหตุผลว่าการที่ออกมาได้โพสต์ในเฟซบุ๊ก หรือสื่อต่างๆ ไม่เป็นความจริง โดยจดหมายนี้ได้มอบสำเนาให้ จะให้ภรรยาที่รู้รหัสไปโพสต์ในเฟซบุ๊กของคุณอัยย์ต่อไป” เลขาธิการพรรคประชาชาติกล่าว

จะเห็นได้ว่าในอดีตข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดนเฉพาะคนชายแดนใต้ตั้งแต่หะยีสุหลง จนถึงอาจารย์วันนอร์และด้วยเกมสกัดนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ข้อหานี้ไปโดนนายกัญวีย์ สืบแสง และแกนนำคนในก้าวไกลไม่ว่าพิธา หรือธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีการปล่อยคลิปคนทั้งสองช่วงก่อนและระหว่างหาเสียงเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหา หรือนักวิชาการเรียกว่า ปั่นกระแส

เมื่อ 26 มิถุนายน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงกรณีสื่อเครือผู้จัดการ ว่า ตามที่สื่อในเครือของท่านได้เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับผม โดยพาดหัวว่า “เผยคลิปหลุดธนาธร ปลุกระดมเยาวชน-กลุ่มชาติพันธุ์ ภาคใต้ 14 จังหวัด ให้กระด้างกระเดื่องต่อรัฐไทย” ซึ่งได้มีการนำคลิปมาจากเฟซบุ๊กส่วนตัวของผู้ใช้เฟซบุ๊กบัญชี “เทวดาผู้หยั่งรู้ ฟ้าดินฯ อากาศ มหาสมุทร” หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “เค ร้อยล้าน” พร้อมทั้งใช้ถ้อยคำในพาดหัวสอดคล้องกับนายเค ร้อยล้าน ว่า ผมปลุกปั่นเยาวชนภาคใต้ ให้กระด้างกระเดื่อง…

ผมขอตั้งคำถามอย่างจริงจังถึงการปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณสื่อของกองบรรณาธิการผู้จัดการ เนื่องจากในเนื้อหาข่าว ซึ่งเป็นการถอดเทปถ้อยคำของผม ปรากฏชัดว่า เป็นการพูดถึงประวัติศาสตร์รัฐไทย และการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่ประชาชนไทย และไม่ได้ปรากฏชัดเจนว่าเป็นการพูดกับผู้ฟังกลุ่มไหน ในสถานที่ใด แต่ผู้จัดการกลับลงข่าวโดยอ้างอิงข้อมูลจากนายเค ร้อยล้าน โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงมายังผม ซึ่งเป็นผู้อยู่ในคลิป…

ผมหวังว่า การชี้แจงของผมจะทำให้เครือผู้จัดการได้ตระหนักถึงความสำคัญของจรรยาบรรณสื่อในการเสนอข้อเท็จจริงต่อสังคมอย่างรอบด้านและปราศจากอคติ เพื่อให้สื่อเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ผู้คนสามารถมีความคิดความเชื่อที่แตกต่าง และสนทนากันอย่างมีอารยะได้

ไม่นำข้อความที่ถูกนำเสนอแบบบิดเบือนให้คนเกลียดชังกันมานำเสนอต่อ และทำให้สังคมแตกแยกไปมากกว่านี้”