ความท้าทายในภาคใต้! | สุรชาติ บำรุงสุข

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือวันนี้อาจต้องเรียกว่า “สงครามภาคใต้ไทย” เดินทางมาถึงปีที่ 20 อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งแต่เดิมหลายฝ่ายคิดว่าความขัดแย้งชุดนี้น่าจะใช้เวลากว่าทศวรรษ แล้วจะจบลง แต่ในความเป็นไม่จบ และยังมีแนวโน้มที่จะยกระดับขึ้นอีกด้วย

หลังจากการปล้นปืนที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดจากค่ายทหารในจังหวัดนราธิวาสในค่ำคืนวันที่ 4 มกราคม 2547 แล้ว สถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ที่ทำท่าจะสงบตามไปกับการสิ้นสุดของสงครามคอมมิวนิสต์ในภาคใต้ ก็กลับปะทุขึ้นมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง

ผลจากสภาวะเช่นนี้ ส่งผลให้ปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้เป็น “โจทย์ชุดใหม่” เพราะเป็นปัญหาความรุนแรงใน “ยุคหลังคอมมิวนิสต์” แต่ก็ยืนอยู่บนฐานคิดเดิมของขบวนติดอาวุธอีกชุดหนึ่งที่เป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐ ขบวนชุดนี้ไม่ใช่กองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในแบบเดิม หากเป็นสิ่งที่เรียกจากวัตถุประสงค์ขององค์กรว่า “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ที่มีเป้าหมายในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ขบวนนี้ไม่ได้สิ้นสุดไปพร้อมกับ “สงครามก่อความไม่สงบ” ของพรรคคอมมิวนิสต์ และไม่ได้จบตามไปกับการยุติของสงครามเย็นแต่อย่างใด การที่รัฐไทยชนะสงครามคอมมิวนิสต์ จึงมิได้มีนัยอะไรที่จะบอกว่าฝ่ายรัฐชนะ “สงครามแบ่งแยกดินแดง” ตามไปด้วย เนื่องจากเป็นเงื่อนไขสงครามคนละชุด และวัตถุประสงค์สงครามก็คนละชุด แต่ก็ดำรงความเป็นธรรมชาติของสงครามชุดเดียวกันในฐานะของการเป็น “สงครามก่อความไม่สงบ” ที่เป็นการต่อสู้กับอำนาจรัฐเดิมด้วยกำลังอาวุธ

สภาวะของยุคหลังสงครามคอมมิวนิสต์ในไทย ยังสอดรับกับสภาวะของ “ยุคหลังสงครามเย็น” ของเวทีโลกในเวลาต่อมา จนทำให้หลายฝ่ายเชื่อในแบบ “ฝันๆ” ว่า สงครามจบลงแล้วในเวทีโลก และสงครามภายในรัฐก็จบตามมาในหลายประเทศ เพราะสงครามหมดแรงขับเคลื่อนในตัวเอง อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระเบียบระหว่างประเทศ ที่เป็นผลจากการสิ้นสุดของสงครามเย็น

แต่ระเบียบโลกยุคหลังสงครามเย็นเผชิญกับความท้าทายขนาดใหญ่จากเหตุการณ์การก่อการร้ายในวันที่ 11 กันยายน 2001 … สงครามอุดมการณ์แบบสงครามเย็นอาจจะจบ แต่สงครามชุดใหม่กลับเป็นเรื่องของ “อัตตาลักษณ์-ชาตินิยม-ชาติพันธุ์” และถูกนำไปผูกโยงเข้ากับเรื่องของ “ศาสนา-ประวัติศาสตร์” อันทำให้เกิดความเป็น “มหาศรัทธา” ที่พร้อมจะเป็นแรงขับเคลื่อนสงครามชุดใหม่ ที่เข้าทดแทนต่อปัจจัยด้านอุดมการณ์ในฐานะของแรงขับเคลื่อนของสงครามชุดเก่า อย่างน้อยเราได้เห็น “มหาศรัทธา” ชุดนี้จาก “นักรบ” ในสงครามอัฟกานิสถานมาแล้ว

สภาวะเช่นนี้จึงเห็นความขัดแย้งภายในรัฐที่กลายเป็นเงื่อนไขของ “สงครามชุดใหม่” หรือที่เรียกในทางยุทธศาสตร์ว่า “สงครามในยุคหลังสงครามเย็น” แม้ด้านหนึ่ง สงครามเช่นนี้อาจมีนัยถึงตัวอย่างของสงครามอ่าวเปอร์เซีย ที่เป็นสงครามแบบใหม่ในยุคนั้น แต่อีกด้านหนึ่งเราเห็นสงครามชุดใหม่ในยูโกสลาเวียเดิม อันเป็นสงครามที่มีทำให้นักรัฐศาสตร์ และนักยุทธศาสตร์ต้องพิจารณาเรื่องสงครามใหม่

สงครามชุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงขับเคลื่อนที่เป็นเรื่องของ “อัตตาลักษณ์-ชาตินิยม-ชาติพันธุ์” อย่างชัดเจน พร้อมกันนี้สงครามหลังเหตุการณ์เวิลด์เทรด (9/11) ล้วนสะท้อนถึงปัญหาระหว่าง “ความต่างทางอารยธรรม” โดยมีสถานการณ์ “สงครามต่อต้านการการร้าย” เป็นตัวเดินเรื่อง และมีวัตถุประสงค์ของสงครามในการต่อสู้กับ “ตัวแสดงติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐ” คือ กลุ่มอัลกอร์อิดะห์ ที่เป็นขบวนการทางการเมืองของชาวมุสลิม และมีปฎิบัติการทางทหารในรูปแบบของการก่อการร้าย อีกทั้งได้ขยายอิทธิพลเข้าไปในหลายประเทศทั่วโลก

คำถามทางยุทธศาสตร์ที่ไม่เคยถูกนำมาถกแถลงอย่างจริงจังในสังคมไทยในยุคหลังเวิลด์เทรด คือ ความรุนแรงในรูปแบบเช่นนี้จะขยายตัวเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไหม และจะส่งผลอย่างไรกับสงครามอีกชุดหนึ่งที่ไม่จบในสังคมไทย? … ถ้าเช่นนั้นแล้ว “สงครามชุดใหม่” จะเกิดในภาคใต้ของไทยหรือไม่?

หากย้อนกลับไปหลังเหตุการณ์เวิลด์เทรดในปี 2544 แล้ว สังคมไทยกำลังมี “ความสุข-ความหรรษา” อยู่กับกระแสโลกาภิวัตน์ที่ไหล่บ่าเข้าสู่ประเทศไทย พร้อมกับมีความหวังกับการเมืองไทยหลังรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ถูกเรียกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” ที่จะนำไปสู่การปฎิรูปทางการเมือง … แน่นอนว่า ไม่มีใครอยากได้ยินเสียงเตือนภัยจาก “นักความมั่นคง” ที่กำลังกังวลกับกระแสความรุนแรงในยุคหลัง 9/11 ที่ขยับเข้าสู่ภูมิภาคนี้

แล้วในที่สุด สถานการณ์ชุดใหม่ก็เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อคืนวันที่ 4 มกราคม 2547 … หลังจากนี้จวบจนปัจจุบัน ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้กลายเป็น “ประเด็นความมั่นคงหลัก” ของประเทศไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเกิดสภาวะ “สงครามยืดเยื้อ” ตามทฤษฎีของประธานเหมาเจ๋อตุงในภาคใต้ไทย

ช่วงระยะเวลาจาก 2547-2566 เห็นได้ชัดเจนว่า การทำ “สงครามต่อต้านการก่อความไม่สงบ” ของรัฐไทยนั้น ไม่อาจเรียกได้ว่าประสบ “ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์” อย่างจริงจัง และอาจจะต้องยอมรับความจริงว่า รัฐไทยมีอาการ “เพลี่ยงพล้ำ” ในหลายเรื่อง หลายวาระ จนกลายเป็น “ความอ่อนแอทางยุทธศาสตร์” ในตัวเองอย่างที่ปฎิเสธไม่ได้ อีกทั้ง รัฐไทยในแต่ละช่วงเวลายังต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ก็มีปัญหาแบบองค์รวมทั้งใน 4 ส่วนคือ “ยุทธศาสตร์ นโยบาย ความคิด ตัวบุคคล” ที่เป็นปัญหามาโดยตลอด

ในปีที่ 20 ของปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ จึงเสมือนหนึ่ง “รัฐนาวาสยาม” ในภาคใต้เผชิญคลื่นลมแรงลูกแล้ว ลูกหลายเล่าอย่างไม่ขาดสาย แม้จะเปลี่ยน “กัปตันเรือ” มาแล้วหลายคนก็ตาม แต่ความรุนแรงในพื้นที่กลับยังคงเป็นความท้าทายกับทุกรัฐบาล

ดังนั้น ในปีที่ 20 เช่นนี้ ถ้า “คิดในทางบวก” ว่าเรื่องประชามติจากพื้นที่เป็นดัง “เสียงนาฬิกาปลุก” ที่แจ้งเตือนให้ตื่นจากภวังค์เดิมเพื่อต้อง “คิดใหม่” แล้ว เราอาจมีข้อเสนอที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่เคยทำได้จริง แต่ก็อยากเสนออีกครั้ง แม้ดูจะเป็นนามธรรมอย่างมาก คือ ถึงเวลาที่ต้องคิด “ยุทธศาสตร์ภาคใต้” ทั้งระบบ ส่วนจะทำจริงได้แค่ไหน เป็นปัญหาแบบไทยๆ มาโดยตลอด … แต่ความท้าทายที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน !