คณะทหารหนุ่ม (44) | โจรเขมร-ตลาดมืด ชาวกัมพูชาเข้าไทยกว่า 370,000 คน

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

โจรเขมร-ตลาดมืด

การที่มีชาวกัมพูชาถึงประมาณ 370,000 คนเข้ามาอาศัยอยู่ในเขตแดนไทย ยังเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดโจรผู้ร้ายชาวกัมพูชาคอยปล้นสะดมสร้างความเดือดร้อนให้กับราษฎรไทยในบริเวณชายแดนอรัญประเทศเป็นอย่างมาก

ทางด้านชายแดนจังหวัดอุบลราชธานี-ศรีสะเกษ-บุรีรัมย์ ก็ประสบกับปัญหากองกำลังเขมรไม่ทราบฝ่ายเข้ามาปล้นสะดมราษฎรไทยที่อยู่ตามแนวชายแดนเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ด้าน อ.ละหานทราย และ อ.บ้านกรวด

การปล้นสะดมแต่ละครั้งใช้กำลังจำนวนมาก มีอาวุธสงครามครบมือ เมื่อได้ทรัพย์สินตามที่ต้องการแล้วก็จะหลบหนีออกไปนอกเขตแดนไทย ทำให้การติดตามปราบปรามไม่ได้ผลเท่าที่ควร

จำนวนผู้อพยพจำนวนมหาศาลยังทำให้เกิดปัญหาตลาดมืดจากการที่ราษฎรไทยพากันลักลอบนำเครื่องอุปโภคบริโภคเข้าไปจำหน่ายให้แก่ชาวกัมพูชาเหล่านี้ก่อนที่ทางการไทยจะวางมาตรการควบคุมและสกัดกั้นการลักลอบค้าขายบริเวณชายแดนอย่างเข้มงวดกวดขันในเวลาต่อมา

ในปี พ.ศ.2523 ปรากฏว่าแต่ละวันจะมีราษฎรไทยจาก อ.ตาพระยา และอรัญประเทศ ตลอดจนจังหวัดข้างเคียงเดินทางเข้าไปค้าขายในตลาดมืดกันอย่างคึกคัก

โดยมีเจ้าหน้าที่บางส่วนให้ความร่วมมือ ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างสำคัญทั้งต่อราษฎรไทยในพื้นที่และความมั่นคงส่วนรวม

 

ส่งกลับผู้อพยพ

จากผลกระทบต่างๆ ต่อประเทศไทย ในเวลาต่อมา รัฐบาลไทยได้ร่วมกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ พยายามส่งผู้อพยพชาวกัมพูชากลับด้วยความสมัครใจ

โครงการนี้เริ่มดำเนินการเมื่อเดือนมิถุนายน 2523 โดยมีการส่งชาวกัมพูชากลับ ฝ่ายเวียดนามได้แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

สำนักข่าวเวียดนามได้รายงานบทวิจารณ์เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2523 โจมตีประเทศไทยและสหประชาชาติกรณีส่งชาวกัมพูชากลับประเทศว่า ประเทศไทยจะต้องรับผิดชอบต่อผลทั้งปวงที่จะเกิดขึ้น เพราะแผนการดังกล่าวเป็นการแสดงท่าทีอันประสงค์ร้ายของประเทศไทยต่อกัมพูชา

นอกจากนี้ ยังกล่าวหาว่าการตัดสินใจครั้งนี้ทำให้สถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยกัมพูชาตึงเครียดยิ่งขึ้น

หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เกิดเหตุการณ์รุนแรงที่บ้านโนนหมากมุ่น…

 

ผู้การประจักษ์ : “วีรบุรุษตาพระยา”…

คืน 22 มิถุนายน พ.ศ.2523 กองกำลังเวียดนาม และกัมพูชา เฮง สัมริน ได้เปิดฉากการรุกใหญ่บุกโจมตีที่มั่นและค่ายอพยพที่อยู่ตามแนวชายแดน อ.อรัญประเทศ พร้อมกันหลายจุด

โดยส่งกำลังจำนวนมากรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย เข้าโจมตีค่ายผู้อพยพบ้านหนองจานและโนนหมากมุ่น และยังรุกไล่ฝ่ายเขมรแดงลึกเข้ามายังแดนไทยมากขึ้น แล้วเข้ายึดครองพื้นที่บ้านโนนหมากมุ่นไว้

ชุดเฝ้าตรวจและคุ้มครองหมู่บ้านโนนหมากมุ่นของกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ได้จัดส่งกำลังทหารราบเข้าตอบโต้เพื่อชิงพื้นที่คืนทันที

แต่เมื่อทหารไทยชุดลาดตระเวนถึงเขตหมู่บ้านกลับตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทำให้เสียชีวิตจากการปะทะในเบื้องต้น 12 นาย

พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ผู้บังคับการกองกำลังบูรพา จึงสั่งการให้กองพันทหารม้าที่ 2 จัดกำลังเข้าร่วมกับกองพันทหารราบที่ 2 เป็น “ชุดปฏิบัติการร่วม ทหารราบ-รถถัง” สนับสนุนด้วยทหารปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศ เข้าตีโต้ตอบอย่างรุนแรง สามารถผลักดันฝ่ายเวียดนามออกจากบ้านโนนหมากมุ่นเป็นผลสำเร็จ

แล้วขยายผลกวาดล้างจนฝ่ายเวียดนามต้องละทิ้งที่มั่นบ้านโนนหมากมุ่นแล้วร่นถอยไปยังบริเวณคลองทางยุทธวิธีซึ่งยังคงอยู่ในเขตแดนไทย

ผลการรบ ปรากฏว่าที่บ้านโนนหมากมุ่น ฝ่ายข้าศึกทิ้งทหารเสียชีวิตไว้ 33 นาย ฝ่ายเราเสียชีวิต 12 นาย สามารถยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ข้าศึกได้เป็นจำนวนมาก

วันรุ่งขึ้น พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร สั่งการให้กวาดล้างทำลายกำลังข้าศึกที่ยังคงยึดพื้นที่ของไทยตั้งแต่แนวคลองยุทธวิธีจนถึงศูนย์อพยพฝ่ายเขมรเสรีต่อไป จนสามารถผลักดันกำลังส่วนที่เหลือออกไปจากพื้นที่ประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ

ผลการปฏิบัติครั้งนี้ ฝ่ายเวียดนาม-กัมพูชา เฮง สัมริน ทิ้งศพทหารที่เสียชีวิตไว้อีก 52 ศพ ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์และสิ่งอุปกรณ์อื่นๆ ได้เป็นจำนวนมาก

ปฏิบัติการตอบโต้อย่างรุนแรงเด็ดขาดของทหารไทยที่โนนหมากมุ่นครั้งนี้ ทำให้ฝ่ายเวียดนามและกัมพูชา เฮง สัมริน ยุติการรุกล้ำอธิปไตยของไทยด้วยกำลังขนาดใหญ่อย่างสิ้นเชิง

แต่ก็ยังปรากฏเหตุการณ์อีกบ่อยครั้งที่แทรกซึมข้ามพรมแดนเข้ามาเป็นกลุ่มเล็กๆ หลีกเลี่ยงการปะทะ และถอนตัวกลับทันทีเมื่อฝ่ายไทยส่งกำลังเข้าผลักดัน

สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศซึ่งเกาะติดสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด ได้รายงานข่าวความสำเร็จของทหารไทยไปทั่วโลก นำไปสู่สมญา “วีรบุรุษตาพระยา” – พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร จปร.7 แห่งคณะทหารหนุ่ม และ “บูรพาพยัคฆ์” – กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ในเวลาต่อมา