IN ไม่ได้ เขา (ส์ส์..) ไม่ OUT

ตุรกีที่มีประชากร 85 ล้านคน จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีวันเดียวกับไทย จนเขาเลือกตั้งรอบ 2 ได้ชื่อประธานาธิบดี กระทั่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่งไปเมื่อ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา

ส่วนของไทยนั้น อย่าว่าแต่ใครเป็นผู้นำเลย ส.ส.สักคนก็ยังไม่มีการประกาศรับรองผล

เมื่อเป็นอย่างนี้ ชาวบ้านชาวเมืองดูข่าวแล้วจะไม่ให้เขาเอ๊ะขึ้นมาในใจแล้วส่งเสียงถามกันทั้งแผ่นดินว่า เมื่อไหร่จะมีรัฐบาลใหม่สักทีได้อย่างไร

เพราะ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่มอำนาจเก่าซึ่งไม่ใช่ ‘เขา’ คนเดียว แต่หมายความไปถึงเขา-เขาหลายคนพ่ายแพ้อย่างหนัก แต่ก็ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้

เสียงจากผู้นำทางการเมืองที่ครองอำนาจมากว่า 9 ปี เงียบเชียบ หลังการเลือกตั้ง ผู้ลงแข่งขันในเกมกีฬาแพ้ ก็ยังไม่ยอมบอกว่าแพ้ หรือยินดีกับผู้ชนะ ถนัดไปทาง ลับ ลวง พราง เก็บอาการกันทั้ง 2 ลุง

ปล่อยให้ขบวนการเตะสกัดกลุ่มอำนาจใหม่ได้ทำงาน หวังจัดการลดทอนกำลังให้ได้มากที่สุด

 

ความหวังของฝ่ายอำนาจเก่าตอนนี้หวังพึ่งพาองค์กรอิสระ ที่ออกแบบไว้ด้วยรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ทำหน้าที่ได้อย่างน่าประทับใจนับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 สกัดคู่อริได้อย่างแนบเนียน

แต่รอบนี้ไม่ง่าย เพราะพรรคร่วมฝ่ายค้านเกิดชนะขาด นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่า คงเหลือวิธีเด็ดหัวได้อย่างเดียว

จู่ๆ เรื่องหุ้นสื่อก็กลายมาเป็นเรื่องใหญ่ นักร้องขาประจำทำงานชงเข้าสู่กระบวนการกำจัด ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาการตัดสินของคดีไอทีวีเร็วๆ นี้ และมีแนวโน้มว่าจะชนะ

อะไรจะประจวบเหมาะเช่นนั้น จะไม่ให้คนคิดลึกได้อย่างไร?

เรื่องหุ้นสื่อ นักนิติศาสตร์-นักรัฐศาสตร์ จำนวนมากต่างออกมาให้ความเห็นผ่านสื่อแล้วว่ายังไงก็ไม่น่าเข้าข่ายว่าผิด เป็นอะไรที่ไร้เหตุผลมากหากจะเอาผิดคนคนหนึ่งไม่ให้เป็นนายกฯ เพราะเป็นเพียงผู้จัดการมรดกถือหุ้นต่อจากพ่อที่เสียชีวิต แจ้ง ป.ป.ช.ไปแล้ว เป็น ส.ส.มาแล้ว 1 สมัย แล้วก็เป็นสื่อที่ตายไปแล้ว ไม่มีการออกอากาศมานานมากกว่า 16 ปี ไม่ว่าจะเอาหลักนิติศาสตร์-รัฐศาสตร์ไหนมาจับ ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะหาช่องเอาผิดอย่างไร

แต่ถามว่าทำไมคนถึงกังวลและกลายเป็นเรื่องใหญ่

เพราะที่นี่คือประเทศไทย

 

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เราสร้างวีรกรรมให้โลกจดจำจากการตีความกฎหมายแปลกใหม่ ฝืนมาตรฐานโลกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนนั่นเอง

ยิ่งเป็นการเมืองช่วงเข้าตาจน อาวุธทางการเมืองภาคพิสดารยิ่งมักจะถูกหยิบขึ้นมาใช้

ยังไม่นับผลกระทบทางการเมืองที่ชาวบ้านเขาจะอดคิดไม่ได้ แค่ผู้จัดการมรดกถือหุ้นอัตรา 0.0035% กลับถูกตรวจสอบเอาเป็นเอาตาย กลัวไปครอบงำสื่อ ส่วนคนถือปืนยึดอำนาจ เปลี่ยนรัฐธรรมนูญตามใจชอบ ไม่มีแม้แต่การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน จนถูกตั้งคำถามว่านี่มาตรฐานอะไรกันนี่…ประเทศไทย

หุ้นไอทีวีว่าไม่เมกเซนส์แล้ว ล่าสุด กกต.ยังจะสอบการ์ตูนพรรคก้าวไกลต่ออีก ข้อหามีรูปค้อนเคียวอยู่ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ เข้าข่ายเจตนาล้มล้างการปกครองหรือไม่?

มีการทำหนังสือมาที่พรรค เตรียมสอบสวนกันจริงจัง เล่นเอาขำไปกันทั้งโซเชียล แค่รูปค้อนเคียวในการ์ตูน ซึ่งใครๆ ก็รู้มันสื่อถึงผู้ใช้แรงงาน ชาวนา

จนโลกโซเชียลตั้งคำถาม ถ้ากลัวค้อนเคียวขนาดนั้น อีกหน่อยประเทศไทยได้ตัดสัมพันธ์กับจีนแน่ๆ เพราะมีรูปค้อนเคียวเต็มประเทศ

จนมีการติงกันว่า อะไรที่ไม่เข้าท่า ควรตัดๆ ออกไปบ้าง ยังดีที่สื่อต่างประเทศยังไม่แปลข่าวนี้ไปเผยแพร่ ไม่งั้นอาจขำกันทั้งโลกแน่ ซ้ำรอยคดีอีลูมิราติเปล่าๆ และนิติรัฐ-นิติธรรมแบบนี้แหละ ต่างชาติเขาถึงจะถอนการลงทุน

เรื่องนี้ปิยบุตร แสงกนกกุล พูดมานานแล้วเรื่องนิติสงคราม ที่ดำรงอยู่ในการเมืองไทยตั้งแต่วิกฤตการเมืองปี 2548 มีการใช้ตุลาการภิวัฒน์เป็นเครื่องมือหวังสร้างความเรียบร้อย

แต่การตีความที่ไม่สมเหตุสมผล ฝืนความต้องการทางการเมืองของยุคสมัยเกินจะรับได้ เป็นแนวร่วมมุมกลับ ช่วยเพิ่มพลังของการต่อต้าน ลดความนิยมของฝ่ายอำนาจเก่า ดังปรากฏเป็นคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด

ปิยบุตรแสดงความเห็นล่าสุด ย้ำเรื่องกระบวนการทำให้เรื่อง “การเมือง” ไปอยู่ในมือกระบวนการยุติธรรม โดยมีนักร้องคอยเขี่ยลูกเปิดเกม ประสานกับปัญญาชนจารีตออกมาย้ำซ้ำๆ ลดทอนความซับซ้อนของปัญหาให้เหลือแค่ผิด-ไม่ผิด โฟกัสไปที่เทคนิควิธี รายละเอียดหยุมหยิม เพื่อกลบหลักการพื้นฐาน

ทั้งที่หลักใหญ่ใจความคือ ต้องถามว่า “การร้อง” แบบนั้น มันตรงกับเจตนารมณ์กฎหมายไหม ตรงกับหลักการประชาธิปไตยแบบปกติเขาเป็นกันหรือไม่?

เพราะหากหลงลืมใจความหลัก เดินตามเกมนักร้อง ก็จะหลุดโฟกัส ไปไล่โทษนักการเมืองว่าพลาดเอง โง่เอง รู้ว่าเขาจ้องเล่นงาน ทำไมไม่อุดช่องว่างไว้ให้หมด ฯลฯ

 

ถัดจากองค์กรอิสระมรดกรัฐธรรมนูญ 2560 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยังต้องเจอกับปัญญาชนอนุรักษนิยมเริ่มสตาร์ตเครื่องยนต์บดขยี้ก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็นอดีตแกนนำพันธมิตรฯ-แกนนำ กปปส.หลายคน

โดยพอฝ่ายอนุรักษ์ตั้งหลักได้ เขาก็เริ่มทำงานจากจุดที่ถนัดคือการโจมตีผ่านประเด็นทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ว่าไปทีละประเด็นๆ ไป เริ่มจากเรื่อง 112, สหรัฐแทรกแซงการเลือกตั้ง จะมาตั้งฐานทัพในไทย ทำให้ไทยเป็นยูเครน, การโจมตีด้วยชุดความคิดแบบคุณธรรมจริยธรรมไทยๆ ว่าด้วยเรื่องนโยบายกัญชา, เรื่องสุราก้าวหน้า เป็นต้น

นี่แค่ระลอกแรก หลังจากนี้จะมีอะไรมาให้พิธาและพรรคก้าวไกลอยู่ไม่สุขอีกมาก ไม่เชื่อถามทักษิณ ชินวัตร ดูได้

นอกจากปัญญาชนอนุรักษนิยมที่เริ่มขยับ ยังประสานเข้ากับกลุ่มทุนจารีต ออกมาเปิดหน้าชนพิธาและนโยบายเศรษฐกิจก้าวไกล ทุนใหญ่บางรายเปิดหน้าซัดนโยบายของพรรคก้าวไกลจะทำให้ทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิต ผู้จัดการกองทุนใหญ่ระดับประเทศบางคนถึงกับระบุ แค่ยกเลิกไม่ต้องทำนโยบายของก้าวไกลทั้งหมด หุ้นจะเขียวยกแผงทันที

เรียกได้ว่าทุนจารีตไทยดับเครื่องชนก้าวไกลตั้งแต่ยังไม่เป็นรัฐบาล

 

นอกจากนี้ ก้าวไกลและพิธายังจะต้องเจอกับกลไกรัฐราชการรวมศูนย์ที่สืบทอดอำนาจ ครองผลประโยชน์ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน

เริ่มจากกลไกกองทัพที่ถูกฝ่ายอำนาจเก่าวางกลไกบุคลากรไว้อย่างซับซ้อน แตะต้องไม่ได้ ทั้งยังมีบุคลากรระดับบัญชาการกองทัพ ที่แสดงการไม่เห็นด้วยกับนโยบายก้าวไกลอย่างชัดเจน แม้เขตเลือกตั้งทหารก้าวไกล-เพื่อไทย จะชนะถล่มทลาย แต่ระดับนำของกองทัพ ต้านก้าวไกลสุดฤทธิ์ ไม่ยอมให้มีการแตะต้องผลประโยชน์เดิมที่เคยได้ง่ายๆ

นอกจากนี้ อาจยังต้องเจอการต่อต้านจากข้าราชการมหาดไทย ที่มีต่อนโยบายเลือกตั้งผู้ว่าฯ ที่มาทำลายระบบ “สิงห์” ที่สืบทอดกันมานับร้อยปี รวมถึงข้าราชการส่วนภูมิภาคที่เริ่มก่อหวอด กลัวการถูกเปลี่ยนแปลง

 

ส่วนพลังของกลุ่มอำนาจเก่า-มรดกคณะรัฐประหาร 2557 ที่ชัดเจนที่สุดในการขัดขวางพิธาและพรรคก้าวไกลในการเดินเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล ต้องยกให้ ส.ว.

เริ่มตั้งแต่ยกเรื่อง 112 มาเป็นเงื่อนไขสำคัญในการต่อต้าน บ้างก็เสนอให้งดเว้นรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางนายกฯ คนนอก บ้างก็เสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติ อย่างไม่เกรงกลัวประชาชนที่เพิ่งแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองไปเมื่อ 14 พฤษภาคม

เหล่านี้คือส่วนประกอบของพลังอำนาจเก่าที่สกัดขัดขวาง ไม่ให้พิธาและพรรคก้าวไกลเดินเข้าสู่ทำเนียบได้โดยง่าย แม้ประชาชนกว่า 14.4 ล้านเสียงที่เลือกพรรคก้าวไกล และ 10.8 ล้านเสียงที่เลือกเพื่อไทย จะเดินจูงมือพาพิธา-อุ๊งอิ๊ง เข้ามาส่งถึงหน้าทำเนียบ แต่ก็ถูกกลุ่มบุคคลดังที่กล่าวมา มีทีท่าที่จะยังไม่ยอมเปิดประตูให้กลุ่มอำนาจใหม่เข้าไปโดยง่าย

ไม่ใช่แค่ระดับประเทศไทย ล่าสุด นายกรัฐมนตรีฮุน เซน แห่งกัมพูชา ออกมาโหนชาตินิยม แสดงปฏิกิริยาไม่พอใจนโยบายแรงงานต่างด้าวของพรรคก้าวไกล อ้างว่าก้าวไกลจะส่งแรงงานกัมพูชากลับประเทศ ร้อนจนพรรคก้าวไกลต้องออกมาแจงว่าไม่เป็นความจริง

ก่อนหน้านี้ ผู้นำทหารพม่าก็สั่งคุมเข้มชายแดน อ้างว่านโยบายพรรคก้าวไกลไม่เป็นมิตรกับรัฐบาลทหารพม่า

เรียกได้ว่าชัยชนะของพิธาและพรรคก้าวไกล สะเทือนพลังอนุรักษนิยมกันข้ามประเทศเลยทีเดียว

 

จนถึงวันนี้พลังอนุรักษนิยมไทย ยังใช้มุขเดิมๆ วาดภาพพิธาว่าจะเป็นเซเลนสกีเมืองไทย เป็นผู้นำออเรนจ์การ์ด น่ากลัวคล้ายเรดการ์ดในการปฏิวัติวัฒนธรรมจีน

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงและคนส่วนใหญ่ในประเทศเห็น คือ ว่าที่นายกฯ ผู้ถือกีตาร์ร้องเพลง เป็นผู้นำ ป๊อปคัลเจอร์ ทำอะไรก็เป็นมีม อย่างที่เห็นติ๊กต็อก หรือยูทูบ

ส่วนคนที่พยายามผลักดันแนวคิดเรื่องสหรัฐจะมาแทรกแซงไทยผ่านพรรคก้าวไกล-ขู่จะลงถนนมาชนกับพิธา ดูเหมือนจะไม่ศักดิ์สิทธิ์แบบเดิม วันนี้คนที่พูดกลายเป็นมีมในติ๊กต็อก ถูกขุดคำพูดในอดีตว่ามีความเชื่อระดับชาวบ้าน แต่จะไปวิจารณ์สงครามโลก กลายเป็นตัวตลกไปเสีย

วันนี้สังคมไทยและโลกเปลี่ยนไปเยอะ มุขเดิมๆ ที่เคยใช้ได้ผล พิสูจน์ว่าใช้ไม่ได้ เอาจริงๆ คนไทยก็ขี้สงสาร ไม่ชอบเห็นใครไม่ได้รับความเป็นธรรม ยิ่งรู้สึกว่าใครถูกกลั่นแกล้งรังแก เขาจะยิ่งเห็นใจ พรรคก้าวไกลเข้าใจจุดนี้ดี และนี่คือที่มาของ 14.4 ล้านคน รวมถึง 10.8 ล้านคนที่เลือกเพื่อไทย

จึงมีการสะกิดเตือนว่า ถ้าไม่ยอมให้เขาเข้าทำเนียบดีๆ เพราะคนในไม่อยากออก ก็ให้คิดถึงประชาชนมากกว่า 25 ล้านคนนี้ไว้ด้วย

ยังมีเวลาที่จะครุ่นคิดพิจารณาช่วยกันทำการเมืองให้ปกติ ย้ำว่า ประชาชนเขาส่งเสียงแล้วในเกมที่ผู้มีอำนาจเดิมออกแบบ หากยังไม่ฟัง ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ระวังเขาจะไม่เล่นในเกม แล้วหันมาเล่นนอกเกมบ้าง

ดังนั้น ผู้ที่ยืนขวางหน้าทำเนียบ พึงตระหนักไว้ว่า ไม่ได้ยืนขวาง “พิธา” “พรรคก้าวไกล” หรือ “พรรคเพื่อไทย” ไม่ให้เข้าทำเนียบเท่านั้น แต่กำลังยืนขวางประชาชนอยู่…

เช่นเดียวกับคนที่ไม่ยอมออก พึงระลึกไว้ว่า คนที่มาเคาะประตูทำเนียบเรียกให้ ‘OUT’ เพื่อให้คนที่มาตามครรลองประชาธิปไตย ‘IN’ นั้น ไม่ใช่พิธา-7 พรรคร่วมเท่านั้น แต่คือประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ