การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ นายจ้างคนใหม่

มองจากภายนอก ฉันมองเห็นสันหนังสืออัดแน่นอยู่เต็มฝาผนัง แต่พอเข้าไปถึงด้านในแล้ว ถึงค่อยเห็นว่ามีหนังสืออีกมากกว่าที่คิด

หนังสือ โอ หนังสือ มีหนังสืออยู่เต็มไปหมดทุกซอกทุกมุม แม้แต่บนเก้าอี้ที่วางเรียงกันอีกหลายต่อหลายตัว กระทั่งถึงใต้บันไดที่จะขึ้นไปสู่ชั้นบน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่สิ่งที่ทำให้หัวใจฉันเต้นแรง

ยิ่งกว่าความตื่นเต้นครั้งใดๆ ในชีวิต ฉันเข้าไปยืนตะแคงไล่สายตาอ่าน…เป็นหนังสือที่ฉันไม่เคยอ่านทั้งนั้นเลย และมีอยู่ฟากหนึ่งป้ายเขียนว่า นิยายจีนกำลังภายใน…โอ มันเป็นยังไงกันนะ แล้วก็มีชื่อบนเล่มหนึ่งผ่านเข้าตา…ฤทธิ์มีดสั้น…เล่มที่ฉันเคยเห็นอาโนงพกติดตัว

“อาชอบอ่านหนังสือ มีติดตัวตั้งหลายเล่ม คำกลอนก็มี แต่บางเล่มเป็นเรื่องจีน อาเคยอ่านให้ฟัง ชื่อจำยากฉิบหาย อาหุ้ยอาฮุยอะไรสักอย่าง พระเอกชื่อลี้คิมเฮ็ง อาว่าเหมือนชีวิตอา”

รอยเคยเล่าไว้หนหนึ่ง…แล้ววันนี้ฉันก็มีโอกาสได้เห็นหนังสือเล่มนั้นอีก…ลี้คิมเฮ็ง เสียแต่พระเอกชื่อแปลกๆ…มันจะแปลว่าอะไรกันหนอ

 

ชายผมถักเปียบิดตัว สะบัดคอ ยืดแขนยืดไหล่ เป็นสัญญาณว่าตื่นแล้ว และพอมองเห็นฉันผู้อยู่ข้างหน้า ก็เลิกคิ้วขึ้นทันที

“กี่โมงแล้วนี่”

“จะเที่ยงแล้วฮะ” ฉันเห็นแล้วว่า มีนาฬิกาตั้งอยู่บนชั้นหวายตัวหนึ่ง

“นอนไปนานขนาดนั้นเชียว” พูดแล้วก็ลุกขึ้น ฉันเพิ่งสังเกตว่านายจ้างคนนี้ใส่เสื้อคอกลมสีขาว กับกางเกงขากว้าง คล้ายๆ เตี่ยวสะดอ แต่เป็นผ้าสีน้ำตาลนวลๆ “ขายอะไรไปบ้าง”

ฉันส่ายหน้า

“ไม่มีใครมาซื้ออะไรเลย”

ตอบแล้วใจก็นึกกังวลขึ้นมา ตั้งแต่มาทำงานในวันแรกนี้ ยังไม่เห็นจะมีใครเข้าร้านเลยสักคน ทั้งถนนดูจะเงียบสงัดยิ่งนัก แล้ว…หากเป็นอย่างนี้ เขาจะมีลูกจ้างไปเพื่ออะไร

“งั้นเดี๋ยวไปซื้อก๋วยเตี๋ยว”

ฉันแทบไม่เชื่อหูตัวเอง นี่มันคนแบบไหนกัน ตื่นเช้ามากินแล้วนอน พอนอนตื่นก็จะรีบหาของกินอีก แต่คิดไปก็เท่านั้น คำสั่งของนายจ้างคือสิ่งที่ฉันต้องทำตามอยู่แล้ว

“ของผมเอาบะหมี่ทุกอย่าง คุณจะกินอะไรก็สั่งเอง”

มีใบสีเขียวส่งให้ฉันสองใบ

“เห็นอะไรอยากกินก็เอามา ร้านอยู่หัวมุม เดินไปทางนั้น”

ชี้มือแล้วก็เดินเข้าข้างใน

“…เอ้อ แล้ว…”

“?” นายจ้างเหลียวมา

“พี่จะขึ้นข้างบนเหรอ ให้…ให้เราเฝ้าร้านก่อนมั้ย”

“ไม่ต้องหรอก ไม่มีอะไรนี่”

“เผื่อมีขโมย…”

“ก็ดีสิ ให้มาเอาหนังสือไปอ่านเสียบ้าง อยากให้มาขโมยเหมือนกัน”

พูดแล้วก็เดินขึ้นชั้นสองไป

 

ฉันอดคิดไม่ได้ว่า “คุณริ” คนนี้ดูพิลึกผิดมนุษย์มนา หรือว่าจริงๆ ก็เป็นลูกจ้างเหมือนฉัน มีอย่างที่ไหน ดูไม่อนาทรร้อนใจเลยว่าจะมีเงินเข้าร้านกี่บาทกี่สตางค์ หรือว่า…เป็นคนรวยจริงๆ จึงสักแต่ทำร้านไปอย่างนั้น…แต่เขาทำร้านเช่าหนังสือ มีหนังสือมากมายขนาดนี้ และมีแผงขายนิตยสารกับตู้แช่น้ำเย็นๆ ด้วย คงต้องมีการลงทุนบ้างละ

หากคิดไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไร อดแอบหมายมั่นในใจไม่ได้ว่า เอาไว้ฉันจะต้องลองถามๆ ดู

แน่ละ ฉันอยากรู้ เพราะที่นี่คือที่ที่ฉันเริ่มมีความหวัง

ถ้าหาก…ถ้าหากวันใดเขาไม่ต้องการลูกจ้าง วันนั้น ความฝันเล็กๆ ของฉันก็อาจจะต้องจบลง

 

“กินแบบไหน”

เจ้าของร้านถามฉัน คำถามฟังธรรมดา แต่ก็รู้ว่าต้องการคำตอบจริงๆ น่าแปลกดีที่ฉันรู้สึกอุ่นขึ้นนิดหน่อยในใจ

นานแค่ไหนที่ไม่มีใครสนใจเรื่องของตัวฉัน

“…เราสั่งเส้นหมี่ฮะ”

พูดพลางก็ควักเงินยื่นให้

แต่พอรับไป ชายถักเปียก็ขมวดคิ้ว

“ทำไมทอนมาเท่านี้”

“ก็…ของคุณ ที่ร้านเขาถามว่าเอาธรรดาหรือพิเศษ เลยสั่งพิเศษมาให้ มันเพิ่มไปอีกห้าบาท”

“ไม่ใช่” นายจ้างคนใหม่ว่า “ของคุณน่ะ เท่าไหร่”

“อ๋อ เราจ่ายเองฮะ” ฉันรีบบอกออกไป “เส้นหมี่ขาวใส่ลูกชิ้น”

ตอนจ่ายเงินฉันนับแล้วนับอีก กลัวจะส่งให้เขาเกิน

“เท่าไหร่”

แล้วก็ส่งใบเขียวมาให้หนึ่งใบ

“เอาไป”

“…”

“ไม่ต้องจ่ายเองหรอก มาทำงานที่นี่ บอกแล้วไงจะให้อาหารหนึ่งมื้อ”

“เมื่อเช้ากินไปแล้ว”

“นั่นไม่นับ”

 

อีกครั้งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี กับการที่มีก๋วยเตี๋ยวชามโตๆ หอมฉุยอยู่ข้างหน้า ไม่เพียงแต่จะช่วยฉันแกะถุง เจ้าของร้านยังเป็นฝ่ายเข้าไปหยิบถ้วยหยิบช้อนมาให้ แล้วก็ได้เวลากางโต๊ะออกมาอีก แต่หนนี้ขยับเข้ามาที่ข้างในร้าน

แล้วฉันก็นั่งกินอาหารอีกมื้อหนึ่งกับนายจ้างคนใหม่

ใบหน้านั้นดูคร้ามๆ คมๆ มีหนวดเคราเกือบยาว แต่ก็ดูไม่น่ากลัวอะไร และคล้ายจะกินอาหารอย่างตั้งใจ ดูเอร็ดอร่อยทั้งที่ไม่ได้ปรุงอะไรเลย

“โอเคไหมร้านนี้”

“…อะไรนะฮะ” ฉันรีบเงยหน้า กลืนเส้นหมี่ลงคอให้เร็วที่สุด

“รสชาติน่ะ ชอบมั้ย”

“…ชอบฮะ”

ฉันเพิ่งมาคิดได้ว่า นายจ้างคนนี้เหมือนจะมีนิสัยชอบซักชอบถามมาก ดังจะอยากรู้ทุกสิ่งอัน นับแต่ฉันเข้ามาในร้านครั้งแรก

“อร่อยดี”

“อร่อยยังไง”

แต่บางคำถามก็ทำให้ฉันอึ้งไป

“…ก็อร่อย”

“อร่อยยังไงล่ะ เอายังงี้ ถ้าให้คุณเขียน คุณจะเขียนบรรยายความอร่อยนี้ยังไง”

เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายอย่างที่สุด ฉันจำได้ว่า ไม่เคยบอกไปสักคำว่าฉันอยากจะเป็นนักเขียน…แต่นายจ้างคนนี้กลับพูดในสิ่งที่ฉันกำลังคิดในใจ

เขารู้หรือ ว่าถ้ากลับไป ฉันตั้งใจจะเขียนบันทึกถึงการมาทำงานหนนี้

และตอนที่กินก๋วยเตี๋ยวกันเงียบๆ ฉันเพิ่งคิดว่า ฉันจะต้องจดเรื่องนี้เอาไว้

“รู้ละ”

นายจ้างมองหน้าฉันนิ่งๆ มีสิ่งที่ฉันอ่านไม่ออกในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น…และฉันเพิ่งตระหนักได้อีกอย่างว่า เป็นดวงตาที่สวยมากอีกคู่หนึ่ง เท่าที่ได้พบมา

“ผมจะให้งานพิเศษคุณทำอีกอย่าง ให้คุณเขียนอะไรก็ได้ เกี่ยวกับ…รสชาติของอาหาร กลับบ้านไปเขียนก็ได้ วันไหนเขียนเสร็จก็เอามาส่งผม ถ้าเขียนดีผมจะมีรางวัลให้”

ฉันแทบอ้าปากค้าง หูไม่ได้ฝาดไปใช่ไหม

“…พูดจริงพูดเล่น”

“จริงสิ ผมเป็นเพื่อนเล่นคุณหรือไง”

“…เอ้อ…” ฉันใจเต้นรัวแรงขึ้นมา “เขียนเป็นอะไร…เรียงความเหรอ”

“แล้วแต่คุณ”

“…เขียนเป็นกลอนได้มั้ย”

“เคยเขียนกลอนหรือ?” ถามสวนมา

“เคยฮะ” ฉันรีบพยักหน้า “เขียนบ่อย เขียนตลอด”

มีรอยยิ้มบนริมฝีปากหยักโค้ง

“ดี จะเขียนอะไรก็ตามใจคุณ เอาเรื่องอาหารนะ”

“…เรื่องอาหารวันนี้เหรอ”

“ไม่ อาหารวันไหนก็ได้ หรือจะวันนี้ก็ตามใจ ผมไม่กรอบความคิดคุณหรอก ลองไปคิดไปเขียนมา”

“…คุณ…คุณทำเพื่ออะไร”

“ไม่เห็นต้องถามเลย” ชายร่างสูงตอบฉันแบบนั้น “ไม่มีเหตุผล”

 

แสงแดดยามบ่ายส่องเฉียงเข้ามาในร้านหนังสือให้เช่า พาดระแสงของมันไปหลายชั้นแถว จนทำให้เข้าใจแล้วว่า ทำไมจะต้องคอยปิดหน้าต่างบางบานแล้วค่อยเปิดใหม่ จากเช้าถึงบ่าย ล่วงถึงใกล้สี่โมงเย็น ฉันได้เห็นแสงแดดย้ายที่ไปตามเวลา และจึงค่อยๆ ได้เห็นว่ามีคนทยอยเอาหนังสือมาคืนกัน และบ้างมาเลือกยืมใหม่

หลังห้าโมงเย็น มีผู้ชายอีกหลายคนเข้ามาหยิบหนังสือจากชั้น “นิยายจีน” วางลงบนโต๊ะตัวกลาง จากนั้นเข้าไปนั่งหย่อนขา ก้มหน้าก้มตาอ่านกันเงียบๆ

พวกคนมานั่งอ่านนี้เอง ที่จะซื้อน้ำสีเหลืองเย็นในตู้แช่กินก่อน เป็นบรรยากาศที่ฉันไม่เคยพบเจอจากที่ไหน ดูเหมือนแต่ละคนจะรู้จักกันดี และมีบางคนอายุไม่ห่างฉันสักเท่าไหร่ มาถึงก็ปลดเป้ลงจากไหล่ รี่เข้าไปเลือกหนังสือมาเป็นตั้งๆ พลางควักของบางอย่างมากินไปด้วยอย่างเอร็ดอร่อย

ฉันยืนเก้ๆ กังๆ ในระหว่างนั้น เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะช่วยอะไรใครได้ คนที่เข้ามาในร้านดูจะคุ้นเคยกับเจ้าของเสียยิ่งกว่าฉัน เสียงทักทายกันอยู่ไม่ขาด

สิ่งที่ทำอยู่ อย่างมากก็คือการรับเงินค่าน้ำในตู้แช่

“…สุดคะเน”

จนกระทั่งยินเสียงเรียก

“…ฮะ” ฉันรีบตอบรับทันทีที่ได้ยินเสียงนายจ้าง

“จะกลับก็กลับได้แล้ว”

“…เอ้อ” ฉันมองไป ยังเห็นคนอยู่ในร้านเต็มไปหมด “รอปิดร้านก่อนก็ได้ฮะ”

“ร้านปิดสามทุ่มโน่น”

ไม่รอให้ฉันต่อความ นายจ้างที่แปลกประหลาดเหลือดีพูดต่อว่า

“ถ้าอยากอ่านเล่มไหนก็หยิบไป แค่ลงชื่อไว้ในนี้” ชี้ที่สมุดเล่มยาวหนาบนโต๊ะ “อย่าลืมทำการบ้านด้วยล่ะ”

ฉันยืนนิ่งงัน แต่อ้าปากจะพูดอะไรอีก นายจ้างคนใหม่ก็โบกมือไล่ และไม่สนใจฉันอีกเลย