‘โลกอนาคต’ ที่การ์ตูนในอดีตคาดไม่ถึง

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

ภาพยนตร์ที่พล็อตเรื่องเกี่ยวกับโลกอนาคตมีเยอะมากจนนับไม่ถ้วน

แต่ถ้าถามว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องที่ฉันมักจะนึกถึงเป็นเรื่องแรกๆ

คำตอบก็ไม่ยากเลย หนังเรื่อง Minority Report เรื่องราวในปี 2054 ที่ตำรวจสามารถคาดการณ์ได้ว่าใครมีแนวโน้มจะก่ออาชญากรรมและรีบออกไปสกัดไว้ก่อนที่คนคนนั้นจะลงมือได้สำเร็จ

สะท้อนภาพของอนาคตในแบบที่เป็นทั้งยูโทเปียและดิสโทเปีย สวรรค์และนรกไปพร้อมๆ กัน

แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามนิดหน่อยเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับอนาคต คำตอบก็ไม่ยากเหมือนกัน การ์ตูนเรื่อง The Jetsons ครอบครัวแห่งโลกอนาคตนี่แหละที่ทำให้ฉันในวัยเด็กจดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรทัศน์ไม่ยอมลุกไปกินข้าวกินปลาจนแม่ฟาด

สาเหตุที่ชอบทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพราะว่าพล็อตเรื่องไร้ที่ติ หรือภาพกราฟิกที่สวยหยาดเยิ้ม

แต่ฉันชอบเพราะมันแสดงให้เห็นถึงจินตนาการบรรเจิดของคนแต่ง

ลองให้เรามานึกพล็อตเรื่องดูบ้างว่าโลกอนาคตในอีกห้าสิบปี หรือหนึ่งร้อยปีข้างหน้า ชีวิตประจำวันของเราจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง

เราก็อาจจะนึกอะไรไม่ออกสักอย่างเลยก็ได้

 

The Jetsons เป็นการ์ตูนที่ออกอากาศครั้งแรกในปี 1962 เป็นเรื่องราวของครอบครัวเดี่ยวที่ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ ลูกสองคน หมาหนึ่งตัว ครอบครัวนี้อาศัยอยู่ในอนาคตปี 2062 หนึ่งร้อยปีพอดีนับตั้งแต่วันที่การ์ตูนเริ่มฉายตอนแรก

อันที่จริงแล้วการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งมั่นจะคาดการณ์โลกอนาคตให้ได้แม่นยำที่สุดเลย

แต่วาดขึ้นมาเพื่อให้เป็นการ์ตูนเพื่อความบันเทิงสำหรับเด็ก เราจึงได้เห็นโลกอนาคตที่ครอบครัวตัวเอกไปไหนมาไหนด้วยรถยนต์บินได้ มีหุ่นยนต์รับใช้ภายในบ้าน

อาศัยอยู่ในบ้านที่เป็นหอคอยโดมกระจกสูง และมีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งโลกอนาคตเต็มบ้าน

ถึงแม้ว่าการ์ตูนจะไม่ได้ออกแบบมาเพื่อทายอนาคตแต่ก็คงจะสนุกดีที่จะลองมาสำรวจกันว่ามีเทคโนโลยีอะไรในการ์ตูนเรื่องนี้ที่ผู้เขียนวาดฝันเอาไว้ได้ตรงกับปัจจุบันในปี 2023 แล้วบ้าง

หรือเรื่องไหนที่หลุดจากความจริงไปไกล คล้ายๆ กับที่เราเคยสำรวจ Minority Report กันมาแล้วเมื่อหลายปีก่อนผ่านหน้ากระดาษนี้นะคะ

 

หลายๆ อย่างที่ The Jetsons คาดการณ์ไว้ถูกและได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่แสนจะธรรมดาในปัจจุบันแล้ว ก็อย่างเช่น วิดีโอคอลล์ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต หุ่นยนต์ประจำบ้าน นาฬิกาสมาร์ตวอตช์ โดรน

หรือจะเป็นเทคโนโลยีที่แม้จะไม่ได้พบเห็นได้ทั่วไปแต่ก็มีคนคิดค้นและทำออกมาแล้วจริงๆ อย่างเช่น อาหารที่ปรินท์ออกมาด้วยเครื่องปรินต์สามมิติ เจ็ตแพ็ก หรือรถยนต์บินได้

ขาดอยู่อย่างหนึ่งที่ผู้วาดการ์ตูนอาจจะไม่ทันได้นึกถึงว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงได้ก็คือรถไร้คนขับเพราะในการ์ตูนถึงแม้ว่ารถจะบินได้แต่ก็ยังต้องมีคนขับอยู่ดี

เว็บไซต์ Fast Company ไม่ได้พูดถึงเรื่องเทคโนโลยีไหนทายถูก อันไหนทายผิด แต่ถ้าว่ากันถึงเรื่องอนาคตของการทำงานแล้ว ก็มีอยู่สามอย่างเน้นๆ ที่การ์ตูนเรื่องนี้ทายเอาไว้ผิดมหันต์

สามอย่างที่ว่าก็คือ บทบาทของผู้หญิงในที่ทำงาน ปริมาณงาน และสถานที่ทำงาน

 

เริ่มจากบทบาทของผู้หญิงก่อน

ตัวละครอย่าง Jane ภรรยาและแม่วัยสามสิบสาม แม้จะมีตำแหน่งงานในบริษัท

แต่ Jane ก็แทบจะไม่ต้องทำงานอะไรเลย

ส่วนใหญ่ผู้ชมมักจะเห็นเธออยู่บ้าน ดูแลความเรียบร้อยในบ้าน จิบชา เมาธ์มอย และนั่งดูทีวีมากกว่า

ผู้วาดการ์ตูนน่าจะคาดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นจะมีความเคลื่อนไหวทางด้านสิทธิสตรีมากมายทั่วโลกที่ทำให้ผู้หญิงหลุดออกจากกรอบของการเป็นแม่บ้าน ดูแลลูก ดูแลสามี

ออกจากบ้านไปทำงานไม่แตกต่างกับผู้ชาย

ในเรื่องปริมาณงานหรือจำนวนชั่วโมงที่ต้องทำงาน เราจะเห็นได้ชัดว่าตัวละครอย่าง George ที่เป็นสามีและพ่อของลูกเองก็แทบจะไม่ต้องทำงานสักเท่าไหร่เหมือนกัน เขามีหน้าที่ในการควบคุมซูเปอร์คอมพิวเตอร์ งานหลักๆ ส่วนใหญ่คือการกดปุ่ม แต่ที่น่าสนใจก็คือชั่วโมงการทำงานของเขาสั้นแค่หนึ่งชั่วโมงต่อวันเท่านั้น

Fast Company บอกว่านี่สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองด้านบวกของคนในยุคหกศูนย์ที่เริ่มจะมองเห็นว่าเครื่องจักรกลต่างๆ เข้ามาช่วยผ่อนแรงมนุษย์ไปได้เยอะ และเมื่องานน้อยลง มนุษย์ในอนาคตก็น่าจะมีเวลาว่างเหลือกินเหลือใช้

ตัดภาพมาในปัจจุบัน แม้จะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ มามากมาย แต่ก็ดูเหมือนกับเราจะมีงานงอกกันอย่างไม่หยุดยั้ง ถึงจะมีความเคลื่อนไหวที่เรียกร้องให้ตัดลดชั่วโมงการทำงานให้เหลือสี่วันต่อสัปดาห์ก็ยังนับว่าคืบหน้าไปได้น้อยมาก และมนุษย์เราก็ทำงานเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ

จนได้ประจักษ์ว่าที่เขาพูดกันว่างานหนักไม่ทำให้ใครตายนั้นไม่ใช่เรื่องจริง

 

สุดท้ายคือสถานที่ทำงาน อันนี้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดที่สุดในช่วงสามปีที่ผ่านมา

ถึง George จะต้องกดปุ่มแค่วันละชั่วโมงแต่เขาก็ยังต้องเดินทางไปทำงานที่ออฟฟิศอยู่ดี ไม่สามารถทำงานจากที่บ้านหรือเวิร์ก ฟรอม โฮม ได้

ปัจจุบันโครงสร้างทางอินเตอร์เน็ตและวิวัฒนาการเรื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวได้เดินทางมาถึงจุดที่พนักงานจะทำงานจากที่ไหนก็ได้ และถูกผลักดันให้เกิดขึ้นได้เร็วและเป็นวงกว้างขึ้นจากการระบาดของไวรัสที่ช่วงผ่านมา

การทำงานจากบ้านโดยเฉพาะงานที่ปกติแล้วจะต้องไปทำที่ออฟฟิศเท่านั้นน่าจะเป็นสิ่งที่คนในยุคนั้นนึกภาพไม่ออกเลย เพราะเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานก็ล้วนอยู่ที่ออฟฟิศ และก็คงนึกไม่ออกเหมอืนกันว่าถ้านั่งทำงานที่บ้านโดยไม่มีหัวหน้างานคอยสอดส่อง ใครมันจะไปยอมทำงานกันเล่า

อย่างไรก็ตาม ก็ต้องไม่ลืมว่า The Jetsons ยังมีเวลาให้พิสูจน์ตัวเองอีกตั้งเกือบ 40 ปี กว่าเราจะเดินทางไปถึงช่วงเวลาเดียวกับที่อยู่ในการ์ตูน บางทีหลายๆ อย่างอาจจะเปลี่ยนไปจากนี้ เราอาจจะทำงานกันเหลือแค่วันละหนึ่งชั่วโมงจริงๆ ก็ได้

อย่าเพิ่งท้อนะคะทุกคน!