ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 เมษายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ฝนไม่ถึงดิน |
ผู้เขียน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี |
เผยแพร่ |
ตัวเลข หรือชีวิต
ความแตกต่างระหว่างนโยบายรัฐสวัสดิการ
และนโยบายอภิสิทธิ์ชน (4)
ในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้เป็นอีกครั้งที่นโยบายสวัสดิการถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย
และแน่นอนที่สุดคำถามสำคัญคือสวัสดิการที่จะนำมาจัดให้แก่ประชาชนนี้นำเงินมาจากที่ไหน
จะจัดเก็บภาษีได้เพียงพอหรือไม่
หรือว่าถ้าจัดสวัสดิการตัวนี้ไปจะคุ้มค่าหรือไม่
ผู้คนที่ได้รับสวัสดิการคู่ควรที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือไม่ ถ้าเกิดว่าพวกเขาไม่ได้ขยันเพียงพอ หรือว่าเอาเงินไปใช้อย่างไม่ถูกต้องจะเกิดอะไรขึ้น เราควรจะมีข้อมูลในการพิสูจน์หรือเปล่าในแง่ของตัวเลขก่อนที่จะมีการจัดสวัสดิการต่างๆ ให้แก่คนในสังคม
ดังนั้น ในส่วนสุดท้ายที่ผมจะเปรียบเทียบระหว่างนโยบายสวัสดิการสำหรับประชาชนและนโยบายสวัสดิการสำหรับอภิสิทธิ์ชน
จะพูดถึงข้อแตกต่างที่สำคัญคือความสำคัญระหว่างตัวเลขและชีวิตมนุษย์สิ่งใดเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่ากัน
คําอธิบายว่าด้วยวินัยทางการคลังเป็นคำอธิบายที่ได้รับความนิยมอย่างมากเมื่อย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วเมื่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ได้เข้ามาจากระบบการบริหารนโยบายของรัฐไทย
วินัยทางการคลังจึงมีความหมายในลักษณะที่ว่าใช้จ่ายตามความจำเป็นใช้จ่ายตามความเหมาะสมหรือใช้จ่ายในสิ่งที่ก่อให้เกิดมูลค่า
แต่คำถามก็คือ
อะไรคือความจำเป็นอะไรคือความเหมาะสมซึ่งสุดท้ายแล้วทั้งความจำเป็นและความเหมาะสมก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีอำนาจในสังคมนั้นคนมีอำนาจก็สามารถบอกได้ว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่มีความจำเป็น
เช่น ถ้ากองทัพมีอำนาจก็คงบอกว่าเรือดำน้ำมีความจำเป็น
ถ้าผู้นำทางศาสนาจารีตมีอำนาจก็คงบอกว่างบประมาณด้านศาสนาเป็นความจำเป็น
พวกเขาก็คงมองว่างบประมาณสำหรับประชาชนเป็นสิ่งที่ต้องผ่านการพิสูจน์เป็นสิ่งที่ต้องได้รับการยืนยันว่ามีความจำเป็นจริงๆ
ในทางกลับกันถ้าเกิดประชาชนมีอำนาจเราคงไม่ต้องมานั่งอธิบายว่า เงินเลี้ยงดูเด็กมีความจำเป็นขนาดไหน
เงินบำนาญสำหรับพ่อแก่แม่เฒ่ามีความจำเป็นขนาดไหน
รวมถึงคงไม่ต้องบอกว่าทำไมการศึกษาถึงควรฟรีสำหรับทุกคน
ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงไม่ควรที่ต้องกู้เงินเพื่อที่จะมีความฝัน
จากการพิสูจน์ยืนยันในหลายประเทศในหลายสิบปีที่ผ่านมา
เมื่อใดก็แล้วแต่ที่มีคาถาว่าด้วยวินัยทางการคลัง
สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมานั่นก็คือความเหลื่อมล้ำมากขึ้น
งบประมาณสำหรับประชาชนกลายเป็นเรื่องยากแต่นโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่คนรวยและอภิสิทธิ์ชนในสังคมกับกลายเป็นเรื่องง่าย
ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีการตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือการกดค่าแรงการวางระบบค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรมลดอำนาจต่อรองของผู้ใช้แรงงานก็จะกลายเป็นนโยบายที่ทำได้ง่ายมากขึ้นภายใต้คำว่าการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น เมื่อใดก็แล้วแต่ที่เราปล่อยให้คำว่าวินัยทางการคลังมีค่ามากกว่าศักดิ์ศรีและชีวิตของความเป็นมนุษย์สิ่งที่เกิดตามขึ้นมาก็คือความเหลื่อมล้ำและการผูกขาดอำนาจของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนในสังคม
ปัญหาข้อถกเถียงอีกประการหนึ่งก็คือเมื่อเราพูดถึงการจัดสวัสดิการก็มักมีการตั้งคำถามว่าสวัสดิการนั้นก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน สวัสดิการนั้นมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด
โดยที่เรามักจะเริ่มในการตั้งคำถามว่าถ้าเกิดว่าเราให้เด็กทุกคนสามารถเรียนมหาวิทยาลัยได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแล้วประเทศนี้จะได้อะไร
หรือว่าถ้าเราให้เงินบำนาญแก่คนแก่ทุกคนอย่างเท่าเทียมกันถ้วนหน้าไม่ว่าพวกเขาจะประกอบอาชีพอะไร มีความยากจนมากน้อยแค่ไหน หรือมีลูกหลานดูแลหรือไม่ ประเทศนี้จะได้อะไร
เราจึงมักกลับไปอยู่ที่คำถามที่ว่าเราให้อะไรเกี่ยวกับประเทศนี้มากพอแล้วหรือ อย่างที่เราจะเรียกร้องจากประเทศนี้และวนกลับไปที่ว่า ถ้าเราไม่เสียภาษีมากพอ เราก็ไม่ควรจะเรียกร้องเอาสวัสดิการต่างๆ แม้ว่าเรื่องเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่เราควรได้ตั้งแต่แรก?
มันเป็นการให้เหตุผลที่แปลกประหลาดราวกับว่ามนุษย์แยกขาดกันและไม่ได้มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเลย
คนเข็นผักในตลาด แม่ค้าแผงปลาทู คนงานก่อสร้าง แรงงานรับจ้างในท้องนา ถูกบอกว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เสียภาษีมากพอ และพวกเขาไม่ควรที่จะได้รับสวัสดิการ
พร้อมกับชูตัวเลขสถิติจำนวนผู้เสียภาษีในประเทศนี้ว่ามีอยู่เพียงน้อยนิดแล้วคนส่วนมากจะเรียกร้องสวัสดิการได้อย่างไร
คนกลุ่มข้างต้นที่ผมได้เอ่ยมาพวกเขาก็มีส่วนในการสร้างประเทศนี้ขึ้นมา
สร้างมูลค่าในสังคมขึ้นมา
ทำให้พวกเราท้องอิ่ม
ทำให้พวกเรามีเสื้อผ้าใส่
ทำให้พวกเรามีข้าวกิน
และพวกเราก็ต่างสัมพันธ์กันอยู่ในสังคมนี้ไม่ว่าโดยตรงโดยอ้อม ขาดใครไปไม่ได้เลย
แต่เหตุใดเมื่อถามถึงเรื่องการจัดสวัสดิการ ชนชั้นนำกลับอ้างว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรให้แก่ประเทศนี้มากพอจึงไม่สมควรที่จะมีชีวิตที่ดี
นอกจากนี้ เราก็ยังลืมหลักการสำคัญที่ว่าชีวิตที่ดีนั้นมันเป็นสิ่งที่พวกเราควรได้ตั้งแต่เกิด ไม่มีใครอยากจะฝ่าฟัน
คนที่บอกว่าให้คนอื่นพยายาม ส่วนมากแล้วไม่ได้เป็นคนที่มีชีวิตลำบากตั้งแต่แรก พวกเขามีชีวิตที่เติบโตมาท่ามกลางแต้มต่อ
ถ้าไม่เป็นแต้มต่อที่ได้มาโดยกำเนิด ก็เป็นแต้มต่อที่พวกเขาได้มาด้วยความโชคดี เพราะทุกคนในประเทศนี้ล้วนทำงานหนักตามแนวทางของตนเองและก็สมควรที่จะมีชีวิตที่ดีด้วยกันทั้งนั้น
และสุดท้าย บ่อยครั้งที่ข้ออ้างของคำว่าความคู่ควรด้านตัวเลขมักจะปรากฏกับความคิดที่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่สมควรที่จะมีชีวิตที่ดี
ถ้าเป็นคนที่ไม่ดูแลสุขภาพ พวกเขาควรที่จะได้รับการดูแลสวัสดิการด้านสุขภาพเหรอ
ถ้าพวกเขาเป็นเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียน พวกเขาก็ไม่ควรที่จะได้รับสิทธิ์ในการเรียนหนังสือฟรีจากรัฐบาลหรือ
ถ้าเป็นพ่อแม่ที่ไม่ตั้งใจเลี้ยงลูกก็ไม่สมควรที่จะได้รับสวัสดิการการรักษาพยาบาลหรือการดูแลเด็กที่ดีหรือ
คนแก่ที่ไม่ขยันอดออมยามหนุ่มสาวก็ไม่สมควรที่จะได้รับเงินบำนาญที่เพียงพอหรือ
การใช้ข้อมูลตัวเลขเพื่อบอกว่าใครสมควรได้หรือไม่ได้รับสวัสดิการในอีกด้านกลายเป็นเครื่องมือให้ความชอบธรรมแก่ความเหลื่อมล้ำที่คงอยู่ว่าไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง
โดยการอธิบายว่าสวัสดิการนั้นเป็นสิ่งไม่คู่ควร
เป็นวิธีการที่ใช้ลูกเชอรี่ลูกเดียวอธิบายต้นไม้ทั้งป่า
ทุกคนรู้ว่ามันไม่จริงและเป็นข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
แต่ผู้มีอำนาจก็มักจะใช้ข้ออ้างข้างต้นนี้ในการปฏิเสธการจัดสวัสดิการของประชาชน
โดยสรุปแล้ว หลักการตัวเลขเหนือชีวิตคนท้ายสุดแล้วไม่ได้เป็นหลักวิชาที่มีความจริงสูงส่ง
ส่วนมากมักเป็นเพียงข้ออ้างในการเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมเท่านั้น
ทั้งหมดที่ได้พิจารณามาเป็นภาพสะท้อนสำคัญสำหรับการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ว่า แม้จะเป็นนโยบายสวัสดิการเหมือนกัน
แต่นโยบายสวัสดิการแบบอภิสิทธิ์ชนกับนโยบายรัฐสวัสดิการเพื่อประชาชนย่อมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งผู้ลงคะแนนเสียงก็จำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022