ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 พฤษภาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
หลังการปรับ ครม. “เศรษฐา 1/1” ก็มีการขยับ ปรับเกมของบ้านจันทร์ส่องหล้า ตามมาอย่างมีนัยสำคัญ ในการบริหารจัดการกองทัพ
เมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สละเก้าอี้ รมว.คลัง แต่ก็ไม่ได้ไฟเขียวให้ควบ รมว.กลาโหม แถมเหลือเก้าอี้นายกฯ เก้าอี้เดียว โดยยังมีนายสุทิน คลังแสง เป็น รมว.กลาโหมพลเรือน คนเดิมต่อไป
แต่ที่เพิ่มเติมคือ การตั้งรองอ้วน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ มือขวานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ครั้งแรกของรัฐบาลเศรษฐา โดยให้คุมกระทรวงกลาโหมด้วย เสริมภาพลักษณ์พลเรือนคุมความมั่นคง คุมกองทัพ
เสมือนเป็นการเสริมเกราะ เพิ่มปราการของฝ่ายการเมือง ในการมาคุมฝ่ายทหาร จากที่มีนายสุทินคนเดียว ในมุมหนึ่ง ก็มาเสริมความแกร่ง แบ๊กอัพให้นายสุทิน กลายเป็น 2 พลเรือน แถมเป็นอดีตคนเดือนตุลา กับคนเสื้อแดง สายประชาธิปไตย มาดูแลกองทัพ
โดยที่ทั้งนายภูมิธรรมและนายสุทิน ต่างก็เคยโดนรัฐประหาร โดนคุมตัวไปปรับทัศนคติมาแล้วเช่นกัน
แม้ในภาพรวม นายเศรษฐา ก็ยังกำกับดูแลกลาโหมอยู่ ยังเป็น ผอ.รมน. ประธานสภา สมช. และคุมตำรวจอยู่โดยตำแหน่ง แต่ก็เสมือนโดนลดอำนาจ
ด้วยเพราะมีการตั้ง 2 รองนายกฯ ใหม่ ทั้งนายพิชัย ชุณหวชิร ดูงานด้านเศรษฐกิจ ที่นายภูมิธรรมเคยช่วยดูมา และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ดูงานด้านคมนาคม แบ่งงานใหม่ นายเศรษฐาจึงต้องยอมคายกลาโหมให้นายภูมิธรรมดูแทน
อีกประเด็นหนึ่ง คือ การเอานายภูมิธรรมมาคั่นระหว่างนายเศรษฐา กับนายสุทิน รมว.กลาโหม ที่ถูกจับตามองในแง่ความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ หลังวัดพลังกันช่วงการปรับ ครม. เพราะนายเศรษฐาก็พร้อมที่จะควบ รมว.กลาโหม ขณะที่นายสุทินก็ต่อสู้ที่จะไปต่อ
อีกทั้งที่ผ่านมา ระหว่างนายเศรษฐา และนายสุทิน ก็ดูมีระยะห่าง ไม่ปรากฏความใกล้ชิดสนิทสนม แถมทั้งนายเศรษฐาก็มักจะข้ามหัวนายสุทิน เวลาประชุมด้านความมั่นคง ก็ไม่เชิญ รมว.กลาโหมร่วมวง
รวมถึงการเรียกบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขานุการ รมว.กลาโหม มาพบที่ทำเนียบหลายครั้ง โดยไม่ได้ผ่านนายสุทิน
รวมทั้งสั่งการตรง พูดคุยกับ ผบ.เหล่าทัพด้วยตนเอง จนมีกลุ่มวอทช์แอพ คุยกันโดยตรง ระหว่างนายกฯ และ ผบ.เหล่าทัพ โดยไม่สั่งผ่าน รมว.กลาโหม ตามสไตล์นักธุรกิจ ที่ต้องการลดขั้นตอนสายการบังคับบัญชาลง จนเคยมีปัญหา เพราะแรกๆ ที่มาเป็นนายกฯ จะคุยและสั่งการผ่านบิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทหารสูงสุด แต่ไม่คุยกับ ผบ.เหล่าทัพ เพราะบางสายงาน ผบ.ทหารสูงสุด ไม่อยู่ในสายการบังคับบัญชา และเป็นลักษณะพิเศษของกองทัพแบบไทยๆ ที่ ผบ.ทบ. เสมือนใหญ่สุดในบรรดา ผบ.เหล่าทัพ แม้ ผบ.ทหารสูงสุด จะเป็นผู้บังคับบัญชาก็ตาม
จนในระยะหลัง นายเศรษฐาก็ปรับตัว ด้วยการคุยตรงกับ ผบ.เหล่าทัพโดยตรง โดยเฉพาะกับบิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ. ที่เป็นรอง ผอ.รมน.ด้วย
หลังปรับ ครม. ที่นายสุทินได้นั่ง รมว.กลาโหมต่อ สะท้อนความไม่ธรรมดาของนายสุทิน ที่มีแบ๊กอัพทั้งนายพายัพ ชินวัตร และอดีตบิ๊กทหารสายชินวัตร โดยเฉพาะอดีตนายกฯ ทักษิณเอง ก็ทำให้ภาพลักษณ์ของนายสุทินดูแข็งขึ้น มีบารมีมากขึ้น
เพราะนายสุทินไม่ใช่แค่สู้กับพลังของนายเศรษฐาที่จะมาควบกลาโหมเท่านั้น แต่นายสุทินยังต้องสู้กับพลังที่เป็นแบ๊กอัพบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ สายตรงบิ๊กตู่ ตัวแทนขั้วอนุรักษนิยม ที่นั่งหายใจรดต้นคอ เป็นเลขานุการ รมว.กลาโหม อยู่อีกด้วย
นายเศรษฐาก็เริ่มปรับตัว ด้วยการพูดถึงนายสุทินมากขึ้น ว่า ได้สั่งการผ่าน รมว.กลาโหม ให้เหล่าทัพช่วยเรื่องต่างๆ
แต่ที่อาจทำให้นายเศรษฐาเคือง คือ การที่นายสุทินเข้าถึงนายทักษิณได้ ก็ดูจะข้ามหน้านายกฯ เช่นกัน แต่ รมต.ของพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ก็สายตรงนายทักษิณอยู่แล้ว เพราะรู้ว่า นายเศรษฐาไม่ได้มีอำนาจเต็ม
แต่การที่นายเศรษฐาลงพื้นที่มหาสารคามเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่นายสุทินไม่อยู่ ไม่มาต้อนรับ เพราะเดินทางไปประชุมด้านความมั่นคง และชมนิทรรศการยุทโธปกรณ์ที่มาเลเซีย และกลับมาไม่ทันการประชุม ครม.เศรษฐา 1/1 นัดแรก และการถ่ายภาพหมู่ ครม. ที่ขาดนายสุทินคนเดียว
จนทำให้นายเศรษฐาเอ่ยปากในการแถลงข่าวหลังประชุม ครม. ว่า ไม่เจอนายสุทิน เพราะตอนไปมหาสารคาม นายสุทินก็ไปมาเลเซีย ในการประชุม ครม.นัดแรก ก็ต้องการติดตามงานความมั่นคง งานกองทัพหลายเรื่อง แต่นายสุทินก็ลาประชุม ครม. จึงให้มารายงานใน ครม.ครั้งหน้า
จนมีเสียงสะท้อนจากทำเนียบว่า งานที่นายสุทินไปสำคัญหรือไม่ ให้ตัวแทนไปได้หรือไม่ เพราะ ครม.ใหม่นัดแรก นายกฯ มอบนโยบาย และภาพถ่าย ครม.ใหม่ ก็ไม่ครบคน ขาดนายสุทินคนเดียว ขณะที่ข่าวจากกลาโหมระบุว่า เดิมนัดถ่ายภาพ 3 พฤษภาคม วัน ครม.ใหม่เข้าถวายสัตย์ แต่ก็เลื่อน โดยนายสุทินได้ตอบรับทางมาเลเซียในการเดินทางไปแล้ว
การให้นายภูมิธรรมมาคุมกลาโหม เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง จึงเป็นการเพิ่ม “กันชน” ระหว่างนายเศรษฐา กับนายสุทิน ไปด้วยในตัว เพราะนายภูมิธรรมก็สนิทสนมกับนายสุทิน เป็นคนเก่าแก่ของพรรค
อีกเหตุที่ต้องเป็นนายภูมิธรรม เพราะเป็นคนของพรรคเพื่อไทย และสายตรงนายทักษิณ เพราะแม้ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย จะสนิทสนมกับ ผบ.เหล่าทัพ และนายทหารในกองทัพมายาวนาน และคุมมหาดไทย ที่เป็นกระทรวงด้านความมั่นคง และต้องทำงานกับทหารก็ตาม แต่ก็เป็นพรรคภูมิใจไทย เพราะถึงอย่างไร พรรคเพื่อไทยจะไม่ยอมปล่อยมือจากกองทัพ จากกระทรวงกลาโหมแน่
แต่การส่งมือขวาสายตรงนายทักษิณ มาคุมความมั่นคง คุมกลาโหมเองเช่นนี้ เสมือนนายภูมิธรรมเป็นร่างทรงของบ้านจันทร์ส่องหล้า ย่อมต้องมีมิชชั่นสำคัญ ที่มีอะไร นายทักษิณก็จะคุยตรงกับนายภูมิธรรมได้ตลอด และสนิทสนมกว่านายสุทินด้วยซ้ำ
รวมทั้งการประสานเรื่องงบประมาณ และการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ที่กระทรวงพาณิชย์จะต้องร่วมเจรจาการค้าต่างตอบแทน ตามนโยบาย offset policy ของรัฐบาล หรือการที่นายภูมิธรรมเป็นประธาน กมธ.งบประมาณ ที่เป็นความสัมพันธ์ในเชิงบวก
เพราะนายสุทิน และนโยบายพรรค ต้องการปฏิรูประบบการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกลาโหมใหม่ เป็นแบบรวมการ ในการมีคณะกรรมการกลางของกลาโหม ที่มีตัวแทนเหล่าทัพร่วมพิจารณาว่า แต่ละเหล่าทัพจะจัดซื้ออะไรในแต่ละปีงบประมาณ ยึดตามยุทธศาสตร์ สมุดปกขาว ความจำเป็น และสภาพงบประมาณ
จากนั้น ก็ให้ ผบ.เหล่าทัพดำเนินการจัดซื้อเองตามเดิม ที่ถือว่าเป็นการรอมชอม ไม่ได้ยึดอำนาจ หรือทุบหม้อข้าว ผบ.เหล่าทัพ
แต่ที่จับตามองมากที่สุดคือ การมาแท็กทีมกับนายสุทิน เดินหน้าการวางระบบป้องกันรัฐประหาร ทั้งการแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม และการปฏิรูปกองทัพ
แม้ว่านายภูมิธรรมจะปฏิเสธบทบาทหน้าที่นี้ และไม่ได้มาเร่งรัดแก้ กม.ใดๆ และคิดว่าตอนนี้ไม่ต้องพูดเรื่องรัฐประหารแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อาจจะพูดได้ว่า จะไม่มีการรัฐประหารแล้ว เพราะฝ่ายการเมืองไม่ใช่คนรัฐประหาร
“เราเป็นรัฐบาลพลเรือนที่ทำงานร่วมได้กับทุกฝ่าย รวมทั้งฝ่ายทหารกองทัพ ท่านก็รักประเทศชาติ เชื่อได้ว่าทำงานร่วมกันได้ ไม่มีปัญหา เราเป็นรัฐบาลที่ตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติ ประสานการทำงานกับทุกฝ่ายไม่เคยคิดจะไปล้วงลูกข้าราชการประจำ” รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ระบุ
ที่น่าจับตาคือ ที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงเจรจา “ดีล” ก่อนตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว ชินวัตร-3 ป.นั้น นายภูมิธรรมก็เป็นตัวแทนของนายทักษิณ ในการเจรจากับคีย์แมนสายอนุรักษนิยมเองมาตลอด และก็ยังพบปะกินข้าวกับคีย์แมนสายทหารอยู่เป็นระยะๆ
ไม่ว่ามิชชั่นที่นายภูมิธรรมได้รับมอบหมายมาจะคืออะไรก็ตาม แต่ก็ทำให้กองทัพจับตามองเขม็ง เพราะก็ไม่คาดคิดว่าจะมีการตั้งรองนายกฯ ความมั่นคง และให้นายภูมิธรรมมาคุมกลาโหม เพราะไม่คิดว่า นายเศรษฐาจะยอมปล่อยกลาโหม จึงเหมือนเพิ่มผู้บังคับบัญชาขึ้นมาอีกคน
พร้อมจับตามองว่า นายภูมิธรรมรับภารกิจใดมาจากนายทักษิณ หรือไม่
นายภูมิธรรมเริ่มต่อสายคุยกับ ผบ.เหล่าทัพ และนัดแนะที่จะไปตรวจเยี่ยมเหล่าทัพ เพื่อพบปะพูดคุยแนวนโยบาย แนวทางการทำงาน และสไตล์การทำงาน ที่ไม่ได้เป็นเจ้าเป็นนายมาสั่งการ แต่จะหารือช่วยกันแก้ปัญหาประเทศชาติ รับฟัง ร่วมคิด ตัดสินใจ และร่วมรับผิดชอบ
การติดดาบให้นายภูมิธรรม อาจสะท้อนได้ว่า นายทักษิณเปลี่ยนแผน โดยจะยังไม่ให้นายเศรษฐามาควบ รมว.กลาโหมในช่วงปลายปีนี้ เพราะจะทำให้มีการปรับ ครม.บ่อยเกินไป จึงอาจให้นายสุทินนั่ง รมว.กลาโหมยาวข้ามปี โดยที่นายทักษิณก็เป็นเสมือนนายกฯ เงา และ รมว.กลาโหมเงา ผ่านนายภูมิธรรม และนายสุทินนั่นเอง
ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า การส่งนายภูมิธรรมมาคุมกลาโหมไว้ก่อน เพื่อเตรียมช่วงเปลี่ยนผ่าน เพราะในอนาคตปีหน้า อาจต้องยอมให้ทำตามดีลกับคีย์แมนอนุรักษนิยม ที่จะให้ทหารมาเป็น รมว.กลาโหมก็เป็นได้
ในยุครัฐบาลผสมข้ามขั้วเช่นนี้ ผบ.เหล่าทัพจึงต้องเตรียมปรับตัว ปรับใจ สำหรับความเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้น คล้ายๆ นั่งมองฝ่ายการเมืองแบบตาปริบๆ ว่าจะทำอะไรกับกองทัพต่อไป ในสภาพที่ต้องจำยอม เพราะ “ดีล” ที่ทำให้นายทักษิณกลายเป็นคนสำคัญ และคนพิเศษ ที่ฝ่ายทหารต้องคอยสนับสนุน ในนามกลไกของรัฐบาล
แม้ดีลนั้นจะมีข้อตกลงที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะไม่เช็กบิล 3 ป. และแทรกแซง ล้วงลูกกองทัพก็ตามที แต่พรรคเพื่อไทยก็ต้องทำในหลายเรื่องที่หาเสียงไว้ ทั้งการปฏิรูปกองทัพ ลดนายพล และการป้องกันปฏิวัติรัฐประหาร เพราะนายทักษิณและน้องสาวโดนรัฐประหารถึง 2 ครั้งต่อเนื่องกัน
บทบาทของนายภูมิธรรม สายตรงนายใหญ่ จากนี้จึงน่าจับตามองยิ่ง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022