เชียงใหม่ไม่มีพรุ่งนี้ | เรื่องสั้น : ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง

เรื่องสั้น | ปรัชวิชญ์ บุญยะวันตัง

เชียงใหม่ไม่มีพรุ่งนี้

 

1

วันพรุ่งนี้ฉันจะไปจากเมืองแห่งนี้ ฉันไม่รู้ว่าเมืองจะโศกเศร้าหรือหลั่งน้ำตาให้ฉันบ้างไหม กำแพงเมืองเก่าหรือคันดินรอบคูเมืองจะรับรู้เรื่องที่ฉันจากลาหรือเปล่า ถนนทุกเส้นที่ฉันเคยประทับรอยเท้าจะถวิลหาฝ่าเท้าขนาดเบอร์สี่สิบสามของฉันอีกไหม แล้วผู้คนในเมืองแห่งนี้ล่ะ จะรู้สึกอย่างไรหากฉันไปจากเมืองนี้

บางทีคำถามของฉันอาจอหังการ์และหลงตัวเองเกินไป ถ้าพูดแบบตัดพ้อ ฉันคงไม่ได้สำคัญอะไรกับผู้คนที่ฉันเคยพบผ่านมากนัก แต่บางสำนึกฉันก็รู้สึกว่าคงจะมีใครคิดถึงฉันบ้าง บางคำพูด บทกวี ถ้อยคำหลังขวดเบียร์ของฉันคงจะตกหล่นในร่องรอยแห่งวันเวลาของผู้คนเหล่านั้น หากแต่วันพรุ่งนี้ฉันจะไปจากเมืองแห่งนี้

ฉันไม่ได้บอกใครสักคนว่าฉันต้องกลับไป กลับไปพันธนาการตัวเองกับขื่อคานและความคาดหวังของสังคม กลับไปฟังเสียงตามสายของวิทยุหมู่บ้านที่ทำลายยามเช้าอันสุขสงบของฉัน และเสียดหูด้วยเสียงเพลงค้างศตวรรษในยามพลบค่ำ ฉันต้องกลับไปสู่บ้านที่ฉันเกิด บ้านที่ฉันเคยอยู่ บ้านที่ฉันยังไม่อยากกลับ แม้สักวันจะต้องกลับไปอยู่ดี

ฉันเคยคิดนะ ฉันอยากไปอยู่ที่อื่น ที่ที่ฉันหายใจได้เต็มปอดกว่านี้ ที่ที่บทกวีของฉันจะมีผู้อ่าน ผู้ฟัง และดื่มด่ำไปกับสิ่งเหล่านั้น มันอาจจะดูเนรคุณและเห็นแก่ตัวไปหน่อยที่ฉันมีความคิดแบบนี้ ฉันเคยสบถและปรารภกับตัวเองบ่อยครั้งว่า

“ฉันอยากไปอยู่ที่อื่น แต่ฉันจะกลับมาตายที่บ้าน”

ฉันไม่เคยให้ใครล่วงรู้ความคิดนี้ โดยเฉพาะแม่ของฉัน หากแม่ได้รู้ ความเศร้าโศกทั้งหมดทั้งมวลของโลกคงกลุ้มรุมอยู่ในอกแม่ผู้เลี้ยงดูและให้ฉันดูดดื่มน้ำนมจนฉันเติบใหญ่ จนฉันกลายมาเป็นขบถ

ฉันจะเรียกตัวเองว่าขบถได้ไหมนะ ฉันแค่ไม่เดินตามทางในสิ่งที่แม่คาดหวัง ไม่ได้ทำงานนั่งโต๊ะ ใส่ชุดสีกากี หรือใส่สูทนั่งทำงานในห้องแอร์ ห้องทำงานของฉันคือเปลใต้ร่มไม้, ม้าหินอ่อนริมอ่างเก็บน้ำ, ร้านกาแฟที่พลุกพล่านนักท่องเที่ยวต่างเมือง หรือบนเตียงนั่นก็ที่ทำงาน บางคืนฉันนอนมองเพดาน เขียนบนกวีด้วยสายตา ถ้อยคำที่กระจัดกระจายมีแค่ฉันเท่านั้นที่มองเห็น

ฉันจะเรียกตัวเองว่ากวีได้ไหมนะ ไม่เคยมีใครเรียกฉันว่ากวี หรือ นายกวี ฉันแค่รู้สึกว่าเวลาที่ฉันจดจ่อกับการเขียน สรรพสิ่งรอบกายหยุดนิ่ง รอฟังและรออ่านว่าฉันเขียนอะไร พัดลมเพดานในห้องหยุดหมุน กระแสลมตีนดอยไม่พัดเข้ามาในห้อง เมฆขาวไม่ลอยเอื่อย นิ่งค้างเหมือนน้ำแข็งในช่องฟรีซตู้เย็น ภูเขาที่มองไกลๆ เหมือนดอกกะหล่ำก็ไม่สบตากับแสงแดดแผดประกายในยามบ่าย ฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ นะ เหมือนโลกทั้งใบรอคอยว่าฉันจะเขียนอะไร ในกระดาษแผ่นนั้นที่ฉันกดแรงถ่วงและลากปากกาหมึกน้ำเงินเป็นตัวอักษร เป็นกลุ่มคำ เป็นประโยค และกลายมาเป็นบรรทัดที่ฉันไม่แน่ใจว่าจะเรียกสิ่งนั้นว่า ‘บทกวี’

แปดเดือนที่ฉันอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ หากฉันอยู่ต่ออีกสี่เดือนก็จะครบหนึ่งปี แต่ตอนนี้คงต้องบอกลา เพราะวันพรุ่งนี้ฉันจะไปจากเมืองแห่งนี้ ก้อนเนื้อสีดำในช่องท้องของแม่ส่งเสียงเรียกให้ฉันกลับไปบ้านที่ฉันเกิด เมืองที่มีภูเขาเป็นรูตรงกลางตระหง่านเด่น เมืองที่คอมมิวนิสต์ถูกถีบลงเขาเผาลงถังแดง

บ้านไม้สองชั้นในสวนยางพารารอคอยฉันอยู่ ภาพชินตาที่ฉันจำได้ พ่อนั่งบนแคร่ไม้ลับมีดกรีดยาง ส่วนแม่ทำกับข้าวอยู่ในครัว ครอบครัวฉันเหมือนครอบครัวทั่วไป วัยเด็กฉันไม่ขาดความอบอุ่น วัยรุ่นฉันก็ไม่คึกคะนอง จุดเปลี่ยนของฉันคงเป็นตอนที่เข้ากรุงเทพฯ หอสมุดที่มหาวิทยาลัยเปิดโลกอีกใบให้ฉัน ฉันเริ่มอ่านหนังสือวรรณกรรม จนฉันเริ่มอยากเป็นกวี เหมือนกวีคนอื่นๆ ที่มีมากมายเหลือเกินในประเทศนี้ และนั่นคือช่วงที่ฉันสบถอยู่ในใจ

“ฉันอยากไปอยู่ที่อื่น แต่ฉันจะกลับมาตายที่บ้าน”

 

2

ฉันนึกถึงฤดูหนาวปีที่แล้ว วันแรกที่ฉันมาถึงเมืองนี้ มิตรสหายขับรถมอเตอร์ไซค์พาฉันขึ้นดอยสุเทพไปดูทัศนียภาพยามค่ำคืน ฉันซุกสองมือในกระเป๋ากางเกงยีนส์ เพราะเพิ่งมาจากเมืองหลวงร้อนอ้าวรมควันและมลพิษ เพียงลมหนาวพัดผ่านผิวกายก็ไม่คุ้นชิน ฉันมองแสงสีของเมือง เมฆอ้วนท้วนสีดำเหมือนตัวตุ่นลอยเหนือเงาสันเขาไกลลิบ มิตรสหายจุดบุหรี่สูบ ส่วนฉันยืนสูดควันบุหรี่มือสอง และเขียนบทกวีด้วยดวงตาลงบนเมืองเบื้องล่าง ฉันจำกวีบทแรกที่เมืองแห่งนี้ได้ดี ฉันเขียนไว้ว่า

“อยากให้เมืองใจดีกับฉัน

หากต้องจากกันก็อย่าเศร้า

ฉันแค่คนพำนักชั่วครั้งคราว

วันพรุ่งนี้ฉันจะไปจากเมืองแห่งนี้”

วันพรุ่งนี้ฉันจะไปจากเมืองแห่งนี้ โดยสารรถไฟขบวนที่หันหลังให้ภูเขา มุ่งหน้าสู่เมืองแล้งไร้ เมืองหลวงแห่งความหวังของผู้คนในประเทศนี้ ก่อนจะนั่งรถไฟอีกขบวน ลัดเลาะผ่านภูเขาหินปูน ผ่านดงตาล เลียบทิวสนริมทะเล และตื่นขึ้นอีกเช้าก็จะพบภูเขาที่มีรูตรงกลางรอท่าฉันอยู่ที่ชานชาลา และเมื่อฉันลงจากรถไฟ ความปรารถนาที่จะไปอยู่ที่อื่นคงจบลง และสมดั่งใจหวังในเรื่องที่จะกลับมาตายที่บ้าน เรื่องนั้นจะเป็นจริงอย่างแน่นอน รอแค่เวลาว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

สัมภาระของฉันเท่าเดิม เทียบเท่ากับตอนมาถึงเมืองนี้ หนังสือสี่ห้าเล่ม เล่มที่ฉันชอบ อ่านจนกระดาษเหลืองกรอบขาดคามือ แต่ฉันก็ไม่ทิ้ง เสื้อผ้าไม่กี่ชุด สมุดบันทึกที่เต็มแน่นด้วยสิ่งที่ฉันไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าบทกวีได้ไหม น้ำหนักตัวฉันคงเพิ่มขึ้นหลายกิโลกรัม ก็ในเมื่อฉันเก็บดอยสุเทพ, อ่างแก้ว, ประตูท่าแพ, ถนนห้วยแก้ว, ห้องเช่าย่านสวนดอก, ดอยหลวงเชียงดาว, แม่น้ำปิง และทุกสถานที่ที่ฉันเคยไป มิตรสหายที่ฉันเคยพบ ทุกสิ่งจะกลายเป็นความทรงจำ

น้ำหนักตัวฉันคงเพิ่มขึ้นแน่ๆ เพราะสมองส่วนที่เก็บความทรงจำจะขยายเนื้อที่จนเบียดเบียนอวัยวะและสารอาหารส่วนอื่นจากร่างกาย ตาชั่งคงรับน้ำหนักฉันไม่ไหว ในเมื่อฉันแบกทั้งภูเขา แม่น้ำ และเมืองทั้งเมือง เมืองที่ฉันเคยอยู่ เมืองที่พรุ่งนี้ฉันจะไปจากที่นี่

 

3

แปดเดือนคงนานพอที่จะฝังความทรงจำไว้ในสถานที่ต่างๆ ฉันจะจากไปโดยไม่บอกใคร ฉันไม่ชอบการจากลาโดยที่เห็นแววตาของผู้คน เพราะหากฉันเห็น ฉันคงชิงร้องไห้ออกมา ก่อนหยดน้ำตาของทุกผู้คนจะเริ่มออกเดินทางจากความเศร้าและอาลัยภายใน สู่ดวงตาและหยาดหยดรดบนลานแก้ม ฉันจึงไม่ชอบการจากลา และหากถึงคราวต้องจากกันจริงๆ ฉันจะจากไปโดยไม่บอกใคร

คืนสุดท้ายของฉันในเมืองแห่งนี้ ฉันเลิกคิดว่าใครจะคิดถึงฉันบ้าง เมื่อฉันจากไป หากเขาคิดถึงฉัน ก็ขอให้คิดถึงแต่พอประมาณ อย่าให้มีน้ำตา เพราะน้อยเหลือเกินที่คนเราจะหลั่งน้ำตาให้กับเรื่องสุขสรวลเส ส่วนใหญ่มีน้ำตาเพราะความทุกข์ระทมกันทั้งนั้น ไม่ต้องจดจำฉันหรอก แต่ขออย่าลืมบทกวีของฉัน เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ดีในขวบวัยแห่งเบญจเพสนี้

ฉันไม่รู้หรอกว่ากลับไปบ้านแล้วจะทำอะไร รู้แค่ว่าไปให้แม่เห็นหน้าก่อนวาระสุดท้าย และรอวันของฉันเอง ในบ้านที่ฉันกลับมาแล้วอยากจากไปที่อื่นในทุกครา

ฉันนอนมองเพดาน พรุ่งนี้อาณาเขตและห้องหับแห่งนี้จะไม่ใช่ของฉัน ผู้เช่าคนอื่นจะย้ายเข้ามาและสร้างความทรงจำใหม่ เฉกเช่นเมืองแห่งนี้ที่ผู้คนเลื่อนไหลเข้าออกตลอดเวลา เพดานสีขาวเปื้อนคราบราดำสบตากับฉัน พลันบทกวีบทแรกที่ฉันเคยเขียนในเมืองแห่งนี้ก็ปรากฏขึ้น

“อยากให้เมืองใจดีกับฉัน

หากต้องจากกันก็อย่าเศร้า

ฉันแค่คนพำนักชั่วครั้งคราว

วันพรุ่งนี้ฉันจะไปจากเมืองแห่งนี้”

 

4

ฉันคงจะกลายเป็นความทรงจำของใครสักคน และใครสักคนก็จะกลายเป็นความทรงจำของฉัน ฉันจะจดจำเมืองที่ฉันเคยอาศัย เฉกเช่นเมืองที่จดจำว่าฉันเคยอาศัย หลากหลายความทรงจำหนักอึ้งและเต็มแน่นในพื้นที่เล็กๆ แห่งหัวสมองของฉัน

แม้ฉันจะเขียนไว้ในบทกวีว่าหากต้องจากกันก็อย่าเศร้า แต่คืนก่อนที่ฉันจะเดินทางไกล กลับไปสู่แผ่นดินถิ่นที่จากมา คืนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนฟองน้ำ เก็บซับและดูดซึมทุกความเศร้าโศกบนโลกใบนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว และเวลาที่เหลืออยู่เปรียบเสมือนมือยักษ์ที่บีบคั้นฟองน้ำเช่นฉัน คืนนี้ฉันเสียน้ำตาไปมากมาย ราวกับเป็นการร้องไห้ครั้งสุดท้ายในชีวิต หรือบางทีพรุ่งนี้ต่อมน้ำตาของฉันจะแห้งเหือดและหายไป หยดน้ำเหล่านั้นคงสลายไป เหมือนห่าฝนที่ตกลงบนทะเลทราย

วันพรุ่งนี้ฉันจะไปจากเมืองแห่งนี้ จากไปเพียงผู้เดียว เหมือนตอนที่ฉันมาถึงเมืองนี้เพียงลำพัง คืนวันอันสวยงามเหล่านั้นจบลงแล้ว และตอนนี้ฉันก็เศร้าเกินกว่าจะเขียนบทกวี พรุ่งนี้ฉันจะกลายเป็นคนแปลกหน้าในเมืองนี้ เปลี่ยนสถานะจากผู้อาศัย กลายเป็น นักท่องเที่ยว หากว่าฉันได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง และบางทีฉันก็อาจเป็นคนแปลกหน้าเมื่อกลับไปถึงบ้านของฉันเอง

ฉันไม่รู้เลยว่ามีสิ่งใดบ้างรอคอยฉันอยู่ที่บ้าน รู้แค่ว่าวันเวลาที่ผ่านมาจะแปรเปลี่ยนทุกเรื่องราวในเมืองแห่งนี้ให้กลายเป็นความทรงจำ ผู้คนที่ฉันพบจะกลายเป็นความคิดถึง บทกวีที่ฉันเขียนจะยังคงเป็นบทกวี และฉันคงต้องแสวงหาในสิ่งที่ปรารถนาต่อไป ชีวิตมีหลายสิ่งที่ฉันไม่รู้ แต่ตอนนี้ ฉันรู้เพียงแค่ว่า…

วันพรุ่งนี้ฉันจะไปจากเมืองแห่งนี้ •