7 พ.ค.เลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์ | วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

มีบทสรุปที่ชัดเจนแล้วว่า วันเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศ จะมีขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 นี้ โดยวันยุบสภาน่าจะเป็นช่วงต้นเดือนมีนาคม นั่นก็หมายความว่า รออีกประมาณ 2 เดือนเศษๆ ก็จะถึงวันสำคัญของประชาชนคนไทย วันที่จะได้ใช้อำนาจในมือของคนส่วนใหญ่ เพื่อตัดสินอนาคตของประเทศชาติ

ถ้านับจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้วคือ 24 มีนาคม 2562 เท่ากับว่า ผ่านมาแล้ว 4 ปีเต็ม ที่เราได้รัฐบาล ซึ่งมีปัญหาขาดความชอบธรรม เพราะมีการใช้กติกาตามรัฐธรรมนูญ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มอำนาจ 3 ป.

การเมือง 4 ปีที่ผ่านมา เต็มไปด้วยความทุลักทุเล แต่ก็อยู่จนครบ เพราะรัฐธรรมนูญและกติกาเลือกตั้งทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ เกิดพรรคเล็กพรรคน้อยเต็มไปหมด และใช้กล้วยกันอย่างน่าเกลียด

ที่สำคัญ เสียงของประชาชน ที่ไปเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 ถูกบิดเบือน ด้วยเสียงของ ส.ว. 250 ราย ที่อยู่เหนือเสียงของคนที่ไปเลือกตั้งหลายล้านคน

ผลการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยได้รับ ส.ส.สูงสุด แต่ผู้ได้เป็นรัฐบาลคือพลังประชารัฐ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ เพราะมีเสียง 250 ส.ว.คอยโหวตให้ ทำให้พรรคการเมืองต่างๆ หลั่งไหลไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะมีเสียง 250 ส.ว. ได้เปรียบเหนือกว่าใคร

ผ่านมา 4 ปี แม้ว่าจะมีการยุบสภาก่อนที่สภาผู้แทนฯ ชุดนี้จะหมดวาระ แต่ก็เป็นการยุบก่อนเพียงไม่กี่วัน เท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในอำนาจได้อย่างยาวนานเต็มเปี่ยม

ทั้งๆ ที่เป็น 4 ปีอันเต็มไปด้วยปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ปากท้องประชาชน เด็กรุ่นใหม่ที่คิดต่าง โดนจำกัดเสรีภาพอย่างร้ายแรง

เพราะแกนนำรัฐบาลคือ คณะนายทหาร ไม่ใช่ผู้มีวิสัยทัศน์ทางด้านเศรษฐกิจการเงินการทอง ไม่ยอมรับสังคมที่มีเสรีทางความคิด

ดังนั้น การเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ จึงเริ่มมีการเสนอให้เป็นการเลือกตั้งที่จะต้องมียุทธศาสตร์เข้ามามีส่วนกำหนด

ต้องมีการรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงบทเรียนเลวร้ายจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ให้รู้ว่ากลไก 250 ส.ว. ที่เป็นหมากกลแอบแฝงของเผด็จการนั้น ได้ทำให้เราได้รัฐบาลที่ขาดวิสัยทัศน์ด้านปัญหาปากท้องประชาชนเช่นไร

รัฐบาลเครือข่ายขุนศึกขุนนาง มาเพื่อความมั่นคงของสังคมอนุรักษนิยม แต่ขัดแย้งกับความเจริญก้าวหน้า การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ความงอกงามทางความคิดปัญญามากมายเช่นไร

แล้วกลไก 250 ส.ว. ยังมีฤทธิ์เดชในการเลือกตั้ง 2566 นี้เช่นเดิม

เช่นนี้แล้ว การเลือกตั้ง 7 พฤษภาคม ต้องคำนึงถึงผลการเลือกตั้ง ที่จะต้องทำให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้เสียงมากเกินกว่า 376 เสียง หรือเกินครึ่งของตัวเลข ส.ส.รวมกับ ส.ว.

จะต้องทำให้ผลการเลือกตั้ง ส่งผลทำให้เป็นการปิดสวิตช์ 250 ส.ว.โดยอัตโนมัติให้ได้

 

ในการเลือกตั้งหนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังมุ่งมาดปรารถนาจะเป็นนายกฯ ต่อไป แม้ว่าโดยผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีวาระการเป็นนายกฯ 8 ปี จะทำให้สามารถเป็นนายกฯ ได้ถึงปี 2568 เท่านั้น แต่ก็ยังยืนยันลงสนามเลือกตั้ง เพื่อจะขอเป็นนายกฯ ต่อไปอีก 2 ปีให้ได้

เพราะยังเชื่อจุดขายสำคัญที่ว่า ตนเองมีเสียง 250 ส.ว.พร้อมโหวตให้

นั่นจึงทำให้ คนรักประชาธิปไตย ต้องตระหนักให้ดีว่า กลไก ส.ว.ยังเป็นอุปสรรคสำคัญอยู่ จะต้องทลายลงไปให้ได้

เพียงแต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับเครือข่ายขุนศึกขุนนาง ในการเลือกตั้ง 7 พฤษภาคมนี้ก็คือ การแยกทางระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทำให้เกิดการแยกเป็น 2 พรรค ซึ่งกระทบต่อฐานเสียงสนับสนุนของตัวเองไปด้วย

อีกทั้ง 250 ส.ว. ก็อาจจะขาดความเป็นเอกภาพ เพราะเอาเข้าจริงๆ พล.อ.ประวิตรกุมเสียง ส.ว.ได้เป็นส่วนใหญ่ ถ้าสุดท้ายหลังการเลือกตั้ง แล้วทั้ง 2 ป.ไม่สามารถกลับมาจับมือกันได้อีก เท่ากับเสียง 250 ส.ว.ก็จะแตกออก

จนทำให้เกิดข้อวิเคราะห์ว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ออกไปจากพลังประชารัฐ ทำให้ พล.อ.ประวิตรขึ้นมานำพรรคอย่างโดดเด่นเพียงผู้เดียว และกลายเป็นพรรคที่มีลักษณะเป็นกลางทางการเมืองมากขึ้น ไม่ใช่พรรคอนุรักษนิยมสุดขั้วอีกแล้ว

โอกาสจับมือระหว่างเพื่อไทยกับพลังประชารัฐหลังเลือกตั้ง ย่อมมีความเป็นไปได้ นั่นจะทำให้เสียง ส.ว.ประมาณครึ่งสภา ตามมาโหวตให้กับขั้วนี้ได้อีกด้วย

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีเครือข่าย กปปส.เข้ามามากมาย ทำให้มีภาพเป็นพรรคตัวแทนฝ่ายขวาจัดเต็มตัว แต่เอาเข้าจริงๆ ผ่านมาถึงวันนี้ จะพบว่า ไม่มีขุนพลหลักๆ สำหรับสนามเลือกตั้งที่เป็นความหวังได้สักเท่าไหร่ ดูๆ แล้วจะมีแต่นายสุชาติ ชมกลิ่น เพียงผู้เดียว ที่พอจะมี ส.ส.เป็นกอบเป็นกำ และเป็นแม่ทัพในสนามเลือกตั้งได้จริง

จึงยังมองไม่ออกว่ารวมไทยสร้างชาติ จะประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งได้ขนาดไหน

ที่น่าคิดก็คือ ไปๆ มาๆ พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาเพื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ให้พรรคนี้ แต่ไม่ยอมรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ไม่รับการลงเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อเบอร์ 1 เท่ากับว่าไม่ขอผูกมัดกับพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างจริงจัง

คล้ายจะเก็งสถานการณ์ว่า โอกาสที่จะได้รับ ส.ส.เข้าสภาในการเลือกตั้งอาจไม่สูงมากพอจะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้ ถ้าหากต้องเป็นฝ่ายค้าน พล.อ.ประยุทธ์คงไม่ขอเข้าไปนั่งเป็น ส.ส.คนหนึ่งในสภา จึงไม่ขอมีอะไรเกี่ยวพันกับพรรค

ขอเป็นแคนดิเดตนายกฯ เท่านั้น ถ้าสุดท้ายไม่สามารถเป็นได้ ก็เร้นกายหายไปจากเวทีการเมืองได้ง่ายดาย

แม้แต่นายสุชาติ ชมกลิ่น ขุนพลที่พอจะพึ่งได้ เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ ในพรรคนี้ด้วยเช่นกัน!?!

 

แนวโน้มการเลือกตั้ง จากการสำรวจของหลายๆ โพล พบว่าพรรคที่ยังมาแรงที่สุดก็คือ เพื่อไทย ด้วยปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่โหยหาพรรคการเมืองที่มีความสามารถด้านเศรษฐกิจการค้า และมีผลงานทำให้เห็นมาแล้ว

แถมตัวแคนดิเดตนายกฯ ที่เปิดออกมาอย่างไม่เป็นทางการ มีชื่อ เศรษฐา ทวีสิน เป็นนักบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ ความคิดทางการเมืองเป็นประชาธิปไตยและก้าวหน้า จึงเป็นความเด่นทั้งในด้านเป็นมือเศรษฐกิจ และความคิดทางการเมืองทางสังคมแจ่มชัด

พร้อมด้วย อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นทายาทของทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นจุดขายที่สำคัญ เหมือนมีความคิดจิตวิญญาณของทักษิณมาบริหารประเทศ ซึ่งชาวบ้านเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจปากท้อง

เพื่อไทยที่ให้คำตอบเรื่องการฟื้นเศรษฐกิจได้แน่นอนกว่าใคร จึงยังเป็นพรรคที่แรงที่สุดในเวลานี้

ทั้งผลโพลยังพบว่า เพื่อไทยน่าจะได้ ส.ส.เกิน 200 เสียงแน่นอน เพียงแต่ถ้าถึง 250 เสียง ก็มีผลปิดสวิตช์ 250 ส.ว.ได้ทันที

ส่วนพรรคที่มาแรงลำดับถัดมา เวลานี้ไม่พ้นภูมิใจไทย ที่สามารถดูดนักเลือกตั้งชั้นดีไปอยู่ด้วยมากมาย และจุดยืนก็พร้อมไปกับขั้วไหนก็ได้

รวมทั้งพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้รับการคาดการณ์ว่าน่าจะเข้ามาเป็นอันดับ 3 ตามด้วยพรรคก้าวไกล ประชาธิปัตย์

ถ้าหากเพื่อไทยสามารถได้ ส.ส.เข้ามาเกิน 200 เสียงไปมากๆ คงได้เป็นแกนนำหลักตั้งรัฐบาล พร้อมความได้เปรียบในการเลือกและต่อรองพรรคที่จะเข้ามาร่วมเป็นรัฐบาล

ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติและ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ถ้าหากยังไม่สามารถยกระดับขุนพลนักเลือกตั้งให้เข้ามาร่วมได้มากกว่า เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นพรรคใหญ่ได้หลังเลือกตั้ง

ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถให้คำตอบต่อประชาชนในเรื่องเศรษฐกิจปากท้องได้เลย หลังจากที่เคยหลงกันว่า พล.อ.ประยุทธ์สามารถนำความสงบมาสู่บ้านเมืองได้ เพราะเป็นตัวแทนขุนศึกขุนนาง แต่ผ่านมาแล้ว 4 ปี พบว่าปัญหาใหญ่กว่าความสงบของประชาชนคือ เงินทองฝืดเคือง หนี้สินเพิ่มพูน

แต่กระนั้นก็ตาม สุดท้ายแล้ว การเลือกตั้ง 7 พฤษภาคม ยังจะต้องมีการรณรงค์ให้ประชาชนเลือกตั้งกันแบบมียุทธศาสตร์ ต้องไม่ประมาทเสียง 250 ส.ว. กลไกแอบแฝงของฝ่ายอนุรักษนิยมล้าหลัง

7 พฤษภาคม จะต้องทำให้พรรคขั้วตรงข้ามกับอำนาจเดิม ชนะถล่มทลาย แลนด์สไลด์ อย่างเป็นจริงให้ได้!